Masukอัญญาต้องแบกรับความเจ็บปวดมาตลอดเจ็ดปีกับโทษที่เธอไม่ได้ก่อคนเดียว จนกระทั่งคนกระทำกลับมาอีกครั้ง ทำให้เธอที่อยู่ในสถานะที่มีเรื่องมากมายในชีวิตคู่ จนนำพาไปสู่เรื่องไม่สมควรทำ "พี่ต้องการผมไหม" คำเดียวที่ทำให้เธอทิ้งความถูกต้องและตกไปสู่ห้วงราคะ จนอยากจะถอนใจยอมผิดศีลข้อสามเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ให้เขาเป็นชู้ในความลับ ส่วนเธอก็ให้ความลับนี้ซ่อนชู้เอาไว้ไม่ให้ใครรู้
Lihat lebih banyakอัญญานั่งถอนใจมองสภาพบ้านที่พึ่งจะจัดเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเหมือนเดิมด้วยฝีมือของลูกสองคนที่ทำเอาไว้ในวันนี้ ข้าวปั้นกับข้าวหอม ลูกชายลูกสาวฝาแฝดที่เธอได้มาเมื่อห้าปีก่อนกำลังระบายสีข้างฝาที่ตอนนี้ไม่เหลือสีเดิมของมันเหมือนที่เข้ามาอยู่เมื่อหกปีก่อนอีกแล้ว
เธอถอนใจแล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำให้เธอได้สติ อัญญาจึงเดินไปรับโทรศัพท์แทน พอเห็นข้าวปั้นกำลังปีนขึ้นโต๊ะก็รีบตะโกนห้าม
“เดี๋ยวตกนะลูก” แต่ข้าวปั้นไม่ได้สนใจฟังสักนิด ยังคงมุ่งมั่นที่จะปีนขึ้นไปบนโต๊ะเพื่อหยิบสีที่เธอยึดไว้ไม่ให้เล่นต่อ มือหนึ่งรับสาย อีกมือก็หิ้วปีกแขนลูกลงมา “แม่บอกว่าห้ามปีน” พูดไปพลางมองตาดุ แต่คนปีนกลับยิ้มไม่รู้สึกกลัวสักนิด ก่อนจะยกมือที่เปื้อนสีน้ำแปะที่แก้มของแม่
“ข้าวปั้น” เสียงเข้มกว่าเดิม จนคนปลายสายได้ยินชัด “แม่จะทนไม่ไหวแล้วนะ”
เสียงปลายสายยังเงียบเหมือนรอเธอพูดให้จบ พอความเงียบเข้ามาเพราะตัวแสบวิ่งไปแปะสีใส่ตัวน้องสาวแทน อัญญาก็เอ่ยถาม “คุณคะ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน”
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่โมงเย็นแล้ว สมควรที่เขาจะกลับจากที่ทำงาน และเปลี่ยนเวรกับเธอได้แล้ว เพราะวันนี้พี่เลี้ยงเด็กหยุดกะทันหัน หากไม่ไปตอนนี้เธอจะไม่ทันเปิดร้าน วันนี้มีนัดสัมภาษณ์ผู้ช่วยเชฟเสียด้วย หากไม่รับก่อนวันจันทร์จะต้องมีปัญหาใหญ่เป็นแน่
“ผมคงกลับไปช้าหน่อย บังเอิญยังไม่เสร็จธุระ”
“ว่ายังไงนะคะ คุณรับปากฉันแล้วว่าจะกลับ แล้วฉันต้องทำยังไง”
“คุณก็พาลูกไปด้วยสิ ให้แกวิ่งเล่นที่ร้านอาหาร”
“ฉันไปสัมภาษณ์งานนะคะ ไม่ได้ไปนั่งดริงค์หรือทำงานแล้วมีลูกน้องคอยดูให้ วันก่อนพวกแกไปยังทำจานแตกเป็นสิบใบ”
“คุณก็จับแกขังในห้องทำงานสิ จะอะไรหนักหนา”
“คุณหมอคะ ห้องได้แล้วค่ะ”
ตรีภพหัวเสีย แต่ก็ยังหันไปตอบคนเรียก “ครับ ๆ เดี๋ยวผมไป” เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหันมาพูดต่อ “แค่นี้แล้วกัน คุณจัดการได้อยู่แล้วไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ” จากนั้นก็ตัดสายไป
เสียงผู้หญิงนั่นคือเสียงผู้หญิงคนนั้น อัญญาแทบจะอดกลั้นความโมโหไม่ไหว เธอกำหมัดแน่น พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ สุดท้ายก็เดินเข้าห้อง แล้วล้มตัวนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนเพื่อให้ช่วยเก็บเสียง ก่อนส่งเสียงกรี๊ดที่เก็บไว้ออกมา
พอกรี๊ดจนพอใจแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา หยิบกระเป๋าใบเล็กมาเปิดแล้วใส่เสื้อผ้ากับของเล่นเด็กลงไป จากนั้นก็ออกไปนอกห้องแล้วตบมือเรียก “ข้าวปั้น ข้าวหอม ไปกับแม่ แม่จะไปร้าน”
“เย่ พวกเราได้เที่ยวแล้ว” ข้าวหอมกระโดดอย่างดีใจ
“แม่ครับ ผมอยากกินเฟรนช์ฟรายส์”
“วันนี้ร้านหยุดลูก แม่แค่ไปสัมภาษณ์คนมาสมัครงานเท่านั้น”
“ฮือออ แต่ผมอยากกิน” ข้าวปั้นเริ่มงอแง เธอเองก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา จึงรีบสงบศึกเสียก่อนที่จะเก็บอารมณ์ไม่อยู่จนปรี๊ดแตก
“ได้ ๆ แม่จะทอดให้”
“ข้าวหอมขอไก่ทอดด้วย”
เธอนับหนึ่งถึงห้า “ได้ ไก่ทอดด้วย ไปขึ้นรถเร็วเข้า ถ้าทำตัวดี ๆ แม่จะให้กินไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์”
ถึงร้านอาหารของเธอจะเป็นร้านอาหารตะวันตกผสมกับไทยโมเดิร์น แต่สองเมนูนี้ห้ามขาดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้ทำงานอย่างที่ตั้งใจ
ระหว่างนั่งรถที่ไม่เคยได้สะอาดหรือเรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็นเพราะถูกสองแสบด้านหลังทำเอาไว้ “แม่พึ่งเก็บรถเมื่อวานเองนะ” จะไปร้านให้เขาทำให้ก็ไม่มีเวลาว่างพอจะทำแบบนั้น เพราะเธอไม่ได้เป็นแค่แม่บ้าน แต่ยังเป็นเจ้าของร้านอาหาร ส่วนสามีของเธอเป็นถึงจิตแพทย์ชื่อดัง แม้จะมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่เขาก็ไม่เคยยุ่งวุ่นวายกับลูกสักเท่าไร เพียงแค่ชวนเล่นกับลูกได้สักสิบนาที ให้เธอได้หายใจก็บุญเท่าไรแล้ว
อัญญามองร้านอาหารหรู มีดนตรีสด และอาหารระดับพรีเมียมไว้คอยเสิร์ฟลูกค้ากระเป๋าหนักตรงหน้า เมื่อเจ็ดปีก่อน ก่อนเกิดเรื่องเธอเคยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง และเปิดร้านให้คนรู้จักให้มากที่สุด แต่ความฝันทุกอย่างต้องหยุดลงเมื่อเธอได้เจอกวิน เด็กหนุ่มที่มีความฝันเช่นเดียวกับเธอ ลูกศิษย์กับอาจารย์ สำหรับเธอกับเขาแล้ว ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ในชีวิต เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีกับเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี ทำให้เธอต้องเกือบเข้าคุก และถูกแยกออกจากกัน ครั้งนั้นทำให้เธอได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก จนทำให้การรับรู้รสเปลี่ยนไป ตอนแรกเธอคิดว่าชีวิตในเส้นทางอาหารของเธอได้จบสิ้นแล้ว ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็เจอกับตรีภพ จิตแพทย์หนุ่มที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเธอ และสนับสนุนให้เธอทำตามฝัน “การเป็นเจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องลงไปทำเองเสียหน่อย คุณก็แค่หาเชฟฝีมือดี ๆ สักคนก็พอแล้ว” นั่นทำให้เธอพบกับคุณปลื้ม เชฟที่มีรางวัลจากรายการดัง ๆ หลายรายการพ่วงท้าย แต่เขากลับไม่มีทุนทรัพย์ในการเปิดร้านอาหาร เธอจึงเสนอให้เขาได้
บ่ายโมงจนถึงเที่ยงคืน คือเวลาเปิดปิดร้านอาหารของเธอ อัญญาจอดรถนั่งอยู่นานก็ไม่คิดจะลงไป เธออยากอยู่คนเดียวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอมองป้ายร้าน ‘อัญญาเรสเตอร์รอง’ ร้านอาหารที่สร้างมาด้วยมือของเธอเอง เป็นร้านที่เธอตั้งใจทำเพื่อแสดงฝีมือในการทำอาหาร แต่เพราะว่าโรคของเธอทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจไป กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จนในที่สุดการรับรู้รสอาหารก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอเปิดร้านได้เพียงสองปีเธอก็ต้องจ้างเชฟมาทำแทน ส่วนตัวเองก็ผันตัวมาเป็นผู้บริหารแทน เมื่อลงจากรถ ไม่ทันจะเปิดประตูเธอก็ได้ยินเสียงจากห้องครัวดังออกมาถึงหน้าประตูด้านนอก อัญญาที่เข้ามามองพนักงานเสิร์ฟกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริง ที่หันหลังคุยกันสองคน “เห็นเชฟใหม่หรือยัง หล่อมาก” “อุ๊ย จริงอะ ยังไม่เห็น เดี๋ยวขอไปส่องก่อน” “เดี๋ยวไปรับออร์เดอร์ก็เห็นแล้ว อย่าไปเลย เดี๋ยวคุณยามาพวกเราจะถูกดุเอา ยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนแกอารมณ์ไม่ค่อยดี” “ก็มีคนดูลูกให้แล้วนะ” “อืม ไม่รู้เหมือนกัน รีบทำงานเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันแขกที่มากินดินเนอร์” สองพนักงา
“ก็เพราะความใจดีทำให้ฉันต้องเสียใจมาจนทุกวันนี้ ในเมื่อนายไปแล้วก็ควรไปให้พ้น อย่าได้กลับมาอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนมีศักดิ์ศรี” “ถ้าผมไม่อยากมีศักดิ์ศรีล่ะครับ” อัญญามองลึกเข้าไปในแววตานั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจริงทุกคำ “ถ้าอย่างนั้นนายก็มาสายเกินไปแล้ว เจ็ดปีมันนานเกินไป” “พี่พูดเหมือนยังคิดถึงผมมาตลอด” หญิงสาวพาลูกทั้งสองคนเข้าไปในรถ เพราะไม่อยากให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาอีก เมื่ออยู่กันสองคนเธอก็พูดความรู้สึกออกไป “ไม่ว่านายทำแบบนี้เพื่ออะไร มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่นายเลือกสิ่งนั้น ตอนนี้ฉันมีสามี และมีลูกที่น่ารักถึงสองคน นายไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก” “ถ้าหากผมจะบอกว่า วันนั้นผมไม่ได้อยากเลือกทางนั้น แต่เพราะถูกบังคับ พี่จะเชื่อผมไหม และที่สำคัญ ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาผมรักพี่ไม่เคยเปลี่ยน” คำว่ารักจากปากเขาง่ายดายนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันก็เหมือนน้ำเปล่าที่สาดลงพื้น ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “นายควรไปได้แล้ว” เธอพูดตัดบทไม่อยากสาวความยาวอีกจ
อัญญามองข้าวปั้น และข้าวหอมที่ตอนนี้กำลังนั่งกินไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์จากฝีมือของคนมาสัมภาษณ์งาน ดูท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ท่าทางคงอร่อยกว่าฝีมือเธอแน่ เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆนั่งลงบนโซฟาอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงเบนสายตามามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นสายตาคู่นั้นมองอยู่ที่เด็กสองคนอยู่แล้ว ก่อนจะหันมามอง และสบตาเธอ “ไม่นึกเลยว่าพี่จะมีลูกโตขนาดนี้แล้ว ผมไม่เจอพี่แค่ไม่กี่ปีเอง” “เจ็ดปี” เธอพูดจำนวนปีให้กับคนตรงหน้าแทนคำประมาณที่เขาพูดเอาไว้ตอนแรก ชายหนุ่มมองคนพูด “ครับ เจ็ดปีที่ผมไปเมืองนอก” “แล้วกลับมาทำไม” เป็นคำถามที่คนสัมภาษณ์งานไม่ควรถามที่สุด แต่เธอก็พูดคำในใจออกไปจนได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนมีโรคประจำตัวก็คือคนตรงหน้าเธอในตอนนี้ คงตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ใบหน้าที่ดูขี้เล่น อ่อนโยน และมีน้ำใจ ยังคงมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แต่เมื่อได้สัมผัสถึงความจริงข้างในจะรู้ว่ากำลังเล่นกับไฟที่ร้อนแรงจนสามารถกลับมาแผดเผาตัวเองจนตายได้ ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มกริ่ม ตอบไม่ตรงคำถาม “พี่คิดถึงผมใช่ไหม”





