“เปิดเพลงให้หน่อยสิ”
เซียวเฟิงทำเพียงมองตรงไปข้างหน้า เหมือนที่ทำมาตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองไปที่กระจกมองหลัง เพราะรู้ดีว่าเมริสาจะต้องกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชัง
“นี่! นายหูหนวกรึเปล่า ฉันบอกว่าให้เปิดเพลง ไม่ได้ยินรึไง”
เซียวเฟิงยังคงนิ่งเฉย มือกำแน่นรอบพวงมาลัย แต่หัวสมองกลับจินตนาการว่ากำลังบีบที่คอสวย ๆ ของหญิงสาวอยู่ การที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกับเธอมันแย่พอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเองเมื่อไหร่ ทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากมากขึ้นด้วยการยั่วโทสะเขาอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นการทำเป็นเกลียดเธอนั้นงายกว่า เพื่อปกปิดความต้องการจากส่วนลึก
“เซียวเฟิง ฉันรู้ว่านายได้ยิน ช่วยเปิดเพลงให้ฉันหน่อยได้ไหม” สุดท้ายเมริสาเอ่ยขอร้องเสียงนุ่มนวลขึ้น
“หืม ขอโทษครับที่ผมไม่ได้ยิน หูของผมมีปัญหานิดหน่อยเวลาคนอื่นพูดหยาบคายใส่”
“แค่ขอให้เปิดเพลงในรถทำให้ฉันเป็นคนหยาบคายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คุณหนูรู้อยู่แก่ใจดีครับ” ในที่สุดเซียวเฟิงก็ถือโอกาสมองไปที่กระจกมองหลัง แล้วก็รู้สึกเสียใจที่ทำแบบนั้น เมริสาสวมกระโปรงที่ยาวพอที่จะไม่ให้พ่อเธอสั่งให้ไปเปลี่ยนใหม่ แต่ก็สั้นพอที่จะให้เจ้านายเรียกเขาไปกำชับสั่งการ “ดูให้แน่ใจว่าเหมยจะไม่ใส่ของแบบนี้ไปเรียน”
แล้วตอนนี้เขาต้องเป็นคนดูแลเรื่องการแต่งตัวให้เธออีก ทำไมไม่ให้เขาทำหน้าที่เปลี่ยนผ้าอ้อมเธอไปเลยล่ะ
ก่อนหน้าที่คฤหาสน์ มีสายตาคนอื่นจับจ้องยังพอให้เขายับยั้งชั่งใจได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะไปรายงานว่าเขาแอบมองลูกสาวนายท่านอยู่ มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ บ่อยครั้งที่เขาแอบลอบมองเรียวขาที่เรียบเนียนชวนสัมผัส เขาคิดว่าจะต้องนุ่มลื่นเหมือนแพรไหมชั้นดี แต่เขาก็ไม่กล้าแตะต้องตัวเธอแม้กระทั่งปลายนิ้วเพราะไม่ไว้ใจตัวเอง เมื่อเมริสายกขานั่งไขว่ห้าง ปากขอของเขาเริ่มแห้งผาก
“ขอโทษนะเซียวเฟิง ช่วยเปิดเพลงให้ฉันหน่อยเถอะ ฉันรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป อย่างน้อยถ้าได้ฟังเพลงจะได้ไม่น่าเบื่อ”
น้ำเสียงหวานเลี่ยนเกินเหตุจนชวนคลื่นไส้แต่คล้ายคนพูดกำลังกัดฟันแทบทำให้เซียวเฟิงหลุดขำ
“ได้ครับคุณหนู” เซียวเฟิงเพียงแค่กดปุ่มบนพวงมาลัยวิทยุก็เปิดขึ้น “เห็นไหมครับ ถ้าคุณหนูเคารพคนอื่นคุณหนูก็จะได้ความเคารพกลับ”
“แล้วนายเป็นใครกัน”
เมริสาเบะปากใส่ชายหนุ่มก่อนที่จะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ ไถโซเชียลไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีอะไรทำ เซียวเฟิงแค่หัวเราะเบา ๆ และมุ่งความสนใจกลับไปที่ถนน
“ช่วยเปลี่ยนเพลงหน่อยได้ไหม เอาที่ไม่น่าเบื่อแบบนี้”
เซียวเฟิงมองหญิงสาวผ่านกระจก “เพลงอมตะเพราะดีนะครับ”
“เพลงอมตะ บรื๋ยยยย” เมริสาย่นจมูก ทำท่าทางขนลุก “ก็แค่คำที่ใช้เรียกเพลงยุคโบราณแค่นั้นแหละ”
เซียวเฟิงยิ้มมุมปาก รู้ว่าหญิงสาวจงใจยั่วโมโหตน เพราะเขารู้ว่าเธอก็ฟังเพลงที่เธอเรียกว่ายุคโบราณนี้ด้วยเหมือนกัน “ผมโตมากับเพลงพวกนี้ คุณหนูลองฟังดูหน่อยสิครับ”
“ไม่อะ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ เปลี่ยนเพลงเถอะ”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าการพยายามพูดอะไรที่มีเหตุผลกับหญิงสาวนั้นไม่ได้ผล เปรียบเหมือนหากพวกเขาติดอยู่ในอาคารที่กำลังไฟไหม้ เธอก็ยังจะด่าเขาที่จะช่วยพาเธอไปที่ปลอดภัย และที่ทั้งหมดเป็นแบบนี้ก็เป็นเขาเอง
เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เซียวเฟิงต้องคอยย้ำเตือนตัวเองให้เกลียดเมริสาอยู่ตลอดเวลา ให้เธอเข้าใจว่าเขาเกลียดเธอ จะได้ไม่ทำเหมือนเช่นในคืนนั้นอีก เขาต้องช่วยตัวเองจนนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อนึกถึงเรือนร่างอันเย้ายวนนั้น หากเพียงแค่ได้สัมผัสเธอครั้งหนึ่ง แน่ใจได้เลยว่าเขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ในทุกค่ำคืนเขาได้แต่ถามตัวเองว่าหากจิตใจเขาไม่แข็งแกร่งพอจะเกิดอะไรขึ้น
“คุณหนูได้ตารางเรียนของทุกวิชาหรือยังครับ”
เมริสาเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมา “เกี่ยวอะไรกับนายด้วย”
“ที่ผมถามเพราะมันมีผลกระทบต่อผม ถ้าคุณหนูไม่เตรียมตัวให้พร้อม นายท่านจะโทษว่าเป็นความผิดผม”
“ได้ยังไง ไม่ใช่ความผิดนายซะหน่อย”
“ครับ แต่คุณหนูลืมเรื่องที่แอบไปเจาะจมูกแล้วหรือครับ”
เมริสาสะดุ้งเมื่อชายหนุ่มเตือนให้นึกถึงเรื่องนี้ พอพ่อเห็นก็โมโหตวาดใส่เธอเสียงดังสั่งให้ถอดออกเดี๋ยวนี้
“แต่ฉันก็ยอมรับผิดคนเดียวแล้วนี่ นายจะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมอีก”
“คุณหนูคงไม่ทราบ ผมโดนนายท่านต่อว่าจนนั่งไม่ติดเป็นอาทิตย์”
เมริสาหัวเราะเบา ๆ “แต่พ่อจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ ยังเหลืออะไรให้ฉันทำอีกบ้างล่ะ”
เซียวเฟิงถอนหายใจ เขาไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้แต่อดไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงเศร้า ๆ ของเธอ “คุณหนูไม่รู้มาก่อนว่านายท่านจะให้คุณหนูไปเรียนที่หยวนจิงใช่ไหมครับ”
เมริสากลับไปสนใจโทรศัพท์มือถือใหม่ “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก”
“คุณหนูไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ หรือที่ไม่สามารถออกความเห็นว่าคุณหนูอยากเรียนที่ไหนได้”
เมริสาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเบือนหน้าหนี “นี่นายวางแผนอะไรอยู่รึเปล่า”
“อะไรครับ”
“นายกำลังพยายามซ้ำเติมฉันให้รู้สึกแย่กว่าเดิมเหรอ เก็บคำพูดนายไว้ซะเถอะ แล้วก็ไม่ต้องมาย้ำว่าฉันโชคดีแค่ไหน นายไม่เข้าใจหรอกว่าฉันไม่มีแม้กระทั่งคนให้ปรับทุกข์ด้วยได้”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”
“อ้อเหรอ นายไม่เคยตอกย้ำฉันเรื่องนั้นเลยสินะ”
น้ำเสียงเย้ยหยันของหญิงสาวสะท้อนใจของเซียวเฟิง เขาเคยย้ำเธออยู่ทุกวันสมัยตอนที่เธอทำตัวสร้างปัญหาให้คนอื่น ๆ ที่ตั้งใจดูแลปรนนิบัติเธอทั้งบรรดาแม่บ้านและบอดี้การ์ด
“ผมไม่อยากทำให้คุณหนูรู้สึกแย่หรอกครับ เพราะผมต้องตามติดคุณหนูไปทุกที่ แล้วถ้าคุณหนูไม่สบายใจก็มาระบายกับผมได้”
มาริสาเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกอุ่นวาบเมื่อได้ยินเขาบอกแบบนี้ “ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็บ่นไปตามประสา”
“ไม่เป็นไรครับตราบใดที่ผมไม่ต้องทำการบ้านให้คุณหนู”
ในที่สุดเมริสาก็วางโทรศัพท์มือถือลง “นายจะตามไปเรียนกับฉันจริง ๆ เหรอ แบบว่า แค่นั่งรอข้างนอกไม่ได้เหรอ”
“เสียใจด้วยครับ ผมแค่ทำตามคำสั่ง”
“แต่ฉันอายคนอื่นเขา นายไม่อายหรือไง”
เซียวเฟิงไม่แน่ใจว่าเธอตั้งใจทำให้เขารู้สึกแย่หรือว่าเธออยากรู้จริง ๆ
อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากภายในระยะเวลาอันสั้น เมริสาแทบไม่อยากเชื่อเมื่อเธอมองย้อนกลับไปยังช่วงเทอมที่ผ่านมา เธอเคยรู้สึกประหม่าเหลือเกิน เมื่อคิดว่าทุกคนกำลังจ้องมองเธออยู่ และคุยเรื่องของเธอกับเซียวเฟิงอย่างสนุกปาก เธอเคยกังวลกับเรื่องนั้นมากส่วนในตอนนี้ ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกแล้ว ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องรู้เรื่องของเธอเมื่อเปิดเรียนอีกครั้ง เมริสากับบอดี้การ์ดพ่วงด้วยสถานะคนรักของเธอได้ย้ายกลับไปอยู่ที่คอนโด แน่นอนว่าประตูถูกซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว และพ่อของเธอก็ยังจัดการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เธอไม่ต้องเห็นหรือสัมผัสสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับตี้หยางและค่ำคืนอันเลวร้ายนั้นอีก และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวอร์ชั่นปรับปรุงแล้วก็แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่งเวลาที่เมริสาเดินเคียงข้างเซียวเฟิงในมหาวิทยาลัย เธอรู้ดีว่าทุกคนต่างคิดถึงเรื่องเดียวกัน เซียวเฟิงช่วยชีวิตเธอไว้ ตี้หยางเกือบจะฆ่าเธอ หรืออาจฆ่าทั้งคู่ พวกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าทำ
เซียวเฟิงกำลังรออยู่ในห้องพักส่วนตัวอย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าจะเชื่อใจในเมริสาแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่จัดกระเป๋าเตรียมไว้ เธออาจจะมองว่าเขากลายเป็นคนขี้ขลาด แต่เขาไม่ได้ปัญญาอ่อนที่จะอยู่รอความตาย ถ้าหากจะหนี เขาจะต้องเตรียมความพร้อมบางทีเขาควรจะบอกเมริสาก่อนที่พวกเขาจะนั่งลงคุยกับพ่อของเธอว่า เขาได้รับคำสัญญาว่าเขาจะขออะไรก็ได้ตามใจ และทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ความคิดของเขาก็พุ่งตรงไปที่เธอทันทีเธอคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการ สิ่งเดียวที่ดีและจริงแท้ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยรู้จักเขาไม่มีโอกาสได้บอกเธอเรื่องทั้งหมดนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน ทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตึก และเพื่อนบ้านที่ตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขายังไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าเขารักเธอ ก่อนที่พวกเขาจะถูกแยกตัวไปสอบปากคำ เขามีเวลาเพียงพอแค่นัดแนะเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อ
หลิวเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง “นายล้อเล่นใช่ไหม”“ไม่ครับ ผมต้องการคุณหนู” เซียวเฟิงตอบเสียงจริงจัง หันไปมองเมริสาแล้วดึงมือเธอมากุมเพื่อยืนยัน “ผมรักเธอ คุณหนูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ที่ผมไปช่วยคุณหนูไม่ใช่เพราะคำสั่งนายท่าน แต่ผมไปเพราะผมอยากช่วยให้คุณหนูปลอดภัย ผมต้องการคุณหนู”เมริสาเบิกตาโตมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่ เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาบอกว่ารักเธอ ต่อหน้าพ่อเธอ ทั้งที่เขาไม่เคยบอกกับเธอมาก่อนใช่แล้ว เธอเองก็รักเขา เธออาจจะปฏิเสธว่าไม่ได้รักเขา แต่เธอรู้ตัวดี ต่อให้ปฏิเสธอย่างไรก็ตาม หัวใจเธอก็เป็นของเขาอยู่ดี แต่พ่อเธออาจเอาชีวิตเขาได้หลิวเจี้ยนขรึมลงในฉับพลัน กำลังข่มอารมณ์อยากฆ่าคนอย่างถึงขีดสุด “ฉันจะทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”“นายท่านครับ...”“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น ในเมื่อนายเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ว่าอยากได้ลูกสาวของฉัน” หลิวเจี้ยนลุกข
เพราะได้ยินเสียงร้องเตือนของเมริสา เซียวเฟิงจึงหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว กดหลังชิดกับผนังข้างประตูที่กำลังถูกเปิดออก เสียงกระสุนดังลั่นกระทบผนังฝั่งตรงข้ามในจุดที่เขาเคยยืนอยู่ มันคงเจาะทะลุร่างเขาไปแล้วถ้าเขาไม่หลบทันเขาหมุนตัวกลับมา ขึ้นไกปืนและเล็งเข้าไปในห้อง สายตาเฉียบคมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวภายในทันทีแต่คราวนี้ไอ้บ้าตี้หยางไม่ได้เล็งปืนมาที่เขา มันกลับเอาปืนจ่อหัวเมริสาและยังล็อกตัวเธอไว้ด้านหน้า“ฉันน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าแกก็ได้แต่หลบอยู่หลังผู้หญิง ฉันบอกแกแล้วว่านี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับนาย เหมยไม่เกี่ยว ปล่อยเธอไปซะ แล้วเราค่อยมาตกลงกันอย่างลูกผู้ชาย”“ไม่เกี่ยวยังไง” มือหยาบกร้านลูบไล้ที่อกอวบ มันน่าขยะแขยงมากจนเมริสาขนลุก ก่อนที่มันจะบีบขยำเต็มแรง “เป็นไง ความรู้สึกที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ฉันจะเอานั่งนี่ต่อหน้าแก ฮ่า ๆ ๆ”“ไม่มีวัน เพราะฉันจะฆ่าแกก่อน”“ถ้าฉันลั่นไกจะเป็นยังไงน
“เธอไม่เอะใจเลยเหรอว่าทำไมฉันถึงไปหาเธอได้เร็วขนาดนั้น ฮ่า ๆ ๆ เธอคงคิดไม่ถึงละสิ ว่าฉันน่ะรออยู่ในโรงแรมใกล ๆ บ้านเธอตั้งนานแล้ว เพราะรู้ว่ายังไงเธอจะต้องโทรมาน่ะสิ เธอน่ะเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง ต้องโทษว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเธอโง่เอง”เมริสารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาโชว์ความฉลาด สิ่งที่เธอต้องทำคือทำให้ตี้หยางสงบที่สุด ระหว่างทางเขาค่อย ๆ จมดิ่งไปกับความแค้นในอดีต คอยพร่ำพรรณนาบอกว่าเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างไรบ้างหลังจากที่เซียวเฟิงสังหารพ่อของเขาตอนนี้เมริสานั่งอยู่ที่โซฟา วางมือไว้บนหน้าขาเพื่อให้ตี้หยางเห็นได้ถนัดว่าเธอไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ ส่วนเขาเดินไปรอบห้อง บางครั้งก็มองที่ประตูระเบียงแต่ไม่ได้เดินไปที่นั่น เขากำลังรอว่าเมื่อไหร่เซียวเฟิงจะมาเมริสามั่นใจว่าชายหนุ่มต้องมา เขาจะต้องได้รับแจ้งเตือนตอนประตูคอนโดเปิดทางโทรศัพท์ เธอได้แต่ภาวนาในใจให้เขาระวังตัว เธอไม่สนแล้วว่าเขาจะเคยโกหกหลอกลวงเธอ ไม่ว่าเขาจะทำงานอะไรให้พ่อ เธอปรารถนาเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องหนีไปจากที่นี่ใ
“นายแน่ใจว่าเป็นมัน?”“ครับ ผมเช็กเฟซบุ๊กคุณหนูแล้วก็เช็กอีเมล คุณหนูติดต่อกับมันไม่ผิดแน่ คุณหนูนัดกับมันให้ไปรอรับที่ประตูหลัง”“แล้วนายแน่ใจใช่ไหมว่ามันคือคนที่นายคิด”“ผมแฮ็กเข้าบัญชีมัน มีรูปมันกับเฉินเหว่ยที่ถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อนครับนายท่าน ผมเดาว่ามันน่าจะกลับมาใช้สกุลของแม่หรืออาจจะเป็นคนที่อุปการะเลี้ยง”“คิดจะแก้แค้นให้พ่อมัน หึ ฉันจะฆ่ามันไอ้สารเลว เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก”ในที่สุดเซียวเฟิงก็กระจ่างชัด ตลอดเวลาที่ไอ้ตี้หยางมันเข้าหา ไม่ใช่เพราะสนใจในตัวเมริสา แต่เป็นเพราะเขากับหลิวเจี้ยน ด้วยเหตุผลที่เธอไม่มีทางคาดเดาได้เพราะเธอไม่เคยรู้ว่าเขาทำอะไรไปบ้าง ว่าเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น เพียงเพราะพ่อของเธอสั่งให้ทำ เพราะคนคนนั้นกำลังจะให้การเป็นพยานปากสำคัญและต้องถูกปิดปากอย่างถาวรเขาพยายามคิดว่าคืนนั้นได้พลาดอะไรไป ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ เพร