ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 2
ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด
เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง
สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ
หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน
ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว…
“รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน”
“…”
เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ่ยย้ำอีกครั้งโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมอง
“เบาเสียงด้วยนะคะ มารยาทนิดนึง”
ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงจะไม่กล้าพูดแรงขนาดนี้ แต่คนมันเคยรู้จักกัน แม้ตอนนี้จะอยากทำเป็นไม่รู้จัก ก็ช่วยไม่ได้ปากมันไวกว่าสมองทุกที
บานประตูกำลังจะปิดลง เราสบตากันอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งใส่กางเกงนอนขายาวเพียงแค่ตัวเดียวยังคงยืนมองมากระทั่งประตูปิดสนิทลง
ฉันยังยืนนิ่ง มือกำลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้น นานจนได้ยินเสียงประตูห้องฝั่งตรงข้ามปิดลง จากใบหน้ามึนตึงที่วางท่าเก๊กเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นบูดเบี้ยวอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดัง ๆ สักหนึ่งที แต่ทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้า ๆ ออก ๆ ระงับสติอารมณ์ไว้
ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าโซ่จะเล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้ นิ่งอยู่ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น แม้จะดึกป่านนี้แล้วแต่ฉันก็รีบต่อสายหาตัวต้นเรื่องทันที
ขอให้ได้ด่าสักยกก่อนนอนเถอะไอ้เพื่อนเวร!
แต่แน่นอนว่าโทรไปเท่าไรมันก็ไม่รับสาย หากไม่นอนแล้วก็คงจงใจหลีกเลี่ยงการสนทนาเพราะเพื่อนคงรู้แน่ว่าฉันโทรไปทำไม
มีอย่างที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าฉันกับสองคงกลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้ว มันยังจะมาทำแบบนี้อีก นึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเอาสมองส่วนไหนคิด แต่ไม่แน่อาจจะเป็นหัวแม่โป้งเท้าก็ได้!
จังหวะกระหึ่มของเสียงเพลงที่ได้ยินมาร่วมชั่วโมงตอนนี้เงียบไปแล้ว แต่ฉันกลับหลับไม่ลงอย่างที่ใจคิด ได้แต่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง จิตใจกระวนกระวายหนักกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ
ก็ถ้าตอนนู้นฉันไม่พร่ำพรรณนาร่ายยาวบอกรักสองผ่านไมโครโฟนของร้านคาราโอเกะตอนงานวันเกิดของใครสักคน ป่านนี้เราอาจจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้
แต่มันไม่ใช่ไง เราย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ที่ไหนกัน…
วันต่อมา
แม้ว่าเมื่อคืนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ฉันก็สามารถลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวสวยเพื่อไปเริ่มงานวันแรกได้ทันเวลา นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบจะเก้าโมงในตอนที่ฉันหมุนลูกบิดประตูห้องอย่างช้า ๆ ราวกับตัวเองเป็นโจรย่องเบาก็ไม่ปาน
สายตาสอดส่องผ่านช่องว่างระหว่างบานประตูมองไปก็เห็นว่าห้องนอนอีกห้องยังคงปิดเงียบเชียบ แต่โล่งใจได้แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
เมื่อรีบแทรกกายเดินออกมาหวังว่าจะรีบออกไปก่อนที่จะได้เจอหน้าสอง เท้ากลับต้องชะงักค้างเมื่อมองไปทางห้องนั่งเล่นแล้วเห็นคนที่ว่า กำลังนั่งยกขาขึ้นพาดเข่าด้านหนึ่งด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตามองตรงมาทางฉันที่กำลังทำตัวลนลาน
สองยังคงอยู่ในสภาพเดียวกันกับเมื่อคืน และพอมีแสงสว่างสาดส่องก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวหล่อระเบิดแค่ไหน ทั้งดวงหน้าคมคายที่กำลังก้มลงสูดเส้นมาม่าคัพรสเย็นตาโฟของโปรดในมือ ทั้งเรือนกายท่อนบนเปลือยเปล่าที่ดูแข็งแรงลีนไปหมดทุกส่วนสัด
ฉันก็ได้แต่มอง… แล้วต้องรีบดึงสายตาตัวเองกลับมา แม้ว่าอีกคนจะยังนั่งกินและทอดสายตามองตามการเคลื่อนไหวไม่หยุดก็ตาม
เมื่อคืนกว่าจะมาถึงก็ดึกดื่นมืดค่ำ ทำให้ไม่มีเวลาเก็บข้าวเก็บของให้เข้าที่เข้าทาง ตอนนี้เลยต้องทรุดเข่าลงนั่งบนพื้น รื้อเอากล่องรองเท้าออกมาจากลังกระดาษใบโตทีละใบเพื่อหารองเท้าที่เข้ากันกับสูทสีบานเย็นที่กำลังใส่อยู่ในขณะนี้
และคนที่อยู่ห่างออกไปก็ยังมองมาไม่ได้หยุด
มันจะมองอะไรนักหนาเล่าโว้ย!!
โดยไม่คาดคิดจังหวะที่ฉันลุกจากพื้นรีบร้อนใส่รองเท้าส้นสูงสีโทนเดียวกันกับชุดสูท อีกคนก็มาหยุดยืนที่ข้าง ๆ พอดิบพอดี ปากยังคงขยับเคี้ยวอยู่อย่างนั้น มือข้างหนึ่งยังคงถือมาม่า สายตามองหน้ากันอยู่ครู่ก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“หายไปไหนมา?”
“อะไร?”
“หายไปไหนมาตั้งหลายปี”
“…”
คนตรงหน้ายืนทิ้งขารอฟังคำตอบราวกับกำลังตั้งศาลสอบสวนกันยังไงยังงั้น ไม่ใช่แค่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ที่กำลังแตกกระเจิงของตัวเอง แสร้งตีหน้านิ่งสนิทไม่แพ้กันตอนที่ตอบคำถามกลับไป
“คนเขามีการมีงาน”
“แล้วกลับมาทำไม?”
“หมายความว่าไง?”
“ก็ที่กลับมาหานี่ไง”
“ฮะ?”
ฉันร้องเสียงหลง เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน สองยังคงมีสีหน้านิ่งสนิท ทว่านัยน์ตาสีเข้มกลับฉายแววกวนตีนอย่างปิดไม่มิด สีหน้าแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน ปากก็เอ่ยทวนประโยคเดิมของตนอีกครั้ง
“ไม่ได้กลับมาหา?”
“ไม่”
“แต่มาอยู่คอนโดห้องเดียวกันแบบนี้?”
“ที่กลับมานี่เพราะต้องย้ายที่ทำงาน และไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเจอหน้าสองด้วย” ฉันละล่ำละลักบอกอย่างร้อนตัว แต่อีกคนกลับบิดยิ้มขึ้นมาได้
“บังเอิญว่างั้น?”
“ทำไมไม่ไปถามโซ่ล่ะ? เราจะไปรู้เหรอว่ามันจะเล่นอะไรบ้า ๆ แบบนี้”
“ก็แล้วทำไมต้องถาม เห็น ๆ กันอยู่”
“เห็นอะไร? คิดว่านี่เป็นแผนของเราหรือไง?”
“อือฮึ”
“คนบ้าอะไรหลงตัวเองโคตร”
“ก็ตอนนั้นใครมันบอกว่าแอบรักสองอย่างนู้นอย่างนี้” คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยทำทีเป็นรำลึกความหลัง
“ระ… เรื่องมันผ่านมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไหม!”
ฉันแหวกลับ รู้สึกเดือดขึ้นมาปุด ๆ กับความมั่นหน้าเบอร์แรงที่ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งประสาทเสีย แต่อีกฝ่ายยังคงลอยหน้าลอยตาพูดต่อได้อย่างเป็นจริงเป็นจังจนน่าตกใจ อีกทั้งสายตาแบบนั้นก็ด้วย
“จะบอกว่าลืมเราได้แล้ว?”
“ก็แหงอยู่แล้ว ผ่านมาตั้งกี่ปี”
“หึ”
“หลบได้ยัง! จะไปทำงาน!”
ฉันไม่พูดเปล่าแต่ออกแรงผลักคนตัวโตให้พ้นทาง แต่สองก็ยืนปักหลักแข็งเป็นหิน แรงผลักอันน้อยนิดของฉันไม่ได้ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
สายตาคมยังคงจ้องนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะยอมเปิดทางให้ แต่ก็ไม่วายส่งเสียงตามหลังมา ฟังแล้วก็อยากจะขย้อนอาหารเย็นของเมื่อวานออกมาจริง ๆ
“อย่าให้เห็นว่าแอบมาถ้ำมองก็แล้วกัน”
“หลงตัวเอง!”
“คนเขาก็แค่ว่าไปตามเนื้อผ้า”
“เราไม่ได้ชอบสอง และจะไม่มีวันชอบอีกแล้วด้วย”
“อือฮึ…”
“…”
“เราจะรอดู”
ว่าแล้วก็เอียงคอมองด้วยสายตากวนโอ๊ยอีกหนึ่งดอก ในขณะที่ฉันทำได้เพียงหมุนตัวเดินไปกระชากประตูเหวี่ยงเปิดอย่างแรง
ยิ่งเห็นรอยยิ้มยียวนแบบนั้น อีกทั้งสายตาที่ตัดสินไปแล้วล่วงหน้า มันก็ยิ่งทั้งเดือดทั้งอาย เรื่องผ่านมานานขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ ยังจะต้องวนกลับมาเจอกันอีก แถมบทสนทนาเริ่มต้นระหว่างเราเจ้าตัวยังยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แล้วจะให้อยู่ด้วยกันเข้าไปได้ยังไง?
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงส้นสูงลงฝีเท้าหนักแทบจะเรียกได้ว่ากระแทกเท้าเดิน อากาศก็ไม่ได้ร้อนแต่ฉันกลับรู้สึกร้อนรุ่มกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
เราไม่ได้เจอกันมานานก็จริง แต่สองยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน กวนตีนยังไงก็กวนตีนอย่างนั้น และนั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฉันจำต้องเลิกคบกับมันในท้ายที่สุด ขืนในตอนนั้นเรายังคบกันต่อ คงโดนล้อเรื่องนี้ยันลูกบวชแน่ ๆ
มันก็แค่ puppy love ในวัยเรียน เจ้าตัวหล่อขนาดนั้น ทั้งยังใกล้ชิดกันขนาดนั้น แบบที่อยู่ด้วยกันแทบทุกเวลา ไปไหนไปกัน กอดคอกันอยู่ตั้งสามสี่ปี แม้จะเรียนกันคนละคณะ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน หอพักก็นอนรวมกันที่หอเดียวกัน
ก็แล้วจะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยได้ยังไง?
แม้ตอนนั้นฉันจะชอบสองมากถึงขั้นร้องห่มร้องไห้เวลามันไปจีบสาว ๆ และไม่สนิทใจที่จะซี้ต่อหลังจากบอกรักไปแล้ว เหตุเพราะทำใจไม่ได้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่นั่นมันก็ตั้งแต่สมัยไหนแล้ว
ผ่านมาตั้งกี่ปี ไม่คิดว่าฉันจะลืมได้บ้างเลยหรือยังไง เอาอะไรมามั่นหน้าขนาดนั้นกัน!