เขาออกไปจากห้องแล้ว... เวลานี้ห้องทั้งห้องเหลือเพียงร่างกายที่บอบช้ำกับน้ำตาที่ไม่เคยหยุดไหล เวลานี้เธอรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะหมดแรง เธอน่าจะตายไปซะ! จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว เพราะเท่านี้มันก็เหมือนกับตายทั้งเป็นอยู่แล้ว แต่อย่างน้อย... ก็ยังดีใจที่เพื่อนไม่ต้องมารับเคราะห์กับเรื่องนี้ แค่เท่านี้ก็รู้สึกเหมือนได้ตอบแทนบุญคุณแล้ว
ร่างบอบช้ำค่อยๆ พยุงกาย เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าภายในห้อง เสื้อเชิ้ตยี่ห้อหรู น้ำหอมราคาแพง แม้กระทั้งสูทแบรนด์เนมต่างถูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เธอถือวิสาสะหยิบเสื้อเชิ้ตของเขามาสวมไว้แล้วประคองกายไปนั่งที่มุมห้อง จนผล่อยหลับเพราะอ่อนเพลีย
มาตื่นตื่นขึ้นเมื่อประตูห้องเปิดออกในขณะที่มีถาดอาหารวางไว้แล้วปิดลงตามเดิม หญิงสาวเมินหน้าหนี ไม่สนใจอาหารน่าอร่อย ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางนั่งชันเข่าขึ้นแล้วซบหน้าลงสะอื้นไห้อย่างรวดร้าว เธอเจ็บปวดมากเหลือเกิน มันเกินทนแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ของเขาไปอีกนานเท่าไหร่ ริมฝีปากบางถูกกัดจนเลือดซึมออกมา... เล็บจิกลงบนท่อนแขนเพื่อระบายความแค้นในใจ
ลุคส์นั่งมองเอกสารตรงหน้าแล้วถอนหายใจ เขาแทบไม่เป็นอันทำงานเมื่อดันคิดถึงแต่ใบหน้าหวานของผู้หญิงเอเชียคนนั้น แม้กระทั่งเรือนร่างที่หาความสุขอย่างไม่รู้เบื่อ ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์ตนเองและตั้งสติกับงาน แต่ก็ทำแทบไม่ได้เลย พนักงานพรีเซนต์งานอยู่ แต่สติของดันหลุดลอยไปหาเรือนร่างงามอีกครั้ง เขาแทบเป็นบ้า ที่ไม่สามารถห้ามตัวเองได้เลย
“โถ่เว้ย!”ลุคส์สบถออกมาอย่างหัวเสีย
ทุกคนในห้องชะงัก หันมองประธานบริษัทกันเป็นตาเดียว เขารีบปรับสีหน้าท่าทางตนเอง สั่งให้ลูกน้องพรีเซนต์งานใหม่อีกครั้ง พยายามฝืนตนเองไม่ให้คิดถึงเรื่องเธอจนงานจบลงในที่สุด ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินไปที่รถประจำตำแหน่ง ด้วยใจจดจ่อ อยากพบเจ้าของร่างงามที่คฤหาสน์จนอดใจไม่ไหว
“นายครับจะไปที่ไหนครับ?”
“กลับบ้าน!”เขาตอบเสียงห้วน
มาติชมองหน้าเจ้านายด้วยความงุนงง น่าแปลกที่เห็นเจ้านายกลับบ้านเร็วเช่นนี้ เพราะปกติแล้วคนอย่างลุคส์จะไม่มีวันเข้าบ้านก่อนเที่ยงคืนเด็ดขาด
“มองอะไรทำไมไม่ไปล่ะ!”ชายหนุ่มเร่งเมื่อเห็นว่าลูกน้องยังคงนิ่งเฉยไม่ยอมออกรถตามที่เขาต้องการเสียที
ร่างอวบอัดในชุดแซกสีสดรัดแน่นเสียจนอวดสัดส่วนโค้งเว้า เอมม่าเธอมีฐานะเป็นคู่หมั้นของลุคส์นักธุรกิจส่งออกรถอันหนึ่งของฝรั่งเศส เธอก้าวเดินและทักทายทุกคนที่อยู่ที่นี่ด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับ ดวงตาสีมรกตจ้องมองไปยังทุกพื้นที่ภายในคฤหาสน์ที่คุ้นเคย แต่แล้วสายตาก็ต้องสะดุดกับห้องหนึ่ง ที่มีลูกน้องของคู่หมั้นยืนเฝ้ายามอยู่ด้านหน้า หญิงสาวชะงักรีบเดินไปทิศทางของห้องนั้นด้วยความสงสัยทันที
“ห้องนี้มีอะไรทำไมต้องมายืนเฝ้า”เอมม่าถามบอดี้การ์ดด้วยความแปลกใจ
“เป็นคำสั่งของเจ้านายครับ พวกเรามีหน้าที่ทำตามเท่านั้น”
“แล้วในนั้นมีอะไร!”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”บอดี้การ์ดพยายามตอบเลี่ยง
“ถ้าไม่มีฉันขอเข้าไปหน่อยก็แล้วกัน”เอมม่าพยายามแทรกตัวเข้าไปเพื่อเปิดประตูแต่ถูกกันไว้
เสียงหน้าห้องปลุกให้ร่างบางที่กำลังซบหน้าสะอื้นเงยหน้าขึ้น ร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงเพราะพิษรักของเขาและการที่ ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องค่อยๆ พยุงกายคืบคลานมาหน้าประตู ด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนช่วยเธอให้พ้นจากนรกนี้เสียที
ปัง! ปัง!
เธอทุบประตูและพยายามเปล่งเสียงร้องออกมาเท่าที่จะทำได้
“ช่วยด้วย... ช่วยฉันด้วย”เสียงแผ่วเบาพยายามเปล่งออกไป
เอมม่าชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงทุบประตู และเสียงผู้หญิงกำลังร้องขอความช่วยเหลือ เธอมองหน้าบอดี้การ์ดหน้าห้องด้วยความไม่พอใจ
“ใครอยู่ในห้อง!”เอมม่าถามสีหน้าไม่พอใจ
“พวกผมตอบไม่ได้ครับ”
“ถอยออกไป ฉันจะเข้าไปดู!”
“ไม่ได้ครับ!”
ร่างอวบอัดพยายามผลักบอดี้การ์ดออก แล้วเอื้อมมือหมายจะคว้าลูกบิดประตูเพื่อเปิดออกดูว่าใครกันที่อาจหาญมาอยู่ในห้องนี้ แต่กลับถูกลูกน้องของคู่หมั้นขวางไว้ไม่ให้เธอทำได้สำเร็จตามความต้องการ
“ถอยไปซะ ถ้าไม่อยากโดนไล่ออก!”เอมม่าสั่งเสียงดัง
“ถ้าพวกแกถอย ฉันจะไล่พวกแกออก!”ลุคส์สั่งเสียงกร้าว
เอมม่าหันควับไปหาเจ้าของเสียง กัดฟันแน่นด้วยความโกรธเดินไปหาเขา ง้างมือขึ้นหมายจะฟาดมันลงบนใบหน้า แต่เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้และจ้องมองด้วยความไม่พอใจ
“อย่าคิดจะทำแบบนี้กับผมเอมม่า!”
เจ้าของร่างอวบอัดจ้องมองเขานิ่งงันแล้วชักมือตนเองกลับมา ดวงตาเรื่อไปด้วยน้ำใสๆ รู้สึกคับแค้นใจ เขาไม่เคยมีท่าทีแสดงออกว่ารักเธอเลยสักครั้ง ไม่เคยพูดจาหวานหูไม่เคยเอาใจใส่หรือดูแลเหมือนคนรักทั่วไป
“ผู้หญิงในห้องนั้นเป็นใคร!”เธอถามเขาเสียงสั่น
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้!”
“ทำไมเอมม่าจะรู้ไม่ได้ในเมื่อเอมม่าเป็นคู่หมั้นของคุณนะลุคส์!”
“คู่หมั้นก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม คุณควรจะรู้จุดยืนของตัวเองนะเอมม่า!”
หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยความเสียใจ มืออวบยกขึ้นปิดใบหน้าแล้วสะอื้นออกมา เธอรักเขา แต่ทำไมเขาต้องทำเย็นชากับเธอแบบนี้ เธอมาหา มานอนกับเขา แต่เขาก็ต้องการแค่เพียงร่างกายของเท่านั้น ไม่เคยแม้กระทั้งพูดจาดีๆ หรือให้เกียรติกันเลย แม้แต่ครั้งเดียว
“แล้วคุณหมั้นกับเอมม่าทำไมคะลุคส์!”
“เพราะคุณเป็นลูกสาวของ อัลเบิร์ด แคลอไรน์”เขาตอบเสียงเรียบสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
“ทำไมคุณใจร้ายแบบนี้ ฮือๆๆๆ”
เขาไม่เคยรักผู้หญิงคนนี้ แค่ต้องการชื่อเสียงของตระกูลของเธอเท่านั้น ทุกอย่างที่ทำเพื่อธุรกิจ ที่เขาต้องฆ่าฟันแย่งชิงกับพี่น้องต่างมารดาในตระกูลมา ชีวิตของเขาเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายมามาก กว่าจะมีวันนี้และคนอย่างเขาไม่มีทางเสียเหลี่ยมใคร และไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สามารถมัดใจเขาได้
เขาเกลียดพ่อ! พ่อเป็นสาเหตุทำให้แม่ต้องตาย... ตระกูลอัลเบอร์ทีนต่างแก่งแย่งชิงดีเพื่อให้ได้สมบัติมหาศาล ที่บิดาของเขาเป็นคนสืบทอดมาจากปู่และย่าอีกที เขาต้องดิ้นรนเอาตัวรอด จากการถูกผู้หญิงของพ่อกำจัด กัดฟันทนเพื่อเรียนหนังสือ ศึกษาทุกอย่างและหาทางป้องกันตัวเองไปด้วย พ่อไม่เคยหันมาสนใจ หรือคิดจะปกป้องลูกในไส้ตนเองเลยสักครั้ง
บิดาของเขาต้องการให้พี่น้องจัดการกันเอง เพื่อจะได้เห็นว่าใครมีความสามารถมากพอ ที่จะกุมบังเหียนธุรกิจแทน เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องมารดา แต่แล้วก็ทำไม่ได้ เมื่อมารดาต้องจบชีวิตลง ความแค้นของเขาดั่งไฟโหมกระหน่ำ พยายามไต่เต้ากัดฟันเก็บความแค้นไว้ในอก ก่อนทะยานขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดกิจการที่แท้จริง และเมื่อถึงวันนั้นเขาจัดการคิดบัญชีกับทุกคน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของมารดาอย่างสาสม
ตระกูลอัลเบอร์ทีนกลายเป็นที่โจษจัน ด้านความโหดร้ายในการสืบทอดกิจการ เขาไม่ได้สนใจอะไรอีกวันที่กลับมาแก้แค้น เลือดสีแดงสดไหลนองเต็มพื้น ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ก่อนปิดคดีไปเงียบๆ เพราะเขาใช้อำนาจเงิน
“กลับไปซะเอมม่า!” ลุคส์ออกปากไล่แล้วเดินเข้าห้อง
หญิงสาวมองแผ่นหลังเขาที่หายไปในห้อง ทรุดกายลงกับพื้นปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย โหดร้ายนัก! หัวใจเขาทำด้วยอะไรถึงได้ไม่มีแม้แต่ความปราณี
ทันทีที่ได้ยินเสียงลูกบิดหน้าประตูห้องปรางค์ปรียารีบลุกขึ้นและถอยหนีจนชิดผนังห้องด้วยความกลัว และเมื่อเห็นเขาหัวใจเธอเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากร่าง กายเธอกำลังสั่นสะท้านออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเวลานี้เขากำลังยืนจ้องมองเธออยู่
แม้ปากเธออยากจะร้องห้ามอีก แต่ดันถูกเขาหยุดเสียงด้วยริมฝีปากหนาเสียก่อน จากขัดขืนในคราแรกไม่นานนักจึงเปลี่ยนเป็นหวานละมุนสมกับความคิดถึงที่ทั้งเธอและเขามีให้ต่อกัน เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่อาภรณ์หลุดหายออกจากเรือนร่างแต่เวลานี้ทั้งเธอและเขาต่างมอบความรู้สึกที่มีให้แก่กันเสียงนกร้องในรุ่งเช้าปลุกให้หญิงสาวลืมตาตื่น เหลือบมองสามีทีกำลังหลับอยู่ เธอลุกจากเตียงแต่งตัว รีบเดินตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน“ขอโทษนะคะ พอดีคุณท่านเชิญคุณไปพบค่ะ” สาวใช้มาบอกขณะเธอกำลังเข้าครัว“ฉันเหรอคะ?”“ใช่ค่ะ เชิญทางนี้นะคะ”ปรางค์ปรียารีบเดินตามสาวใช้ไปที่ห้องทำงานของเมแกนทันทีด้วยความแปลกใจ มาถึงหน้าห้อง ประตูเปิดออก เธอเห็นโดยชายชรากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ร่างบางหยุดยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะเรียกดิฉันมาพบ?”“มีสิ”มือเหี่ยวย่น เลื่อนกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ส่งให้หญิงสาว ปรางค์ปรียามองด้วยความแปลกใจ“เปิดดูสิ”ยอมเปิดดูตามคำบอก ภายในบรรจุด้วยสร้อยสีเงินดูธรรมดา แต่ที่น่าแปลกคือจี้ที่เหมือนกับที่ลุคส์ให้เธอในวันที่เธอจากมา และตอนนี้สร้อยนั้นเธอใส่ให้กับไทม์ไว้“หมายความว่ายังไงค
หญิงสาวแสร้งนิ่งไม่ตอบคำถาม เธอรู้สึกหมั่นไส้เขาเสียเต็มประดา ก่อนหน้านั้นยังตวาดอยู่หยกๆ พอรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้“ผมดีใจมากแค่ไหนคุณรู้ไหมปรางค์...”เขาพร่ำบอกมือหนาโอบรัดเอวบางไว้แล้วแนบแก้มไปกับหน้าท้องที่ยังไม่ได้ยื่นออกมามากนัก โดยมีเพียงเสื้อผ้าเป็นปราการกั้นไว้เท่านั้น“ปล่อยนะคะ”หญิงสาวแสร้งบ่นแล้วยันเขาออกเบาๆชายหนุ่มยังคงยืนหยัดโอบเธอไว้เช่นนั้น เธอเลยจำต้องปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งเขายอมคลายอ้อมกอด ดวงตาของมีแววประกายสดใสผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ“กี่เดือนแล้วปรางค์ ไปหาหมอหรือยังแล้วมียาทานหรือเปล่า?”หลากหลายคำถามพรั่งพรูออกมาทันที“จะสนใจทำไมคะ”“ทำไมพูดแบบนี้ละปรางค์ ในท้องคุณนั้นลูกผมนะ แล้วอีกอย่าง... ตอนที่คุณมีไทม์ผมไม่เคยแม้กระทั่งดูแลหรือรับรู้เลยด้วยซ้ำ”เสียงเขาเศร้าลงจริงอย่างที่เขาพูด...ช่วงเวลาที่มีไทม์อยู่ในท้องเธอเองทั้งเจ็บปวดทั้งสุขใจ มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมดแต่สุดท้ายแล้วเมื่อเธอได้เห็นหน้าลูก ความรู้สึกที่เกลียดพ่อของเขามันก็ถูกฝังลงในส่วนลึกของจิตใจแทน“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดฉันอภัยให้คุณหมดแล้ว ถึงแม
ชายชราถือไม้เท้ายืนนิ่ง อยู่ด้านหน้าหลุมศพที่สลักชื่อลูกัส ดาโคริด ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา เริ่มมีน้ำตาเอ่อนองออกมา ด้วยความรู้สึกผิดจับใจ เขารู้ซึ้งถึงความเหงาและเจ็บปวดแล้ว เวลานี้ไม่มีใครมาสนใจ หรือเหลียวแลชายชราเช่นเขาอีก ลูกชายคนเดียวที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาใช้งานราวกับลูกน้องก็จากไป มันยิ่งทำให้รู้สึกว้าเหว่มากขึ้นเวลานี้บรรยากาศทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงลูกน้องและสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าพอพูดคุยกับเขาเช่นลูกัสเลย มือเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกไป ไม่ได้ถืออะไรมาฝากลูก ที่ไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ ไม่เคยได้รับรู้ว่าลูกัสชอบทานอะไร หรือชอบทำอะไรเลยสักอย่างเวลานี้มันคงสายไปแล้ว...หากว่าเขาอยากจะบอกขอโทษออกไปชายชราถือไม้เท้าเดินไปยังรถของตนเอง มือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าเพื่อปาดน้ำตาที่ยังตกค้างให้หมดไป ชีวิตคนแก่เช่นเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มากไม่นานนักหรอกมาเรีย...เขาจะไปพบเธอแน่นอน จะไปสารภาพความผิดที่เขาได้ทำไว้“เจ้านายต้องการอะไรอีกไหมครับ?”ลูกน้องถามเขา ชายชราโบกมือ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน หลังจากรถมาจอดสนิททหน้าคฤหาสน์แล้วเสียงที่ดังก้องกังวานมีเพียงเสียง
พินอาภาเดินมาใกล้เพื่อนสาว แล้วหยิบมือถือมาให้ดู ดวงตาคู่สวยเรื่อไปด้วยน้ำตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นสภาพเขานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอยู่ในสภาพแบบนี้“ตอนนี้เขาป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล วันๆ กินแต่เหล้า อะไรก็ไม่ยอมแตะ เราคงทำได้แค่นี้ ที่เหลือปรางค์ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”ร่างบางทรุดกายลงกับพื้น ยกมือปิดหน้าปล่อยโฮ พินอาภารีบเข้าไปประคองเพื่อน แล้วรั้งมากอดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่“เรายอมแล้วพิน...พาเรากับลูกไปหาเค้าที”ร่างเล็กปาดน้ำตาที่กำลังไหลมาไม่ขาด รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าไม่ยอมจางมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ดั่งเช่นเมื่อก่อน เขาหวังและสุดท้ายมันก็เป็นจริงเขาจะได้พบพ่อแล้วเขาดีใจมากเหลือเกินเช้าวันรุ่งไทม์ช่วยแม่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยความสุข พินอาภายิ้มกับท่าทางของหลานที่วิ่งไปรอบบ้านไม่ให้แม่ต้องขยับทำอะไรเลย เขาพยายามหาข้าวของที่จำเป็นมาใส่กระเป๋าเพราะตอนเย็นจะต้องเดินทางแล้ว“ปรางค์...ดูหน้าไทม์สิดีใจใหญ่เลย”พินอาภาบอกเพื่อนคนเป็นแม่หันไปมองลูกแล้วยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลูกมีความสุขหลังจากกลับมาจากฝรั่งเศสในวันนั้น“ขอบใจม
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสงสาร มีเพียงแค่เธอกับเขาเท่านั้น ที่ตอนนี้กำลังมีความสุขในรัก แต่ระหว่างเพื่อนสาวและผู้ชายคนนี้กลับทุกข์แสนสาหัส ทำเพื่ออะไรกันเธอไม่เห็นจะเข้าใจ“ไปที่ห้องก่อนเถอะค่ะ”“ครับ” นั่งจัดเสื้อผ้าตนเองในห้อง ใจก็นึกว่าจะทำยังไงถึงช่วยเพื่อนและลุคส์ได้ เธอรู้ว่าสองคนรักกันมาก แต่กลับมีเส้นบางๆ ที่ไม่อาจข้ามมาได้ นี่ยิ่งทำให้ทรมานใจหนักเข้าไปเสียอีก ไม่ใช่ว่าใครไม่ดี แต่เพราะมีเหตุผลจำเป็นต้องแยกจากกันเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นหลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พินอาภารีบเดินไปเปิดประตูก่อน พบกับเทเรซ่าน้าสาวของลุคส์ที่มายืนซึมอยู่“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”“หนูพิน...เอ่อ...หนูปรางค์ไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”พินอาภาชะงักจ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงตรงหน้า“ไม่ได้มาค่ะ”เธอตอบเสียงเบา“เหรอจ๊ะ งั้นไม่เป็นไรจ้ะน้าไปก่อนนะ”เสียงโวยวายบวกกับเสียงข้าวของมากมายในห้องแตกกระจาย ทำให้หญิงสาวรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นแฟนหนุ่มกำลังห้ามทัพเจ้านายตนเองโดยมีเทเรซ่าคอยห้ามปราบอีกคน“ผมจะบ้าแล้วรู้ไหม! เธอกลับมาหาฉันได้ไหมปรางค์...ฮือๆๆ” เขาสะอื้นหนักแล้วทรุดกายลงกับพื้นมือคว้าขวดเหล้าม
บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาคงทำได้แค่ปลอบใจและยืนมองแค่นั้นทุกอย่างคงต้องอยู่ที่คนสองคนแล้วเขาไม่รู้เหมือนกันว่าปรางค์ปรียาจะใจแข็งมากแค่ไหน“ฉันคิดถึงเธอปรางค์ปรียา...ฉันรักเธอได้ยินไหม!”เขาตะโกนลั่นออกมาร่างสูงใหญ่พยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนแต่กลับเซจนมาติชต้องรีบไปรับไว้ มาติชส่ายหัวไปมาด้วยความหนักใจ“ฉันอยากกินเหล้ามาติช พาฉันไปหน่อย...”แสงสีมากมายท่ามกลางคลับหรูใจกลางเมือง ร่างสูงใหญ่ยกน้ำสีอำพันเข้าปากไม่ขาดสายไม่รู้กี่ขวดที่หายเข้าไปในลำคอแต่เขากลับยังไม่หยุด มาติชทำได้แค่เพียงยืนดูอยู่เช่นนั้นอาจจะดีหากเจ้านายของเขาดื่มจนหลับไป ดีกว่าเห็นผู้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือใครต้องมาทุรนทุรายเพราะพิษรัก“มาติช...สั่งเหล้ามาอีกเซ่!”บอดี้การ์ดหนุ่มกวักมือเรียกบริกรทันที และเหล้ายี่ห้อหรูราคาแพงก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าเขา และผลของมันคือการที่ชายคนหนึ่งกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดสภาพ มาติชรีบเดินเข้าไปหาแล้วสั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วยช่วยกันลากเจ้านายตนเองกลับบ้าน ร่างสูงใหญ่ถูกวางลงบนฟูกหนาเขาพลิกกายเล็กน้อย“ปรางค์...กลับมาหาผมเถอะได้โปรด...”เสียงละเมอของเขายิ่งทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกสะท้