ลุคส์ขบกรามแน่น คิดแล้วไม่ผิดว่าต้องเป็นเธอ... การประชุมเริ่มขึ้นชายหนุ่มจึงหันไปสนใจกับงานแทน เขาจำต้องอดทนฟังหลายชั่วโมงผ่านไปจนกระทั่งจบ ชายหนุ่มรีบเดินออกจากห้อง แต่กลับไม่พบคนที่ต้องการจเอ ภูมิชัยมองตามด้วยความสงสัยก้าวเข้ามายืนเคียงหุ้นส่วนคนใหม่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”ภูมิชัยถาม
“เปล่าครับ”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกผมได้นะครับ”
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย เปิดปากถามคำถามภูมิชัยออกไปด้วยความสงสัย
“ผู้หญิงที่เดินออกจากห้องมา เธอทำหน้าที่อะไรเหรอครับ?”ลุคส์ถาม
“ผู้หญิงคนไหนเหรอครับ?”ภูมิชัยถาม เพราะผู้หญิงที่ออกมาจากห้องมีสองคน
“คนที่เหมือนว่าจะไม่สบายน่ะครับ?”
“อ๋อ ปรางค์ปรียาน่ะเหรอครับ เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของที่นี่ พอดีเธอเป็นเพื่อนลูกสาวของผม ผมเลยไหว้วานให้เธอช่วยเป็นเลขาจำเป็นแทนลูกสาวผมในวันนี้ครับ”
ลุคส์มีสีหน้าครุ่นคิด พยักหน้าช้าพร้อมกับกล่าวขอบคุณภูมิชัย แล้วหันหลังเดินออกมา ภูมิชัยงุนงงๆ กับท่าทีของเขา
“ใช่เธอจริงๆ ด้วยสินะปรางค์ปรียา” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง
กวินภพรีบจูงมือเด็กชายมาที่บ้าน ปรางค์ปรียาเมื่อเห็นบุตรชายตนเองร่างบางรีบตรงเข้าไปกอดไว้พร้อมกับสะอื้น ไทม์มองมารดาแล้วแหงนหน้ามองเพื่อนแม่ด้วยความงุนงง มือเล็กรีบโอบกอดมารดาตอบแล้วลูบแผ่นหลังเบาๆ หญิงสาว คลายอ้อมกอดแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออก ไม่อยากให้ลูกต้องมาเห็นสภาพแม่ตัวเองเป็นเช่นนี้
“แม่ครับ แม่เป็นอะไรทำไมแม่ต้องร้องไห้ละครับ?”เด็กชายถามมารดา
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอกครับไทม์ แม่แค่คิดถึงไทม์มากเท่านั้นเอง เดี๋ยวไทม์ไปอาบน้ำนะครับจะได้ลงมาทานข้าวกับแม่...”เธอเอ่ยปากบอกบุตรชายเบาๆ พร้อมกับลูบศีรษะเล็กด้วยความรัก
“ครับแม่”
ร่างเล็กรีบวิ่งขึ้นห้องตนเองไป กวินภพมองหญิงสาวมือหนารีบรั้งมือบางมากุมไว้แล้วจูงไปพูดคุยกัน ดวงตาคมมองมายังสาวที่หมายปองนิ่งหลังจากที่ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนหลังบ้าน
“ปรางค์เป็นอะไร ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้?”เขาถาม แล้วสบตาหญิงสาว
“ปรางค์ไม่ได้เป็นอะไรวิน ปรางค์แค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อยเท่านั้นเอง...”
มือหนาคว้ามือบางกุมไว้แน่น ปรางค์ปรียาระบายลมหายใจ เธอรับรู้ความรู้สึกของกวินภพได้ แต่ไม่อาจรับมันไว้ในใจ
“ดูแลตัวเองบ้างนะปรางค์ วินเป็นห่วงมากรู้ไหม...”เขาบอกเสียงเบา
“เข้าใจแล้ววิน ไม่ต้องเป็นห่วงปรางค์หรอกนะ”
หลังจากมื้ออาหารผ่านไป ร่างบางเดินมาส่งเพื่อนชายหน้าบ้าน กวินภพยิ้มให้ เขาเอื้อมมือทำท่าจะเปิดประตูเข้าไปในรถแต่กลับชะงัก แล้วหันกายกลับมามองอีกครั้ง เธอแปลกใจเมื่อเห็นเขาเดินมาหายืนนิ่งไม่พูดอะไรแต่กลับรั้งร่างบางมากอดไว้แน่น คนถูกกอดตกใจกับท่าทีของเพื่อนชายแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามผลักไส เพราะเธอเองได้รับความช่วยเหลือจากเขามามาก ไม่นานอ้อมกอดถูกคลายเขายิ้มเขินๆ ให้
ในที่สุดเขาก็ยอมกลับไปขึ้นรถตนเองแล้วขับออกไป ดวงตาคมจ้องมองการกระทำที่ผ่านมาสักครู่ของทั้งสอง เขาขบกรามเป็นสันนูน ในอดเดือดดาลอยากกระชากไอ้ผู้ชายคนนั้นมาซัดให้หมอบราบคาบ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนั้นผู้หญิงคนนั้นเธอไม่ใช่ของเขา และไม่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก การพบกันในวันนี้ทำให้เขาได้รู้ว่า เธอทั้งรังเกียจและกลัวเขามากเพียงใด
มาติชส่ายหน้า ทำอะไรไม่ได้คงได้แค่เอาใจช่วยเจ้านายเท่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ง่ายเลยที่จะทำให้หญิงไทยยอมรับ เพราะเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจและร่างกายมากมาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวังแค่เธอคนนั้นจะยอมอ่อนลงบ้างให้นายได้แก้ตัว
ปรางค์ปรียาจูงมือบุตรชายออกมาจากบ้าน วันนี้เธอสัญญากับไทม์ว่าจะพาไปเที่ยวที่สวนสนุก เด็กชายตัวน้อยยิ้มด้วยความดีใจ
“พร้อมไปเที่ยวกับแม่หรือยังครับไทม์?”เธอถามบุตรชาย
“พร้อมแล้วครับ”เด็กชายรีบตอบ
“งั้นก็ไปกันเลย”
หญิงสาวจูงมือบุตรชายพากันเดินมานอกบ้าน เโบกแท็กซี่แล้วพากันเข้าไปนั่ง ไม่นานนักรถก็มาจอดยังสวนสนุกใจกลางเมือง ไทม์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจวิ่งนำมารดาอย่างรวดเร็ว ดวงตาซุกซนมองเครื่องเล่นมากมายด้วยความตื่นเต้นยิ่งเห็นมารดาเดินช้ายิ่งขัดใจ มือเล็กจึงรีบจูงมือแม่ไว้แล้วลากให้ตามมาทันที เกือบเย็นถึงจะสิ้นฤทธิ์ของจอมซนลงได้
“ง่วงหรือยังครับ?”หญิงสาวถามเมื่อเห็นบุตรชายตาปรือ
“ครับแม่”
“งั้นกลับบ้านเรากันนะครับ”
ปรางค์ปรียาจูงมือบุตรชายมายืนรอรถที่หน้าสวนสนุก รถแท็กซี่จอดรอรับ ไทม์รีบเข้าไปก่อน รถเคลื่อนได้สักระยะเด็กน้อยผล่อยหลับศีรษะหนุนตักแม่ มือบางลูบไล้ใบหน้าบุตรชายเบาๆ ด้วยความเอ็นดูแล้วจุมพิตที่หน้าผาก
รถแท็กซี่แล่นมาตามทาง แต่ดันเกิดอาการรวน รถเลยจอดเทียบข้างทาง โชเฟอร์แท็กซี่รีบลงมาดูแล้วส่ายหน้า
“ขอโทษนะครับ พอดีรถผมเสีย”
“เหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะงั้นฉันลงตรงนี้เลยก็ได้เพราะใกล้ถึงบ้านแล้ว...”
หญิงสาวรีบปลุกบุตรชาย ไทม์งัวเงียตื่นแล้วมองมารดาตนเองด้วยความงุนงง ร่างเล็กลงมาจากรถตามแรงจูงของมารดา
“เดินอีกหน่อยนะลูก นิดเดียวก็ถึงบ้านแล้วครับ”
“ครับแม่”
ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าปากซอยบ้าน แต่ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำแล้วทำให้ซอยนี้ค่อนข้างมืดและเปลี่ยวไม่น้อย ลุคส์นั่งดูสองแม่ลูกในรถเขาถอนหายใจหนัก มีบางอย่างสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเด็กคนนั้น ให้มาติชไปสืบมา เด็กคนนั้นไม่มีบิดาในเอกสารการเกิดที่โรงพยาบาล แล้วใครกันที่เป็นพ่อเด็กจากการคำนวณ ระยะเวลาที่เขาและเธอแยกจากกันมันประจวบเหมาะกับอายุของเด็กคนนี้พอดี แล้วจะให้ คิดยังไงได้ หน้าตาของเด็กคนนั้นไม่ได้เหมือนชาวเอเชียแต่กลับมีลักษณะบางส่วนที่ออกไปทางยุโรปผสมกับเอเชีย เด็กคนนี้เป็นลูกครึ่งแน่นอน
ร่างบางพาบุตรชายมาถึงหน้าบ้านแล้วรีบไขประตูเข้าด้านใน ไทม์วิ่งเข้าบ้านก่อนมารดา เธอจึงหันมาเพื่อปิดรั้วบ้านแต่กลับชะงักเมื่อพบใครบางคนกำลังยืนอยู่หน้าประตู กุญแจในมือหล่นลงพื้นทันที ร่างบางถอยหลังอ้าปากค้างด้วยความกลัวกายสาวสั่นเทา ดวงตาคมกริบกำลังจ้องมองมา ปรางค์ปรียาจำได้ไม่มีวันลืมว่าเขาคือใคร
“คุณมาทำไมออกไปนะ!”เธอตวาดไล่เขาลั่น
“ฉันมีเรื่องที่ต้องการรู้”
“เรื่องบ้าอะไร ออกไป! ออกไปนะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!”
“เธอคิดว่าฉันกลัวตำรวจหรือไง ถ้ากลัวฉันคงไม่มาที่นี่หรอก!”
“คุณต้องการอะไร!”หญิงสาวถามเสียงสั่น
“เด็กคนนั้น ฉันต้องการพบลูกของเธอ”เขาประกาศกร้าว
“ไม่มีวัน อย่ามายุ่งกับลูกของฉัน ออกไปซะแล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก!”
แม้ปากเธออยากจะร้องห้ามอีก แต่ดันถูกเขาหยุดเสียงด้วยริมฝีปากหนาเสียก่อน จากขัดขืนในคราแรกไม่นานนักจึงเปลี่ยนเป็นหวานละมุนสมกับความคิดถึงที่ทั้งเธอและเขามีให้ต่อกัน เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่อาภรณ์หลุดหายออกจากเรือนร่างแต่เวลานี้ทั้งเธอและเขาต่างมอบความรู้สึกที่มีให้แก่กันเสียงนกร้องในรุ่งเช้าปลุกให้หญิงสาวลืมตาตื่น เหลือบมองสามีทีกำลังหลับอยู่ เธอลุกจากเตียงแต่งตัว รีบเดินตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน“ขอโทษนะคะ พอดีคุณท่านเชิญคุณไปพบค่ะ” สาวใช้มาบอกขณะเธอกำลังเข้าครัว“ฉันเหรอคะ?”“ใช่ค่ะ เชิญทางนี้นะคะ”ปรางค์ปรียารีบเดินตามสาวใช้ไปที่ห้องทำงานของเมแกนทันทีด้วยความแปลกใจ มาถึงหน้าห้อง ประตูเปิดออก เธอเห็นโดยชายชรากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ร่างบางหยุดยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะเรียกดิฉันมาพบ?”“มีสิ”มือเหี่ยวย่น เลื่อนกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ส่งให้หญิงสาว ปรางค์ปรียามองด้วยความแปลกใจ“เปิดดูสิ”ยอมเปิดดูตามคำบอก ภายในบรรจุด้วยสร้อยสีเงินดูธรรมดา แต่ที่น่าแปลกคือจี้ที่เหมือนกับที่ลุคส์ให้เธอในวันที่เธอจากมา และตอนนี้สร้อยนั้นเธอใส่ให้กับไทม์ไว้“หมายความว่ายังไงคะ
หญิงสาวแสร้งนิ่งไม่ตอบคำถาม เธอรู้สึกหมั่นไส้เขาเสียเต็มประดา ก่อนหน้านั้นยังตวาดอยู่หยกๆ พอรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้“ผมดีใจมากแค่ไหนคุณรู้ไหมปรางค์...”เขาพร่ำบอกมือหนาโอบรัดเอวบางไว้แล้วแนบแก้มไปกับหน้าท้องที่ยังไม่ได้ยื่นออกมามากนัก โดยมีเพียงเสื้อผ้าเป็นปราการกั้นไว้เท่านั้น“ปล่อยนะคะ”หญิงสาวแสร้งบ่นแล้วยันเขาออกเบาๆชายหนุ่มยังคงยืนหยัดโอบเธอไว้เช่นนั้น เธอเลยจำต้องปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งเขายอมคลายอ้อมกอด ดวงตาของมีแววประกายสดใสผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ“กี่เดือนแล้วปรางค์ ไปหาหมอหรือยังแล้วมียาทานหรือเปล่า?”หลากหลายคำถามพรั่งพรูออกมาทันที“จะสนใจทำไมคะ”“ทำไมพูดแบบนี้ละปรางค์ ในท้องคุณนั้นลูกผมนะ แล้วอีกอย่าง... ตอนที่คุณมีไทม์ผมไม่เคยแม้กระทั่งดูแลหรือรับรู้เลยด้วยซ้ำ”เสียงเขาเศร้าลงจริงอย่างที่เขาพูด...ช่วงเวลาที่มีไทม์อยู่ในท้องเธอเองทั้งเจ็บปวดทั้งสุขใจ มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมดแต่สุดท้ายแล้วเมื่อเธอได้เห็นหน้าลูก ความรู้สึกที่เกลียดพ่อของเขามันก็ถูกฝังลงในส่วนลึกของจิตใจแทน“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดฉันอภัยให้คุณหมดแล้ว ถึงแม
ชายชราถือไม้เท้ายืนนิ่ง อยู่ด้านหน้าหลุมศพที่สลักชื่อลูกัส ดาโคริด ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา เริ่มมีน้ำตาเอ่อนองออกมา ด้วยความรู้สึกผิดจับใจ เขารู้ซึ้งถึงความเหงาและเจ็บปวดแล้ว เวลานี้ไม่มีใครมาสนใจ หรือเหลียวแลชายชราเช่นเขาอีก ลูกชายคนเดียวที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาใช้งานราวกับลูกน้องก็จากไป มันยิ่งทำให้รู้สึกว้าเหว่มากขึ้นเวลานี้บรรยากาศทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงลูกน้องและสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าพอพูดคุยกับเขาเช่นลูกัสเลย มือเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกไป ไม่ได้ถืออะไรมาฝากลูก ที่ไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ ไม่เคยได้รับรู้ว่าลูกัสชอบทานอะไร หรือชอบทำอะไรเลยสักอย่างเวลานี้มันคงสายไปแล้ว...หากว่าเขาอยากจะบอกขอโทษออกไปชายชราถือไม้เท้าเดินไปยังรถของตนเอง มือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าเพื่อปาดน้ำตาที่ยังตกค้างให้หมดไป ชีวิตคนแก่เช่นเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มากไม่นานนักหรอกมาเรีย...เขาจะไปพบเธอแน่นอน จะไปสารภาพความผิดที่เขาได้ทำไว้“เจ้านายต้องการอะไรอีกไหมครับ?”ลูกน้องถามเขา ชายชราโบกมือ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน หลังจากรถมาจอดสนิททหน้าคฤหาสน์แล้วเสียงที่ดังก้องกังวานมีเพียงเสียง
พินอาภาเดินมาใกล้เพื่อนสาว แล้วหยิบมือถือมาให้ดู ดวงตาคู่สวยเรื่อไปด้วยน้ำตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นสภาพเขานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอยู่ในสภาพแบบนี้“ตอนนี้เขาป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล วันๆ กินแต่เหล้า อะไรก็ไม่ยอมแตะ เราคงทำได้แค่นี้ ที่เหลือปรางค์ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”ร่างบางทรุดกายลงกับพื้น ยกมือปิดหน้าปล่อยโฮ พินอาภารีบเข้าไปประคองเพื่อน แล้วรั้งมากอดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่“เรายอมแล้วพิน...พาเรากับลูกไปหาเค้าที”ร่างเล็กปาดน้ำตาที่กำลังไหลมาไม่ขาด รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าไม่ยอมจางมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ดั่งเช่นเมื่อก่อน เขาหวังและสุดท้ายมันก็เป็นจริงเขาจะได้พบพ่อแล้วเขาดีใจมากเหลือเกินเช้าวันรุ่งไทม์ช่วยแม่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยความสุข พินอาภายิ้มกับท่าทางของหลานที่วิ่งไปรอบบ้านไม่ให้แม่ต้องขยับทำอะไรเลย เขาพยายามหาข้าวของที่จำเป็นมาใส่กระเป๋าเพราะตอนเย็นจะต้องเดินทางแล้ว“ปรางค์...ดูหน้าไทม์สิดีใจใหญ่เลย”พินอาภาบอกเพื่อนคนเป็นแม่หันไปมองลูกแล้วยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลูกมีความสุขหลังจากกลับมาจากฝรั่งเศสในวันนั้น“ขอบใจม
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสงสาร มีเพียงแค่เธอกับเขาเท่านั้น ที่ตอนนี้กำลังมีความสุขในรัก แต่ระหว่างเพื่อนสาวและผู้ชายคนนี้กลับทุกข์แสนสาหัส ทำเพื่ออะไรกันเธอไม่เห็นจะเข้าใจ“ไปที่ห้องก่อนเถอะค่ะ”“ครับ” นั่งจัดเสื้อผ้าตนเองในห้อง ใจก็นึกว่าจะทำยังไงถึงช่วยเพื่อนและลุคส์ได้ เธอรู้ว่าสองคนรักกันมาก แต่กลับมีเส้นบางๆ ที่ไม่อาจข้ามมาได้ นี่ยิ่งทำให้ทรมานใจหนักเข้าไปเสียอีก ไม่ใช่ว่าใครไม่ดี แต่เพราะมีเหตุผลจำเป็นต้องแยกจากกันเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นหลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พินอาภารีบเดินไปเปิดประตูก่อน พบกับเทเรซ่าน้าสาวของลุคส์ที่มายืนซึมอยู่“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”“หนูพิน...เอ่อ...หนูปรางค์ไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”พินอาภาชะงักจ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงตรงหน้า“ไม่ได้มาค่ะ”เธอตอบเสียงเบา“เหรอจ๊ะ งั้นไม่เป็นไรจ้ะน้าไปก่อนนะ”เสียงโวยวายบวกกับเสียงข้าวของมากมายในห้องแตกกระจาย ทำให้หญิงสาวรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นแฟนหนุ่มกำลังห้ามทัพเจ้านายตนเองโดยมีเทเรซ่าคอยห้ามปราบอีกคน“ผมจะบ้าแล้วรู้ไหม! เธอกลับมาหาฉันได้ไหมปรางค์...ฮือๆๆ” เขาสะอื้นหนักแล้วทรุดกายลงกับพื้นมือคว้าขวดเหล้าม
บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาคงทำได้แค่ปลอบใจและยืนมองแค่นั้นทุกอย่างคงต้องอยู่ที่คนสองคนแล้วเขาไม่รู้เหมือนกันว่าปรางค์ปรียาจะใจแข็งมากแค่ไหน“ฉันคิดถึงเธอปรางค์ปรียา...ฉันรักเธอได้ยินไหม!”เขาตะโกนลั่นออกมาร่างสูงใหญ่พยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนแต่กลับเซจนมาติชต้องรีบไปรับไว้ มาติชส่ายหัวไปมาด้วยความหนักใจ“ฉันอยากกินเหล้ามาติช พาฉันไปหน่อย...”แสงสีมากมายท่ามกลางคลับหรูใจกลางเมือง ร่างสูงใหญ่ยกน้ำสีอำพันเข้าปากไม่ขาดสายไม่รู้กี่ขวดที่หายเข้าไปในลำคอแต่เขากลับยังไม่หยุด มาติชทำได้แค่เพียงยืนดูอยู่เช่นนั้นอาจจะดีหากเจ้านายของเขาดื่มจนหลับไป ดีกว่าเห็นผู้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือใครต้องมาทุรนทุรายเพราะพิษรัก“มาติช...สั่งเหล้ามาอีกเซ่!”บอดี้การ์ดหนุ่มกวักมือเรียกบริกรทันที และเหล้ายี่ห้อหรูราคาแพงก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าเขา และผลของมันคือการที่ชายคนหนึ่งกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดสภาพ มาติชรีบเดินเข้าไปหาแล้วสั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วยช่วยกันลากเจ้านายตนเองกลับบ้าน ร่างสูงใหญ่ถูกวางลงบนฟูกหนาเขาพลิกกายเล็กน้อย“ปรางค์...กลับมาหาผมเถอะได้โปรด...”เสียงละเมอของเขายิ่งทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกสะท้