รถยนต์แล่นตามเส้นทาง ลุคส์เหม่อมองวิวเมืองไทยจนกระทั่งรถขับผ่านโรงเรียนประถมเอกชนแห่งหนึ่ง ปรางค์ปรียาจูงมือลูกออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อน การจราจรหยุดชะงักอยู่ด้านหน้าโรงเรียน ลุคส์ยังคงมองวิวเหมือนเดิม แต่ฉับพลันสายตากลับหยุดลง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันลมหายใจขาดหายเป็นห้วงๆ มือสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อภาพที่เห็นทำให้เขาคิดว่าตนนั้นกำลังฝันอยู่ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติ จ้องมองภาพของผู้หญิงคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้ชายแล้วหยุดอยู่หน้าโรงเรียน ตัดสินใจขยับกายไปชิดหน้าต่างแล้วจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง หัวใจเขากำลังเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะเมื่อยิ่งมองเขาก็ยิ่งมั่นใจ จำไม่ผิดแน่เป็นเธอแน่ๆ ผู้หญิงที่เขาไม่เคยลืมจนถึงตอนนี้
บอดี้การ์ดหนุ่มเหลือบมองนายตนด้วยความรู้สึกสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไป จึงหัน มองวิวนอกหน้าต่างที่เจ้านายให้ความสนใจอยู่ ดวงตาคมกริบเบิกกว้างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้เห็น
ลุคส์จ้องมองทุกการกระทำทุกอากัปกิริยา แล้วมองเลยไปถึงเด็กชายที่กำลังจูงมือเธอแน่น สายตาจ้องมองเด็กชายไม่วางตา เด็กคนนั้นหน้าตาผิวพรรณไม่ได้เกิดจากพ่อซึ่งเป็นชาวเอเชียแน่ เกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นเป็นใครมีความเกี่ยวข้องยังไงกับปรางค์ปรียา
รถยนต์ขยับเคลื่อนไปด้านหน้า ลุคส์ยังคงจ้องมองสองร่างจนกระทั่งรถแล่นผ่านเลยไป เขาไม่อาจละสายตา จนกระทั่งรถขับเลย
“มาติช!”
“ครับนาย”
“ไปสืบเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้ฉันหน่อย!”ลุคส์สั่งเสียงเข้ม
“ผู้หญิงคนไหนครับ?”บอดี้การ์ดหนุ่มกวน
“แกก็เห็นเหมือนฉันแล้วจะมาย้อนทำไม!”ชายหนุ่มเริ่มฉุน
“ได้ครับ เจ้านาย”
รุ่งเช้าวันใหม่ปรางค์ปรียาแต่งตัวในชุดเดรสสีสดใสก่อนจะเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน เธอย้ายออกมาอยู่ที่บ้านใหม่ไม่ได้อาศัยอยู่กับเพื่อนเหมือนเคย เพราะเกรงใจ ไทม์เองก็โตขึ้น ไม่อยากรบกวนพ่อแม่พินไปตลอดชีวิต เธอจำต้องออกมาสร้างครอบครัวด้วยตนเอง
ยิ่งเติบโต ไทม์ยิ่งเหมือนเหลือเกิน ใบหน้าของลูกทำให้คิดถึงเขาไม่เคยลืม... ลูกชายที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจเป็นเด็กฉลาดไม่ดื้อ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่เหมือนพ่อที่โหดร้ายป่าเถื่อนต่อเธอ
เสียงรถยนต์จอดเทียบหน้าบ้าน กวินภพโบกมือเมื่อเห็นเจ้าของบ้านออกมาพร้อมกับบุตรชาย เขาลงจากรถอุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนด้วยความเอ็นดู
“สวัสดีครับอาวิน”ไทม์ยกมือไหว้
“สวัสดีครับน้องไทม์ วันนี้อาจะไปส่งนะครับ”กวินภพบอก
“ครับ”
ลุคส์จ้องมองภาพนั้น แล้วขบกรามแน่น เธอแต่งงานแล้วใช่ไหม อยากจะไปตะบันหน้ามันจริงๆ แสดงว่าเด็กคนนั้นคงเป็นลูกของเธอกับชายคนนั้น แต่ใบหน้าและสีผมของเด็กคนนั้นทำไมถึงไม่เหมือนคนเอเชีย แต่กลับเหมือนเด็กลูกครึ่งทางยุโรปมากกว่า คงคิดทางเดียวเท่านั้น
สองแม่ลูกขึ้นรถก่อนยานพาหนะคันนั้นจะเคลื่อนออกจากบริเวณรั้วบ้าน ลุคส์กัดฟันแน่น เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใครกันแน่ เพราะเขาไม่มีวันให้ไอ้ผู้ชายหน้าไหนมาสมอ้างเป็นพ่อเด็กแน่นอน หากเด็กคือลูกของเขา
พินอาภาหน้าบึ้งตึง เม้มริมฝีปากไม่พอใจ เหตุใดพ่อถึงได้บังคับเธอหนักหนาให้มาทำงานเป็นเลขา มันเป็นงานที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย แค่เห็นเอกสารก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว
“แกไม่คิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างหรือไงยัยพิน!” ภูมิชัยเหลืออด
“ก็หนูไม่ชอบทำงานกับพ่อนี่ ให้หนูไปทำงานกับปรางค์ได้ไหม?” ทำเสียงอ่อนลงแล้วยิ้มหวานรอให้พ่ออนุมัติ
“ไม่ต้องมาอ้อนพ่อไม่อนุญาต อย่างแกถ้าไม่มีคนคุมล่ะก็มีหวังได้ชิ่งหนีไม่มาทำงานแน่!”
หญิงสาวชักสีหน้าไม่พอใจ แล้วรีบหันไปหาเพื่อนตนเองที่กำลังจัดเอกสารการประชุมอยู่ที่โต๊ะเพื่อขอความเห็นใจ แต่เธอกลับเห็นเพียงเพื่อน กำลังสนใจอยู่กับการทำงาน ได้รับมอบหมายจากบิดา วันนี้บิดาให้ปรางค์มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย เพราะตัวเธอเองยังไม่เก่งงานด้านเอกสารมากนัก
ปรางค์ปรียามองเพื่อนแล้วลอบยิ้มออกมา เธอเห็นความรักความอบอุ่นแบบนี้มานานแล้ว ระหว่างเพื่อนกับบิดาสนิทสนมกันมาก จนบางครั้งเธอยังแอบอิจฉาเล็กๆ
พนักงานและผู้ถือหุ้นเริ่มเข้ามาในบริษัท ปรางค์ปรียาทำหน้าที่จดย่อรายละเอียดการประชุมในวันนี้ ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเดินเข้ามาภายในบริษัทเพื่อร่วมประชุมใหญ่กับผู้ถือหุ้น ทุกคนเข้ามาแล้วแยกย้านนั่งประจำที่ตนเอง
ลุคส์เดินตรงไปที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง แต่เท้ากลับหยุดชะงักดวงตาเรียวคมทอดมองร่างบางที่กำลังยืนอยู่ หญิงสาวในความทรงจำอยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวใจเต้นระรัว มันอิ่มเอม จุกแน่นจนบอกไม่ถูก ไม่คิดว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับเขาถึงเพียงนี้
ปรางค์ปรียาก้มหน้าก้มตาจัดเอกสารเพื่อเตรียมงานโดยไม่ได้มองว่าใครมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พินอาภารู้สึกได้ถึงใครบางคนจึงเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวตกอยู่ในสภาวะไม่ต่างจากถูกแช่แข็ง อ้าปากค้างด้วยความตกใจ มือไม้ก็อ่อนไปหมดจนปากกาตกลงสู่พื้นโดยไม่ตั้งใจ ปรางค์ปรียามองปากกาแล้วย่อกายลงหยิบส่งคืนให้เพื่อน
“พินปากกาหล่นแล้วทำอะไรอยู่!”
ยื่นปากกาให้เพื่อนแต่กลับรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของพินอาภา เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้ทำหน้าราวกับเห็นผี เงยมองตามเพื่อน ร่างบางนิ่งงันราวกับถูกสาป หัวใจกระตุกวูบ ใบหน้าเริ่มซีดเซียวริมฝีปากสั่นระริก มือบางสั่นเทาจนแทบจับอะไรไม่ได้ ขากำลังอ่อนแรงลงจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น พินอาภารีบเข้าไปประคองเพื่อนงจ้องหน้าเขาอย่างไม่วางตา
ลุคส์ยืนผสานสายตา ทุกคนในห้องประชุมเริ่มงุนงงกับอาการแปลกๆ ของเลขาประธาน และผู้ถือหุ้นรายใหม่ พินอาภารู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เลยโอบเอวแล้วพยุงออกจากห้อง
“ปรางค์อดทนหน่อยนะ ใกล้จะถึงประตูแล้ว!”พินอาภาบอก
ภูมิชัยมองบุตรสาวและเพื่อนด้วยสีหน้างงๆ แล้วรีบเดินตามไปทันที เขายืนนิ่งอยู่ต่อหน้าลูก เหลือบมองเลขาจำเป็น ปรางค์ปรียานั่งนิ่งน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย เขาสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นยัยพิน”
“พ่อคะ ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นใครคะ?”พินอาภาถาม
“คนไหนล่ะ”ภูมิชัยย้อนบุตรสาว
“ผู้ชายฝรั่งคนนั้นไงคะ ทำไมเขาถึงมาประชุมร่วมกับเราล่ะคะพ่อ!”
“เค้าชื่อลุคส์ เป็นนักธุรกิจฝรั่งเศสเค้าเป็นหุ้นส่วนของพ่อ เราเพิ่งเซ็นสัญญากันไปเมื่อวาน”ประธานบริษัทบอกก่อนจะยิ้มกว้าง
พินอาภาทำท่าจะขยับปากพูดเรื่องราวในอดีตออกมา แต่ถูกเพื่อนจับมือไว้พร้อมกับส่ายหน้าไม่ให้พูดความจริงหากภูมิชัยรู้เรื่องนี้ต้องยกเลิกสัญญาแน่นอน แล้วบริษัทจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง เธอจำต้องกัดฟันระงับความโกรธของตนเอง พินอาภาแววตาหม่นลง
อีกแล้ว... ไม่สามารถช่วยอะไรเพื่อนได้อีกแล้ว
“พ่อไปประชุมเถอะ ปรางค์ไม่สบายหนูก็เลยพาออกมา วันนี้ยังไงให้พนักงานที่เก่งงานด้านเอกสารจัดการแทนปรางค์ไปก่อนแล้วกันนะคะ”
ภูมิชัยถึงกับพูดไม่ออก ดูนาฬิกาข้อมือชายวัยทองรีบจ้ำกลับไปที่ห้องประชุมเมื่อเห็นว่าได้เวลา พินอาภารีบกุมมือเพื่อนไว้แน่น มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวด้วยความสงสาร ไม่รู้ว่าเพราะอะไรโลกมันถึงกลมขนาดนี้ ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งให้พบเจอผู้ชายคนนั้นอีก แล้วแบบนี้ปรางค์จะทำเช่นไรเล่า
ปรางค์ปรียาพยายามข่มน้ำตาเอาไว้ในอก อดทนกล้ำกลืนมานานกว่าจะยอมรับและทำใจกับมันได้ แต่เวลานี้แผลเป็นในใจของเธอกำลังกลัดหนอง ภาพความเจ็บปวดทรมานที่เคยได้รับมันวนกลับมาให้หวาดผวาอีกครั้ง ความโหดร้ายของเขายังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึก และรสสัมผัส เธอเหมือนคนกำลังจะขาดใจ ทำไม! ต้องเจอเขาอีกครั้งทำไมกัน! อุตส่าห์อยู่ห่างจากเขาตั้งไกล พรหมลิขิตบ้าบออะไรที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ เธอไม่ต้องการเจอเขาอีกแล้ว
แม้ปากเธออยากจะร้องห้ามอีก แต่ดันถูกเขาหยุดเสียงด้วยริมฝีปากหนาเสียก่อน จากขัดขืนในคราแรกไม่นานนักจึงเปลี่ยนเป็นหวานละมุนสมกับความคิดถึงที่ทั้งเธอและเขามีให้ต่อกัน เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่อาภรณ์หลุดหายออกจากเรือนร่างแต่เวลานี้ทั้งเธอและเขาต่างมอบความรู้สึกที่มีให้แก่กันเสียงนกร้องในรุ่งเช้าปลุกให้หญิงสาวลืมตาตื่น เหลือบมองสามีทีกำลังหลับอยู่ เธอลุกจากเตียงแต่งตัว รีบเดินตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน“ขอโทษนะคะ พอดีคุณท่านเชิญคุณไปพบค่ะ” สาวใช้มาบอกขณะเธอกำลังเข้าครัว“ฉันเหรอคะ?”“ใช่ค่ะ เชิญทางนี้นะคะ”ปรางค์ปรียารีบเดินตามสาวใช้ไปที่ห้องทำงานของเมแกนทันทีด้วยความแปลกใจ มาถึงหน้าห้อง ประตูเปิดออก เธอเห็นโดยชายชรากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ร่างบางหยุดยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะเรียกดิฉันมาพบ?”“มีสิ”มือเหี่ยวย่น เลื่อนกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ส่งให้หญิงสาว ปรางค์ปรียามองด้วยความแปลกใจ“เปิดดูสิ”ยอมเปิดดูตามคำบอก ภายในบรรจุด้วยสร้อยสีเงินดูธรรมดา แต่ที่น่าแปลกคือจี้ที่เหมือนกับที่ลุคส์ให้เธอในวันที่เธอจากมา และตอนนี้สร้อยนั้นเธอใส่ให้กับไทม์ไว้“หมายความว่ายังไงคะ
หญิงสาวแสร้งนิ่งไม่ตอบคำถาม เธอรู้สึกหมั่นไส้เขาเสียเต็มประดา ก่อนหน้านั้นยังตวาดอยู่หยกๆ พอรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้“ผมดีใจมากแค่ไหนคุณรู้ไหมปรางค์...”เขาพร่ำบอกมือหนาโอบรัดเอวบางไว้แล้วแนบแก้มไปกับหน้าท้องที่ยังไม่ได้ยื่นออกมามากนัก โดยมีเพียงเสื้อผ้าเป็นปราการกั้นไว้เท่านั้น“ปล่อยนะคะ”หญิงสาวแสร้งบ่นแล้วยันเขาออกเบาๆชายหนุ่มยังคงยืนหยัดโอบเธอไว้เช่นนั้น เธอเลยจำต้องปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งเขายอมคลายอ้อมกอด ดวงตาของมีแววประกายสดใสผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ“กี่เดือนแล้วปรางค์ ไปหาหมอหรือยังแล้วมียาทานหรือเปล่า?”หลากหลายคำถามพรั่งพรูออกมาทันที“จะสนใจทำไมคะ”“ทำไมพูดแบบนี้ละปรางค์ ในท้องคุณนั้นลูกผมนะ แล้วอีกอย่าง... ตอนที่คุณมีไทม์ผมไม่เคยแม้กระทั่งดูแลหรือรับรู้เลยด้วยซ้ำ”เสียงเขาเศร้าลงจริงอย่างที่เขาพูด...ช่วงเวลาที่มีไทม์อยู่ในท้องเธอเองทั้งเจ็บปวดทั้งสุขใจ มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมดแต่สุดท้ายแล้วเมื่อเธอได้เห็นหน้าลูก ความรู้สึกที่เกลียดพ่อของเขามันก็ถูกฝังลงในส่วนลึกของจิตใจแทน“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดฉันอภัยให้คุณหมดแล้ว ถึงแม
ชายชราถือไม้เท้ายืนนิ่ง อยู่ด้านหน้าหลุมศพที่สลักชื่อลูกัส ดาโคริด ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา เริ่มมีน้ำตาเอ่อนองออกมา ด้วยความรู้สึกผิดจับใจ เขารู้ซึ้งถึงความเหงาและเจ็บปวดแล้ว เวลานี้ไม่มีใครมาสนใจ หรือเหลียวแลชายชราเช่นเขาอีก ลูกชายคนเดียวที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาใช้งานราวกับลูกน้องก็จากไป มันยิ่งทำให้รู้สึกว้าเหว่มากขึ้นเวลานี้บรรยากาศทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงลูกน้องและสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าพอพูดคุยกับเขาเช่นลูกัสเลย มือเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกไป ไม่ได้ถืออะไรมาฝากลูก ที่ไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ ไม่เคยได้รับรู้ว่าลูกัสชอบทานอะไร หรือชอบทำอะไรเลยสักอย่างเวลานี้มันคงสายไปแล้ว...หากว่าเขาอยากจะบอกขอโทษออกไปชายชราถือไม้เท้าเดินไปยังรถของตนเอง มือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าเพื่อปาดน้ำตาที่ยังตกค้างให้หมดไป ชีวิตคนแก่เช่นเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มากไม่นานนักหรอกมาเรีย...เขาจะไปพบเธอแน่นอน จะไปสารภาพความผิดที่เขาได้ทำไว้“เจ้านายต้องการอะไรอีกไหมครับ?”ลูกน้องถามเขา ชายชราโบกมือ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน หลังจากรถมาจอดสนิททหน้าคฤหาสน์แล้วเสียงที่ดังก้องกังวานมีเพียงเสียง
พินอาภาเดินมาใกล้เพื่อนสาว แล้วหยิบมือถือมาให้ดู ดวงตาคู่สวยเรื่อไปด้วยน้ำตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นสภาพเขานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอยู่ในสภาพแบบนี้“ตอนนี้เขาป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล วันๆ กินแต่เหล้า อะไรก็ไม่ยอมแตะ เราคงทำได้แค่นี้ ที่เหลือปรางค์ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”ร่างบางทรุดกายลงกับพื้น ยกมือปิดหน้าปล่อยโฮ พินอาภารีบเข้าไปประคองเพื่อน แล้วรั้งมากอดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่“เรายอมแล้วพิน...พาเรากับลูกไปหาเค้าที”ร่างเล็กปาดน้ำตาที่กำลังไหลมาไม่ขาด รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าไม่ยอมจางมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ดั่งเช่นเมื่อก่อน เขาหวังและสุดท้ายมันก็เป็นจริงเขาจะได้พบพ่อแล้วเขาดีใจมากเหลือเกินเช้าวันรุ่งไทม์ช่วยแม่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยความสุข พินอาภายิ้มกับท่าทางของหลานที่วิ่งไปรอบบ้านไม่ให้แม่ต้องขยับทำอะไรเลย เขาพยายามหาข้าวของที่จำเป็นมาใส่กระเป๋าเพราะตอนเย็นจะต้องเดินทางแล้ว“ปรางค์...ดูหน้าไทม์สิดีใจใหญ่เลย”พินอาภาบอกเพื่อนคนเป็นแม่หันไปมองลูกแล้วยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลูกมีความสุขหลังจากกลับมาจากฝรั่งเศสในวันนั้น“ขอบใจม
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสงสาร มีเพียงแค่เธอกับเขาเท่านั้น ที่ตอนนี้กำลังมีความสุขในรัก แต่ระหว่างเพื่อนสาวและผู้ชายคนนี้กลับทุกข์แสนสาหัส ทำเพื่ออะไรกันเธอไม่เห็นจะเข้าใจ“ไปที่ห้องก่อนเถอะค่ะ”“ครับ” นั่งจัดเสื้อผ้าตนเองในห้อง ใจก็นึกว่าจะทำยังไงถึงช่วยเพื่อนและลุคส์ได้ เธอรู้ว่าสองคนรักกันมาก แต่กลับมีเส้นบางๆ ที่ไม่อาจข้ามมาได้ นี่ยิ่งทำให้ทรมานใจหนักเข้าไปเสียอีก ไม่ใช่ว่าใครไม่ดี แต่เพราะมีเหตุผลจำเป็นต้องแยกจากกันเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นหลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พินอาภารีบเดินไปเปิดประตูก่อน พบกับเทเรซ่าน้าสาวของลุคส์ที่มายืนซึมอยู่“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”“หนูพิน...เอ่อ...หนูปรางค์ไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”พินอาภาชะงักจ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงตรงหน้า“ไม่ได้มาค่ะ”เธอตอบเสียงเบา“เหรอจ๊ะ งั้นไม่เป็นไรจ้ะน้าไปก่อนนะ”เสียงโวยวายบวกกับเสียงข้าวของมากมายในห้องแตกกระจาย ทำให้หญิงสาวรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นแฟนหนุ่มกำลังห้ามทัพเจ้านายตนเองโดยมีเทเรซ่าคอยห้ามปราบอีกคน“ผมจะบ้าแล้วรู้ไหม! เธอกลับมาหาฉันได้ไหมปรางค์...ฮือๆๆ” เขาสะอื้นหนักแล้วทรุดกายลงกับพื้นมือคว้าขวดเหล้าม
บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาคงทำได้แค่ปลอบใจและยืนมองแค่นั้นทุกอย่างคงต้องอยู่ที่คนสองคนแล้วเขาไม่รู้เหมือนกันว่าปรางค์ปรียาจะใจแข็งมากแค่ไหน“ฉันคิดถึงเธอปรางค์ปรียา...ฉันรักเธอได้ยินไหม!”เขาตะโกนลั่นออกมาร่างสูงใหญ่พยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนแต่กลับเซจนมาติชต้องรีบไปรับไว้ มาติชส่ายหัวไปมาด้วยความหนักใจ“ฉันอยากกินเหล้ามาติช พาฉันไปหน่อย...”แสงสีมากมายท่ามกลางคลับหรูใจกลางเมือง ร่างสูงใหญ่ยกน้ำสีอำพันเข้าปากไม่ขาดสายไม่รู้กี่ขวดที่หายเข้าไปในลำคอแต่เขากลับยังไม่หยุด มาติชทำได้แค่เพียงยืนดูอยู่เช่นนั้นอาจจะดีหากเจ้านายของเขาดื่มจนหลับไป ดีกว่าเห็นผู้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือใครต้องมาทุรนทุรายเพราะพิษรัก“มาติช...สั่งเหล้ามาอีกเซ่!”บอดี้การ์ดหนุ่มกวักมือเรียกบริกรทันที และเหล้ายี่ห้อหรูราคาแพงก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าเขา และผลของมันคือการที่ชายคนหนึ่งกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดสภาพ มาติชรีบเดินเข้าไปหาแล้วสั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วยช่วยกันลากเจ้านายตนเองกลับบ้าน ร่างสูงใหญ่ถูกวางลงบนฟูกหนาเขาพลิกกายเล็กน้อย“ปรางค์...กลับมาหาผมเถอะได้โปรด...”เสียงละเมอของเขายิ่งทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกสะท้