ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 3
รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที
แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที
“โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?”
‘ใจเย็น ๆ’
น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม
“จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?”
‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’
“ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย”
‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’
“ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…”
‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’
“แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?”
‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’
“ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?”
ฉันโอดครวญอย่างหนักอกหนักใจ ซบหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างหมดอาลัยตายอยาก ในขณะที่ปลายสายเงียบอยู่ครู่ก็ถอนหายใจเบา ๆ
‘เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่ต้องไปคิดมากหรอกน่า’
“จะไม่ให้คิดได้ยังไง? รู้ไหมเมื่อกี้นี้สองบอกว่านี่เป็นแผนของเราที่ต้องการใกล้ชิดมันอีกครั้ง!”
‘ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ’
“ไม่เห็นจะขำ นี่ซีเรียสนะ”
‘มันก็กวนตีนไปเรื่อยแหละ คนอย่างมันจะมีอะไร’
“แต่…”
‘มันอาจจะแค่อยากคุยด้วยมั้งแยม ไม่มีอะไรหรอก’
“เรื่องให้ชวนคุยมีเป็นล้าน ต้องยกประเด็นนี้มาคุยด้วยหรือไง?”
‘งั้นเดี๋ยวเราไปคุยกับมันให้เอง’
“เราจะย้ายออก โอนเงินมัดจำคืนมาเลย” ฉันเอ่ยต่ออย่างเอาแต่ใจ ทว่าปลายสายกลับปฏิเสธทันควัน
‘ไม่ได้หรอก เราโอนเงินให้เฮียไปแล้ว’
“เราก็ไม่มีทางเลือกงี้?”
‘อยู่ ๆ ไปเหอะน่า ถือว่ากลับมาเจอเพื่อนเก่า’
“เพื่อนเก่ากับผีอะสิ”
‘ไว้เราคุยกับไอ้สองให้แล้วกัน’
“คุยว่าไง?”
‘ให้มันเลิกแหย่แยมไง’
“ฝันไปเหอะ หน้าหนายิ่งกว่าปูนโบกตึก”
‘เออเหอะน่า เดี๋ยวคุยให้ แค่นี้’
“ก็ถ้าเกิดว่าห้องอื่นมีคนย้ายออกต้องมาบอกเราทันทีนะ”
‘เออ ๆ’
แม้จะรู้ว่าปลายสายเอ่ยตอบส่ง ๆ แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจเสียงดัง คว้ากระเป๋าลงเดินลงจากรถอย่างหงุดหงิดใจ
และไม่ใช่แค่โซ่หรอกที่ต้องโทรหา ถึงตอนนี้เมื่อเห็นว่าแชตเฟซบุ๊กของลันตาขึ้นสถานะออนไลน์แล้ว ก็ไม่รอช้าต่อสายหาเพื่อนทันที พลางก็สับเท้าเดินตามคนอื่น ๆ ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอาคารไปด้วย
เสียงสัญญาณดังอยู่ครู่ปลายสายก็รับ ฉันเม้มปากแน่นอยากจะด่าเพื่อนให้สักยก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยปากถามให้รู้ความแน่ชัดเสียก่อน
“แกทำงี้หมายความว่ายังไง?”
‘โธ่แยม แกโกรธเหรอ?’
“แกบอกมาก่อนว่าทำไมถึงได้ไปเมืองนอกกะทันหันแบบนี้?”
‘…’
ขาสองข้างหยุดยืนตรงหน้าลิฟต์ตัวหนึ่ง ทันได้เห็นผู้ชายคนสุดท้ายพยายามจะเบียดตัวแทรกเข้าไปในลิฟต์ที่อัดด้วยคนเกือบสิบจนแน่น ทำเอาคนอื่น ๆ ต้องขยับพื้นที่ให้กัน
ฉันส่งสัญญาณบอกให้คนพวกนั้นไปก่อนได้เลย หมดล็อตนี้ก็เหลือแค่ฉันกับคนที่เพิ่งเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ก็เท่านั้น ไม่รู้จะเบียดกับคนอื่นไปเพื่ออะไร
“ลัน มีอะไรก็บอกมาเร็ว ๆ” ฉันกรอกเสียงใส่โทรศัพท์เอ่ยถามลันตาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเงียบเสียงไป
‘โธ่แยม จริง ๆ ฉันก็อยากจะอยู่กับแกนะ’
“เลิกอ้อมค้อมแล้วพูดมาสักที”
‘ฉันตามผู้ชายมา’
“ผู้ชายคนไหนอีก?”
‘ก็พอลไง คนที่บอกว่าเขาบินไปหาที่ไทยบ่อย ๆ’
“นี่คือเหตุผล?”
‘อย่าโกรธสิ ตอนแรกก็ว่าจะอยู่ที่ไทยต่ออีกหน่อย แต่งานของพอลรอช้าไม่ได้ต้องรีบกลับ แล้วฉันก็…’
ฉันได้แต่กลอกตามองบนฟังเพื่อนเล่ารายละเอียดอย่างเหลืออด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต่อให้โวยวายยังไงลันก็คงจะไม่กลับมาในเร็ววันนี้เป็นแน่ สุดท้ายเลยทำได้เพียงพ่นลมหายใจหงุดหงิดแล้วเอ่ยปัญหาของตัวเองทันที
“แกรู้ไหมว่าฉันต้องอยู่กับใคร?”
‘ทำไม? เพื่อนร่วมห้องคนใหม่เป็นตาแก่พุงพลุ้ยหรือไง?’
“สอง”
‘สองไหน?’
“สองไง”
“ไอ้สอง?”
“แกฟังไม่ผิดหรอก โซ่มันให้เราแชร์ห้องกับสอง”
‘Oh my god’
“ใช่ และแกก็ดันมาเทฉันอีกคน”
‘แยม…’
“จะบ้าตายแล้วนะเอาจริง”
‘ใจเย็น ๆ แกก็อดทนอยู่ไปก่อนไม่ได้เหรอ?’ น้ำเสียงของลันฟังดูเห็นอกเห็นใจระคนไปกับความขบขันเหมือนโซ่ไม่มีผิด
“ไม่ทนก็ต้องทน มัดจำก็จ่ายไปแล้ว ขอคืนก็ไม่ได้ แถมคอนโดดี ๆ ที่อยู่ใกล้ที่ทำงานแบบนี้หายากจะตาย แถมย่านนี้ยังรถติดนรกแตกสุด ๆ”
‘งั้นก็ทนไปก่อน’
“ยังคิดไม่ตกเลยว่าจะทนยังไงไหว นี่ขนาดเจอกันไม่พ้นยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ลมแทบจับแล้ว แถมสองก็ชอบถอดเสื้อเดินร่อนเหมือนเมื่อก่อน และตอนนี้ก็คือกล้ามเอยอะไรเอย แค่เห็นก็น้ำลายหกแล้ว”
‘ฮ่า ๆ ๆ ๆ แน่ใจนะว่าต้องใช้คำว่าทน’
“ทนดิ อุตส่าห์ทำใจมาได้ตั้งนาน จู่ ๆ ก็วนกลับมาเจอกันอีกแบบนี้ แถมต้องอยู่ห้องเดียวกันด้วย กว่าจะหมดสัญญาตั้งปีนึง”
ฉันร้องบอกเพื่อนอย่างหงุดหงิดใจ จังหวะเดียวกันลิฟต์อีกตัวก็เปิดออกพอดิบพอดี ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างกันเดินเข้าไปก่อน และฉันก็เดินตามเข้าไป ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงสัญญาณจากปลายสายก็ขาดไปด้วย
ฉันหลับตาลงอย่างหนักอก เดินถอยหลังพิงเข้ากับผนังด้านในของตัวลิฟต์ และเพิ่งได้มีโอกาสหันไปมองคนข้าง ๆ ซึ่งกดลิฟต์ไปที่ชั้นเดียวกัน ใจคิดว่าจะเอ่ยทักทายเผื่อว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน
หากแต่ตาสองข้างกลับต้องเบิกโตอย่างตระหนกตกใจ แม้อีกฝ่ายจะมีแมสก์สีดำปิดอยู่ครึ่งหน้า แต่แค่เห็นนัยน์ตาสีเข้ม กับเรียวคิ้วหนาที่เลิกขึ้นเล็กน้อยตอนที่ประสานสายตากัน ขาสองข้างก็แทบจะทรุดลงไปกอง
ร่างสูงข้างกายหัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะดึงเอาแมสก์ออกราวกับเป็นการเฉลยไปในตัว
สองที่โผล่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ไงไม่อาจทราบได้ กำลังยกยิ้มกว้าง ยืนกอดอกพิงไหล่เข้าหาตัวลิฟต์อย่างสบายอารมณ์
“สอง” ฉันเผลอส่งเสียงประหลาด กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคออย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามจะเอ่ยต่อ “สองตามเรามาหรือยังไง?”
ทว่าอีกคนกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยสวนในทันที
“ทีนี้ใครแน่ที่หลงตัวเอง?”
“ก็แล้วทำไมมานี่ได้ แถมยังไปชั้นเดียวกัน…”
ฉันอึกอักเสียงแผ่วลงทุกขณะ คนข้าง ๆ ไม่ตอบคำถาม และจังหวะเดียวกันลิฟต์ก็มาถึงที่หมายบนชั้นที่ 24
ประตูลิฟต์เปิดออก แผ่นป้ายอะคริลิกที่ระบุว่าชั้นนี้เป็นที่ทำการของสำนักงานบริษัทใดแปะหราโดด ๆ เพียงป้ายเดียว
อีกคนเป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อน ในขณะที่ฉันยิ่งรู้สึกประสาทจะกินรายชั่วโมง สองหยุดยืนนิ่ง เหลียวสายตามองกลับมาพร้อมทั้งพยักหน้าเรียก
“ออกมาดิ ถึงแล้ว”
“…”
แม้ใจจะวุ่นวายหนักแต่ฉันก็ต้องระงับสติตัวเองเอาไว้ สาวเท้าเดินตามออกไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะอย่างไรก็มาถูกที่แล้วจริง ๆ
ยังไม่ทันที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงสิ่งที่คับอกข้องใจ สองกลับเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อนด้วยกระแสเสียงกวนโทโสเหมือนเคย
“ก็ไหนว่าไม่ได้ชอบแล้ว”
“ก็ไม่…”
“แล้ว… ที่ว่าน้ำลายหกคืออะไร?”
“…”
แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยประกายแห่งชัยชนะ ในขณะที่ฉันได้แต่ใบ้กิน เพราะเพิ่งระลึกได้ว่าเมื่อครู่พล่ามอะไรให้ลันตาฟังบ้าง
ที่แย่คือ… ไม่ใช่แค่ลันคนเดียวที่ได้ยิน…
คู่สนทนาตรงหน้าเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม พร้อมกันก็ยกมือขึ้นจับป้ายชื่อพนักงานที่คล้องคอของตนอยู่ สายตาจ้องมองมาที่ป้ายแบบเดียวกันบนหน้าอกฉัน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงขัน ๆ
“นี่ก็บังเอิญปะ? ทำงานที่เดียวกันงี้?”
“…”
ให้ตาย… นี่มันวันนรกแตกหรือยังไง…