Share

บทที่ 4

Author: ACHICHI
last update Last Updated: 2025-03-12 17:38:37

ระยะปลอดเพื่อน

ตอนที่ 4

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วย

ทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี

และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี

“คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย”

“สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง

แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…

สายตานับสิบคู่จ้องมองมา แม้ริมฝีปากทุกคนจะยิ้ม แต่สายตาของเพื่อนร่วมงานใหม่ต่างหันมองหน้ากันเอง ราวกับกำลังสื่อสารกันผ่านทางโทรจิตยังไงยังงั้น ถึงขั้นที่ว่าเลื่อนสายตาสำรวจการแต่งกายของฉันกันคนละทีสองที

แม้วันนี้ฉันจะแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยด้วยชุดสูทเป็นการเป็นงาน แต่ก็อย่างที่บอกว่าสีสันของมันอาจจะจัดจ้านเกินไปไม่มากก็น้อย ตอนนี้เลยดูเหมือนตัวเองกำลังเรืองแสงอยู่ตรงกลางห้องท่ามกลางสายตาคนอื่น ๆ ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีเรียบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

หากแต่สายตาแปลก ๆ ของทุกคนรวมกันยังไม่เท่ากับสายตาของคนคนหนึ่งที่กำลังนั่งเท้าคางมองมาจากมุมหนึ่งทางด้านขวา

และฉันก็สาบานเลยว่าไม่รู้มาก่อนจริง ๆ ว่าสองทำงานอยู่ที่นี่

ก็ถ้าหากรู้… หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่มา!

ตอนค่ำ

การเริ่มงานใหม่ในวันแรกเป็นไปอย่างเหม่อลอย ตั้งแต่เที่ยงวันลากยาวกระทั่งกลับมาถึงห้อง ตลอดทั้งวันฉันแทบไม่มีแก่จิตแก่ใจในการทำงาน แม้จะมีห้องส่วนตัวแยกจากคนอื่น ๆ ทว่าห้องนั้นกลับเป็นกระจกใสมองเห็นทุกคนได้ถนัดชัดตา

แม้จะเป็นคนที่ถูกคนอื่นจับตามองเสมอตั้งแต่ยังอยู่ที่เก่า เนื่องจากการทำงานแบบก้าวกระโดดเร็วกว่าชาวบ้าน แต่ที่นั่นก็ไม่เหมือนกันกับที่นี่เลยสักนิด

ที่นี่ดูเหมือนทุกคนจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าคนมาใหม่แบบฉันหัวเดียวกระเทียมลีบสุด ๆ

แต่ที่แย่ยิ่งกว่าสายตาประหลาดพวกนั้นที่วันหนึ่งคงทำใจให้ชินได้ คงไม่พ้นเรื่องที่สองเอาแต่ชำเลืองมองกันแทบจะทุก ๆ ห้านาทีตลอดทั้งวัน

และทันทีที่กลับมาถึงห้อง ฉันก็ต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลา ไหนจะต้องรีบเอารองเท้าออกมาเรียงเข้าชั้น ไหนจะต้องเก็บของ ไหนจะต้องทิ้งขยะ กว่าจะได้อาบน้ำก็ปาไปเกือบสองทุ่ม และห้องน้ำก็ดันต้องใช้ร่วมกัน

อาบไปก็กระวนกระวายไปว่าอีกคนจะกลับเข้ามาเมื่อไร เอาเป็นว่าหัวสมองตอนนี้มันหวาดระแวงไปหมด

จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้กลัวสอง

แต่ฉันกลัว… กลัวว่าระหว่างเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม และเพราะรู้นิสัยตัวเองดีว่าแพ้ให้กับความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้การอยู่กันอย่างห่าง ๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ไม่งั้นหากกลับไปลงอีหรอบเดิม คนที่จะนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าคงจะเป็นฉันเหมือนเดิม เอาเป็นว่าไม่เสี่ยงดีกว่า

แกร๊ก!

“…”

“…”

มันคงจะเป็นคราวซวยของฉันเองที่ไม่รีบอาบน้ำก่อนที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น ตอนนี้เลยต้องมาเผชิญกับสายตาคมที่ชำเลืองมองมา สองเตะรองเท้าไปทางหนึ่งส่งเดช โยนกุญแจรถไว้บนชั้นวางรองเท้า บ่งชัดว่าเพิ่งจะกลับมา

สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้คือกอดผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มเรือนร่างอยู่เอาไว้แน่น แล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อที่จะเข้าห้อง แต่อีกฝ่ายก็ราวกับจะรู้ทัน รีบเดินมาขวางหน้าประตูเอาไว้

“หลบไป เราจะเข้าห้อง”

ฉันช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่า พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ แม้ว่าจะแอบร้อน ๆ หนาว ๆ ไปทั้งตัวกับสายตาของคนตรงหน้าก็ตามที

แต่สองก็ไม่ยอมหลีกทางให้ ทั้งยังทิ้งแผ่นหลังพิงประตูอีกต่างหาก จนต้องร้องบอกอีกครั้งอย่างหงุดหงิด

“หลบ”

“ถ้าเราให้แยมเข้าห้องก็คงไม่ได้คุย”

“มีเรื่องอะไรให้คุย เราจะไปนอนแล้ว”

“นี่เพิ่งจะสองทุ่ม”

“เรานอนไว”

“เมื่อก่อนเห็นตีสองตีสามยังคุยกับเราได้ตลอด”

“นั่น… มันเมื่อก่อน”

สองคงจะหมายถึงเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะกี่โมงกี่ยามฉันผู้เป็นเพื่อนสนิทก็จะสแตนด์บายรออยู่เสมอไม่ว่ามันจะไปทำอะไรมาก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง

“ขอเบอร์”

“อะไร…”

โทรศัพท์มือถือของคู่สนทนาถูกยื่นมาตรงหน้า เจ้าตัวไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบ

“ก็เป็นทั้งเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมงาน แถมยังเคยเป็นเพื่อนสนิท ขอเบอร์ไว้หน่อยจะเสียหายอะไร”

“เรา…”

“เอามาเหอะ แยมไม่ให้เดี๋ยวเราก็ไปหามาได้อยู่ดี”

“…”

อีกฝ่ายยกยิ้มอย่างเป็นต่อ และมันก็คงจริงตามนั้นหากจะหาจริง ๆ ก็คงไม่ยากอะไรนัก ยังไงเพื่อนของสองก็เป็นเพื่อนของฉันเหมือนกัน สุดท้ายเลยจำใจคว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ติดต่อเอาไว้ให้

แต่พอเงยหน้ามองอีกทีก็ต้องรู้สึกอุณหภูมิข้างแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา นัยน์ตานิ่งสนิทของสองจับจ้องอยู่บริเวณเนินอกที่โผล่พ้นขอบผ้าเช็ดตัวของฉันอย่างไม่คิดจะปิดบัง และฉันก็อายจนต้องยกมือปกปิดของสงวนของตัวเองเอาไว้ จนอีกคนบิดยิ้มขบขัน

“ไม่เห็นจะต้องเขิน”

“ไม่ได้เขิน”

“หน้าแดงขนาดนั้นไม่เขินแล้วเรียกว่าอะไร?”

“หลบไปได้แล้ว เราจะเข้าห้อง”

“ยังคุยไม่เสร็จ”

“จะเอาอะไรอีก?” ฉันแหวออกมาอย่างหมดความอดทน ก่อนจะลืมตัวผลักข้างแก้มของคนตรงหน้าให้หันมองไปทางอื่น “ถ้าจะคุย ต้องเลิกจ้องนมเราก่อน”

“ก็มันใหญ่…”

“ทุเรศ!”

อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะแว้ดใส่เสียงดัง แต่คนโดนด่ากลับหัวเราะออกมาได้เมื่อกวนประสาทกันสำเร็จ ถึงอย่างนั้นก็ยอมเลื่อนสายตากลับมามองหน้าแทนที่จะจ้องนมเหมือนเดิม

“ทีเมื่อก่อนแยมเรียกไอ้ยักษ์เราว่าน้องหนอนเรายังไม่เคยว่า เวลาแยมมองน้องหนอนของเรา เราก็ไม่เคยหวง…”

“สอง!”

ฉันตะโกนตัดบทเสียงดังเมื่อคนบ้ายกเรื่องพวกนั้นขึ้นมาพูดหน้าตาเฉย ริมฝีปากยิ้มกว้างกว่าเดิมตอนที่โดนฟาดเข้าให้ที่ข้อแขน

ฉันไม่ได้มองไอ้น้องหนอนอะไรนั่นสักหน่อย ก็มันเห็นเอง!

เลิกเอาเรื่องเก่ามาพูดสักทีโว้ย! อาย!

“ทีงี้ทำมาเป็นหวงเนื้อหวงตัว”

“กับคนหน้าหนาแบบนี้ก็ต้องหวงหน่อย”

“เห็นมาเป็นพันเต้า แค่นี้ไม่ทำให้รู้สึกอะไรหรอก”

“หน้าไม่อาย ถ้าผ่านผู้หญิงมาขนาดนั้นไปตรวจเอดส์บ้างเหอะ”

“กินข้าวยัง?”

“…”

ฉันที่ตั้งท่าจะโวยวายอะไรต่อกลับต้องชะงักค้างไปกับประโยคที่สองขัดขึ้นกลางลำ ถึงเจ้าตัวเองก็ดูจะกระอักกระอ่วนพอกันที่เอ่ยออกมา กระนั้นสายตาก็ไม่ได้ละไปจากการจ้องสบตา

คงเป็นเพราะไม่ได้ยินคำเอ่ยชวนแบบนี้จากคนตรงหน้ามานาน ทำให้ฉันเผลอเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะต้องตื่นจากภวังค์เพราะเสียงเปิดประตูห้องที่ดังขึ้นกะทันหัน

บานประตูห้องเปิดออกโดยไม่ทันตั้งตัวด้วยบุคคลที่สามจากด้านนอก และในขณะที่ฉันอยู่ในอารามตกใจ สองก็รีบขยับกายมายืนบังกันเอาไว้ทันที

ผู้ชายสองคนหน้าห้องกำลังจะเดินเข้ามากลับต้องชะงักนิ่งอยู่ตรงนั้นเมื่อคงจะเห็นว่าตอนนี้มีผู้หญิงในสภาพห่อผ้าเช็ดตัวยืนอยู่ด้วย

และสองก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

“วันนี้พวกมึงห้ามเข้า”

“อะไร?” หนึ่งในสองคนเอ่ย กระนั้นคนที่ว่าก็ยอมก้าวถอยหลังออกไปอย่างพอจะรู้สถานการณ์

“เดี๋ยวกูไปหาที่ห้อง เพื่อนกูมาอยู่ด้วย”

“โอเค”

การสนทนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และประตูก็ปิดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน คงมีแค่ฉันคนเดียวที่คิดช้ากว่าใครเพื่อน แต่ทันทีที่สบโอกาสจะหนีเข้าห้องก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อสองหันกลับมาคว้าแขนไว้ได้ทัน

ระหว่างเรามันใกล้เกินพอดีไปหน่อย ตัวฉันที่กำลังพยายามจะเปิดประตู มีสองยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง แค่เหลียวสายตาขึ้นมองก็ต้องร้อนผ่าวไปทั้งตัว

เพราะคนที่ยืนซ้อนกันอยู่กำลังก้มหน้าลงมาจนใกล้ อีกทั้งสายตาก็จับจ้องบริเวณเนินเนื้อในมุมที่ถนัดชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“สะ… สอง”

“ยังเหมือนเดิม” เสียงแหบห้าวเอ่ยขัด สายตาเลื่อนกลับมาสบตา

“สองปล่อยก่อน”

“ตัวแยม…”

“…”

“ยังเป็นกลิ่นที่เราชอบเหมือนเดิม”

“…”

คงไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ตกอยู่ในภาวะนิ่งงันกับสายตาและคำพูดของสอง ถึงเจ้าตัวเองก็คงจะเพิ่งรู้ตัวว่ามันใกล้มากไป

สองขยับตัวถอยห่าง พร้อมทั้งปล่อยแขนฉันให้เป็นอิสระก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“แต่งตัวเสร็จ ไปหาข้าวกินกัน”

“ไม่ไป”

“ให้เวลาสิบนาที”

“สอง”

“ถ้าไม่อยากคุยเรื่องของคนอื่น ๆ ที่ทำงานก็ตามใจ”

“…”

ดูเหมือนว่าคนเสนอจะตัดสินคำตอบได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องรอฟัง เป็นฉันเองที่หลับตาถอนหายใจก่อนจะรีบเดินเข้าห้องไปแต่งตัวตามคำสั่งอย่างจำใจ

โอเค… จะยอมให้รอบนึงก็แล้วกัน
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ระยะปลอดเพื่อน   บทที่ 96

    อาการที่ผมเป็นในตอนนี้…ทั้งสายตาที่ไม่สามารถหยุดมองอีกคนได้ รวมถึงก้อนเนื้อที่กลางอกเต้นตุบ ๆ เป็นจังหวะรัวเร็วราวกับผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก จะบอกว่าผม… ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง… ก็ไม่ผิดนัก… ยิ่งมองคนที่เพิ่งรู้จักกัน ใจก็ยิ่งเต้นแรงยิ่งแยมเองก็ลอบมองมาเหมือนกันผมก็แทบจะกลั้

  • ระยะปลอดเพื่อน   บทที่ 95

    ระยะปลอดเพื่อนตอนพิเศษ 4 หลายปีก่อน การเปิดเรียนของมหา’ลัยเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกคนรอบข้างต่างก็เป็นนิสิตใหม่ หลังจากต้องอดทนนั่งฟังพวกพี่ว้ากอยู่นานกว่าสองชั่วโมง สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่าจะโดดรับน้องให้มันรู้แล้วรู้รอด หลังจากนั่งกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารในซอยข้างมหา’ลัยเสร็จ เ

  • ระยะปลอดเพื่อน   บทที่ 94

    “เหนื่อยไหม?” คนข้าง ๆ หันมาเอียงคอมองด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจจนผมหลุดขำ “เหนื่อยอะไร?” “ก็สองทำทุกอย่างเลยนี่” สายตาเบนมองหน้าจอโน้ตบุ๊กที่เปิดค้างเอาไว้ “เหนื่อยก็บ้า เราแรงเยอะจะตาย มีพลังงานให้ใช้อีกเหลือเฟือ” “…” “กินข้าวเลยปะ? เราทำข้าวต้มกุ้งไว้”

  • ระยะปลอดเพื่อน   บทที่ 93

    ระยะปลอดเพื่อนตอนพิเศษ 3 หลายเดือนต่อมา ตอนนี้จะบอกว่าผมเป็นพ่อบ้านเต็มตัวก็ไม่ผิดนัก… ถึงจะทำงานไปด้วย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านผมเป็นคนจัดการเองทั้งหมด แยมกลับไปทำงานแล้วตั้งแต่สองเดือนหลังคลอด แม้จะอยากให้เมียพักอีกสักหน่อย แต่เจ้าตัวยืนยันว่ากลับมาแข็งแรงดีแล้ว เลยไม่อ

  • ระยะปลอดเพื่อน   บทที่ 92

    ระยะปลอดเพื่อนตอนพิเศษ 2 หลายเดือนต่อมา ช่วงนี้แยมท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีเลยต้องหยุดงานรอคลอดมาได้สามเดือนเข้าให้แล้ว เป็นผมที่ยังทำงานอยู่ทุกวันกลับบ้านมาก็เห็นเมียนอนหลับไปแล้วเหมือนทุกที เห็นพี่เจี๊ยบบอกว่าท้องแรกมักจะดูไม่ค่อยออกเพราะว่าเป็นท้องสาว ท้องจะเล็ก ๆ เท่าที่ม

  • ระยะปลอดเพื่อน   บทที่ 91

    ก็อารมณ์คนท้อง อยากจะกินอะไรใหม่ ๆ แทบทุกวันนั่นแหละ และผมก็พร้อมจะบึ่งไปซื้อให้เสมอ ห่วงก็แต่ช่วงที่แยมจะต้องอยู่บ้านคนเดียวหากท้องแก่ ใครมันจะมาหาข้าวหาปลาให้กินตอนกลางวัน โอเค… มันมีแอปฯ ให้สั่ง แต่ผมเองนี่แหละที่อยากจะเป็นคนบริการเมีย… หลังจากได้เกาเหลาเลือดหมูมาแล้ว กลับมาถึงบ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status