๓
ช้าไปไหม
เวลาเย็นอย่างนี้คุณผู้หญิงของบ้านวิจิตรประภามักจะเข้าครัวเพื่อดูแลอาหารเย็นสำหรับสามีและลูกชายคนโต โดยไม่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของนักรบซึ่งขับเข้ามาภายในบ้านเสียงดัง
ร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษาซึ่งผิดจากระเบียบของทางมหาวิทยาลัยกำหนดเอาไว้ เสื้อสีขาวแขนสั้นปล่อยชายเสื้อออกจากกางเกงไหนจะกางเกงยีนส์สีดำจนมองแล้วไม่แน่ใจว่าได้ผ่านการซักมาบ้างหรือเปล่า
นักรบไม่ได้มาคนเดียวแต่เขายังพาเพื่อนสนิทอีกคนมาด้วย อีกฝ่ายมีใบหน้าพิมพ์นิยมที่สาวชอบไม่ว่าจะเป็นใบหน้าตี๋ที่ค่อนไปทางน่ารัก ผิวขาวสว่าง รูปร่างสูงโปร่งไม่ค่อยมีมัดกล้ามเพราะไม่ได้ออกกำลังกายเหมือนเพื่อน นักรบกอดคออีกฝ่ายเดินเข้ามาภายในบ้านพอเห็นไร้คนก็ชวนเพื่อนขึ้นบนห้องทันที
สองหนุ่มมาเพื่อเอาของสำคัญก่อนจะรีบกลับไปช่วยกันปั่นงานที่ได้รับมอบหมายต่อ
หลังกำกับแม่ครัวเพื่อให้ทำอาหารเย็นเสร็จ เปมิกาออกเดินออกมาที่โถงกลางบ้านพบรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อลูกชายตัวดีก็นึกเอะใจ
“เอ๊ะ รถตารบ”
‘มาตั้งแต่เมื่อไหร่’
ไม่เห็นพ่อตัวดีกลับบ้านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ครั้นจะกลับมาก็ไม่ได้บอกกล่าวก่อนเลย ไปขลุกอยู่แต่คอนโดไม่ก็หอพักของเพื่อนจนแทบลืมหน้าลูกชายเสียแล้ว แต่ก็ดีกว่าต้องไปประกันนักรบเหมือนครั้งชายหนุ่มยังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนกว่านี้
กำลังจะขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านรถยนต์คันหรูของลูกชายคนโตก็แล่นมาจอดหน้าบ้านเสียก่อน เปมิกาหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้อยู่ที่ผนังของบ้านก็พบว่ากองทัพมาเร็วกว่าปกติ
“อ้าว ทำไมวันนี้มาเร็วล่ะลูก”
ร่างสูงยิ้มเนือยให้มารดา
“งานเสร็จเร็วครับ แล้วก็รู้สึกเพลียๆ ด้วย” สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาโหมงานหนักเกินไปแทบไม่ได้พักผ่อนร่างกายเลยอ่อนล้ากว่าปกติ
คนเป็นแม่ได้ยินอย่างนั้นก็เดินเข้ามาเอามืออังหน้าผากลูกชายอย่างเป็นห่วง
“ตัวไม่ร้อนแต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะให้คนจัดโต๊ะแล้วลูกกินข้าวก่อนกินยา”
คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตอนสาวๆ มารดาของเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่พอแก่ตัวกลายเป็นคนขี้บ่นไปเสียได้จนแอบคิดว่าบิดาขี้โม้หรือเปล่า
กองทัพยิ้มรับเล็กน้อยตามใจมารดายังไม่ทันจะขึ้นห้องเสียงคุ้นเคยก็ดังจากชั้นสอง
“ซ่อนไว้เลยนะมึง แผ่นนี้ได้มายาก”
ก่อนจะเห็นน้องชายตัวดีเดินเคียงข้างมากับเพื่อน
“เออ กูไม่ให้ใครเห็นแน่”
คุณเปมิกามองบุตรชายด้วยความสงสัยก่อนที่นักศึกษาหนุ่มทั้งสองคนจะรู้ตัวก็เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าของนายหญิงของบ้านเสียแล้ว แผ่นซีดีในมือถูกซ่อนไว้ข้างหลังทันทีด้วยความเร็วในขณะที่ใบหน้าคมของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ดูตื่นตระหนก
“แม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”
ถามกลบเกลื่อนอาการจนเปมิกาหรี่ตามองลูกอย่างจับผิด
“นานแล้วจ้ะ เราเถอะมาตอนไหน แล้วนี่จะออกไปไหน” นักรบหันไปมองเพื่อนที่มาด้วยกันแล้วรีบเบี่ยงเบนความสนใจของมารดาทันทีด้วยการยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ของเพื่อน
“แม่ครับ นี่แอลแฟนผม”
ไม่ใช่แค่คุณเปมิกาและกองทัพที่ตกใจเพราะแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างอิศราก็อ้าปากหวอไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าคนตัวสูงจะมาไม้นี้ ลูกชายคนโตรีบเข้าซ้อนหลังเพื่อประคองมารดาไม่ให้เป็นลมไปเสียก่อนแล้วส่งสายตาคาดโทษมาที่น้องชาย
“สมัยนี้แล้วเรื่องความรักเขาไม่จำกัดเพศ แม่ก็รับได้ใช่ไหมครับ” ยังไม่หยุดที่เล่นละครต่อไป
คุณเปมิกาหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็ว ตาพร่าเบลอเหมือนจะเป็นลม
“พอได้แล้วไอ้รบ” รู้ว่าน้องชายไม่ได้พูดจริงเหมือนต้องการแกล้งมารดาเล่นอย่างทุกครั้งเขาจึงปรามเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นรบขอตัวก่อนนะแม่ ไปเถอะที่รัก” ไม่วายหันไปเล่นละครกับเพื่อน
จนอิศราได้แต่ก่นด่าเพื่อนสนิทในใจแล้วยกมือไหว้พี่ชายและมารดาของนักรบเดินตามเพื่อนไปอย่างรวดเร็ว
“ทัพ หายาดมให้แม่ที” บอกลูกชายในขณะที่กองทัพพามารดาไปนั่งพักยังห้องนั่งเล่นปีกซ้ายของบ้าน เขาเรียกคนรับใช้ให้หายาดมมาให้มารดาก่อนจะยื่นไปใกล้อีกฝ่าย
คุณเปมิกาเมื่อได้ดมกลิ่นสมุนไพรอาการก็ดีขึ้น
“แม่เป็นอะไรน่ะทัพ” คุณภราดรเดินเข้ามาในบ้านก่อนรีบรุดเดินมานั่งข้างภรรยาด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าคมแม้จะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังน่าเสน่หาไม่เปลี่ยนแปลง ท่านประคองคุณเปมิกาที่นอนราบให้นั่งบนโซฟา
“ก็ตารบสิพี่ดลบอกว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิท แล้วเพื่อนคนนั้นก็เป็นผู้ชาย”
ยังไม่ทันที่กองทัพจะได้ตอบบิดาภรรยาก็ไขความกระจ่างให้ทันทีราวต้องการฟ้องสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมานั่งดมยาในครั้งนี้
ฝ่ายท่านผู้บริหารได้ยินก็เข่นเขี้ยวลูกชายอยู่ในใจ
“ผมว่าเจ้ารบมันคงล้อเล่น” คนรู้จักน้องชายดีกล่าวแก้ตัวให้ นักรบเหมือนซ่อนอะไรไว้ด้านหลังและต้องการเบี่ยงประเด็นจึงแสร้งพูดจนมารดาเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา เข้าทางเขาละ
“เดี๋ยวพี่จะเรียกลูกมาถามให้ เปรมขึ้นไปพักด้านบนนะ” ประคองไม่ห่าง
แต่คนเป็นภรรยากลับแตะแขนสามีเอาไว้พลางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ น่าจะดีขึ้นแล้วอีกอย่างเปรมต้องไปบ้านลิซด้วย” เอ่ยบอกสามีเสียงนุ่ม
แต่ประโยคนั้นก็ทำให้กองทัพตาสว่างขึ้น จากอาการเพลียเมื่อสักครู่เหมือนหายเป็นปลิดทิ้งทันที
“เดี๋ยวผมพาแม่ไปบ้านน้าลิซเองครับ”
สองสามีภรรยาหันมามองบุตรชายอย่างไม่เชื่อสายตา
..เมื่อกี้หูฝาดไปหรือเปล่านะ ปกติกว่าจะลากพ่อตัวดีออกไปไหนมาไหนด้วยกันได้ต้องอ้างเหตุผลร้อยแปด แต่ครั้งนี้ดันเสนอตัวเองเสียอย่างนั้น
“ไม่สบายจนเพี้ยนหรือเปล่าลูก” อาการวิงเวียนเมื่อสักครู่หายแล้วจึงจับมือบุตรชายแล้วเอ่ยถาม
“คุณแม่อาการไม่ค่อยดีถ้าไปคนเดียวผมกลัวว่าจะเป็นลมเป็นแล้งเอาน่ะครับ” บอกกล่าวด้วยใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์
ทว่ามีหรือที่มารดาจะไม่รู้ว่าคงมีอะไรแอบแฝงภายในใจอย่างแน่นอนแต่คาดคั้นไปก็เท่านั้นคงไม่ได้คำตอบ สู้อยู่เงียบๆ รอสังเกตการณ์เอาเองดีกว่า
“อย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เห็นเปรมเป็นแบบนี้พี่ไม่สบายใจเลย” ฟังบุตรชายพูดก็พอเบาใจได้บ้าง แม้เขาจะอยากไปด้วยแต่วันนี้เอางานมาทำที่บ้านจึงไม่สามารถปลีกตัวไปกับภรรยาได้ อยากให้กองทัพขึ้นมารับตำแหน่งแทนเร็วๆ เหลือเกินงานเขาจะได้เบาลงบ้าง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” กองทัพพยักหน้าแล้วประคองมารดาขึ้นไปบนบ้าน เขาเองก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน
เข้าห้องก็ถอนหายใจเสียงดังก่อนจะขยี้ผมตนเองทันที ไม่คิดว่าจะปากเร็วขนาดนี้ มารดายังไม่ทันได้เอ่ยชวนเขาก็อาสาขึ้นมากลางปล้องเสียอย่างนั้น ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของหัวใจโดยไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองจากสมองเสียก่อน
ร่างสูงถอดเสื้อสูทออกก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดคอปกสีขาวกับกางเกงเดนิมสีซีด ด้วยความที่ชายหนุ่มตัวสูงและรูปร่างดีทำให้แม้ใส่เสื้อผ้าธรรมดาก็เหมือนนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสารแล้ว เขาเคยถูกทาบทามให้เล่นละครหลายเรื่องแต่ก็ต้องปฏิเสธเพราะงานบริษัทหนักเกินไป จนเมื่อสองปีก่อนได้ตอบตกลงไปรับเชิญเล่นหนังที่ผู้กำกับสนิทกับมารดา
แม้ออกเพียงไม่กี่นาทีก็ทำเอาคนดูต่างพากันค้นหาประวัติของนักแสดงหนุ่มและเปิดแฟนเพจ‘คนรักกองทัพ’ขึ้นมาอย่างจริงจัง รูปภาพของเขาที่ไปร่วมงานเลี้ยงถูกถ่ายออกมาเก็บเข้าอัลบั้มของกลุ่มอย่างรวดเร็ว มีคนกดไลก์แฟนเพจราวห้าหมื่น จากนั้นก็มีโฆษณาติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีมารดาเป็นคนสแกนให้อีกที แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยรับงานวงการบันเทิงเพราะต้องการทำผลงานของบริษัทออกมาให้ดีเพื่อเป็นบันไดในการเลื่อนตำแหน่งไปสู่กลุ่มผู้บริหารระดับสูง
“พี่ดลกินข้าวคนเดียวนะคะ เดี๋ยวเปรมจะไปกินบ้านลิซเลย” บอกสามีหลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว
คุณเปมิกาในวัยห้าสิบกว่ายังดูสาวและแข็งแรงจนไม่น่าเชื่อว่าอายุเท่านี้จะดูแลสุขภาพตนเองดีจนสาวสมัยใหม่ยังอาย
“ได้ เสร็จแล้วรีบกลับมานะ”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันสักพักก่อนที่รถยนต์คันหรูจะจอดเทียบหน้าบ้าน
กองทัพเดินไปประจำตำแหน่งคนขับในขณะที่เปมิกานั่งข้างลูกชาย รถเคลื่อนตัวออกจากบ้านอย่างช้าๆ ก่อนจะหายลับไปออกจากตัวบ้าน
ขับรถไม่นานก็ถึงบ้านของเพื่อนสนิท กองทัพจอดรถแล้วลงไปเปิดประตูให้มารดาโดยมีน้าลิซเดินมารับถึงหน้าบ้าน
สองคนกอดกันพลางพูดคุยเสียงดังแต่ส่วนมากจะเป็นน้าศลิษาที่ชวนคุยมากกว่าเปมิกาก็แค่ยิ้มรับ
“อ้าว ทำไมวันนี้มาได้ล่ะลูก” หันมาเห็นบุตรชายคนโตของเพื่อนก็เอ่ยถาม
..ปกติกองทัพงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาแต่วันนี้กลับพาเปมิกามาส่งถึงบ้านเธอเสียได้ แล้วดูท่าจะอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันอีก
“คุณแม่เหมือนจะไม่สบายผมเลยมาคอยดูแลแทนคุณพ่อครับ”
ศลิษาหันไปดูเพื่อนด้วยความตกใจเอ่ยถามถึงอาการก็ได้ทราบเหตุการณ์ก่อนหน้าถึงวีรกรรมของบุตรชายคนเล็ก
“ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกที่ลูกจะคบหาผู้ชายแต่น่าจะบอกกันเนิ่นๆ มาให้รู้ตอนนี้ก็ตกใจแทบเป็นลมพอดีน่ะสิ”
..ลูกจะรักใครชอบใครเธอไม่เคยว่าหรือบังคับเพียงแค่อยากให้บอกกล่าวไม่ใช่มาเซอร์ไพรส์แบบนี้ เหนื่อยใจกับลูกคนนี้จริงเดี๋ยวก็บอกแม่ว่ากลัวทำผู้หญิงท้อง เดี๋ยวก็บอกว่ามีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน ไม่รู้ควรจะเชื่ออย่างไหนดี
เข้ามานั่งภายในห้องรับแขกของบ้านโดยมีสาวใช้นำน้ำมาเสิร์ฟแขกทั้งสอง
“ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอ เงียบเชียว” หันไปถามเพื่อน
“ไม่มีหรอก แม่ฉันก็ไปทำบุญกับเพื่อน ส่วนสามีกับลูกชายก็ออกกองยังไม่เลิก ลูกสาวก็ไปหาแฟนเขายังไม่กลับเลย”
ใจชายหนุ่มกระตุกทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น มือที่ถือแก้วสั่นจนต้องวางแก้วน้ำลงที่โต๊ะ
“หือ หนูป้อนมีแฟนแล้วเหรอ” ถามเสียงตกใจ เปมิกาไม่คิดว่าหลานสาวจะมีแฟนได้เพราะเท่าที่ดูณชาไม่เคยมีจิตใจเสน่หากับใครนอกจากบุตรชายคนโตของเธอ อีกอย่างก็แอบหวังได้หลานสาวคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้ด้วยจึงแอบเสียดายที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว
“ใช่ เป็นคุณหมอด้วยนะ รูปหล่อเชียวละพามาไหว้ฉันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สุภาพเรียบร้อยมองดูแล้วสบายตาสบายใจ ท่าทางเป็นคนดีเอาการเอางาน คนนี้ให้สิบผ่านเลย” คุณศลิษาเพ้อถึงว่าที่ลูกเขยอย่างออกนอกหน้า
ใบหน้ามีความสุขเสียจนกองทัพเริ่มสลดทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเช่นนั้น
เปมิกาหันมามองบุตรชายที่เงียบไปทั้งแววตาหม่นแสงก็เริ่มรู้สึกสะกิดใจ
“แล้วคุณหมอเขาเกริ่นเรื่องจะมาสู่ขอยายป้อนด้วย ฉันนี่อยากจะรีบใส่พานถวายให้จริงๆ กลัวจะขึ้นคาน”
กองทัพหลุบตามองพื้นไม่อยากได้ยินคำสรรเสริญเยินยอหรือประโยคที่ทำให้เขาหงุดหงิดอีก เพราะไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตนเองอย่างไร
“อ่า เกือบลืมไปเลยฉันจะชวนเธอไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน” รีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายที่นิ่งสนิท
ร่างสูงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มข่มอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นภายในหัวใจ เขาไม่ชอบอาการแบบนี้ของตนเองเลย
เหมือนกับว่าจะหวงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์
..เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน ไหนตอนแรกบอกรำคาญณชาที่ตามตื้อไม่เลิกรา แต่พอหญิงสาวไปคบคนอื่นเขาก็ร้อนรนจนร้อนภายในทรวงอกอย่างที่เป็นอยู่
อาการหมาหวงก้าง
เคยค่อนขอดเพื่อนเอาไว้เรื่องนี้แต่ตนเองดันมาเป็นเสียเอง เขาเคยคิดอยากให้ณชามีแฟนเป็นตัวเป็นตนจะได้เลิกยุ่งกับเขาเสียทีแต่เมื่อเกิดขึ้นจริงดันเป็นตนเองที่ไม่อยากให้ณชามีคนอื่น อยากให้เธอมีเพียงเขาเท่านั้น
“คุณแม่สวัสดีค่ะ อ้าวน้าเปรม” เสียงใสดังขึ้นทำให้กองทัพที่นั่งหันหลังต้องหันไปมอง สองสายตาสบกันทำเอา
ณชาที่เคยยิ้มแย้มก็นิ่งค้างทันที เธอกำลังจะเอ่ยทักชายหนุ่มแต่ก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน
“ป้อนลืมของ ขี้ลืมจริงนะเรา” หมอตฤณปรากฏกายขึ้นท่ามกลางอารมณ์ขุ่นมัวของกองทัพ คุณหมอหันมาเห็นแขกของบ้านก็ยกมือไหว้ทั้งยังยิ้มให้อย่างมีไมตรีแต่กองทัพกลับหันหลังให้เพราะไม่ต้องการรับไมตรีนั้น
“ขอบคุณนะคะ พี่ตฤณนั่นน้าเปรมค่ะ แม่ของพี่ทัพ”
คุณหมอยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้ทันที คุณเปมิการับไหว้แล้วนึกประเมินอีกฝ่ายในใจ
..หน้าตาดีแม้จะไม่ได้หล่อเหลาเท่าลูกชายของเธอแต่ดูท่าทางอบอุ่นอย่างที่ผู้หญิงหลายคนชอบ ไม่แปลกที่จะคว้าใจของณชาเอาไว้ได้
มองบุตรสาวของเพื่อนก็นึกเสียดายในใจ ถ้าได้มาเป็นลูกสะใภ้คงจะดี
“แล้วไม่คิดจะแนะนำพ่อหนุ่มคนนี้ให้น้ารู้จักเหรอ” ถามเสียงล้อเลียนในขณะที่กองทัพก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วดับความร้อนรุ่มในใจ
“เอ่อ พี่ตฤณเป็นแฟนของป้อนค่ะน้าเปรม” ใบหน้าหวานแดงปลั่งอย่างเขินอาย เธอไม่เคยแนะนำใครว่าเป็นแฟนต่อหน้าคุณน้าเพราะหมายมั่นว่าจะเป็นลูกสะใภ้ของท่านให้ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หัวใจของกองทัพไม่ได้มีไว้ให้เธอ
ร่างสูงได้ยินก็เกิดอาการไม่ชอบใจอยากลุกขึ้นเดินไปแยกสองคนนั้นออกจากกัน แต่เพราะรู้ว่าไม่ควรจึงทำเพียงแค่นั่งกำมือนิ่งข่มอารมณ์เอาไว้ เขาเกลียดความรู้สึกของตนเองตอนนี้ที่สุด
เหมือนพวกขี้แพ้ชวนตีไม่มีผิด
“เหมาะสมกันดีนะลูก” ฝ่ายชายก็รูปงามทั้งยังเข้าทางผู้ใหญ่ดูจากแววตาแล้วไม่มีทางที่จะทำให้ณชาเสียใจอย่างแน่นอน แม้จะเสียดายแต่ก็ปลื้มใจที่หลานคนโปรดเจอคู่ครองที่ดี ส่วนลูกชายของตนก็ไม่รู้จะได้ใครเป็นแฟนไม่อยากเร่งรัดมากนักเพราะอายุอานามก็ยังไม่เยอะ
“คุณหมอจะกินข้าวด้วยกันไหม แม่จะได้ให้คนตั้งโต๊ะเลย” คนปลื้มว่าที่ลูกเขยอย่างออกหน้าออกตาเอ่ยถาม
คุณหมอมีสีหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัดก่อนตอบปฏิเสธ
“วันนี้คงไม่ได้แล้วละครับ ผมมีงานด่วนขอโทษนะครับคุณแม่”
คุณศลิษามีสีหน้าเสียดายในขณะที่กองทัพกลับก้มหน้าอมยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ
..ไปซะได้ก็ดี
“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ ถ้ามาต้องบอกก่อนแม่จะได้ทำอาหารที่คุณหมอชอบไว้ให้”
เห็นเพียงเท่านี้คนที่เป็นเพื่อนกันมานานอย่างเปมิกาก็รู้เลยว่าศลิษาสนับสนุนคุณหมออย่างออกหน้าออกตาและคงหมายมั่นให้ลูกแต่งงานกับหมอตฤณแน่นอน
“ครับ คราวหน้าผมจะมาฝากท้องไว้ที่นี่นะครับ” คุณหมอยกมือลาผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะขอตัวกลับโดยมีแฟนสาวเดินไปส่ง
“กลับดีๆ นะคะ” วันนี้เธอไปตะลอนเที่ยวกับเขาเสียทั่วเมืองกรุงจนล้าไปทั้งตัว
หมอตฤณตามใจแฟนทุกอย่างซื้อของให้มากมายจนณชารู้สึกเกรงใจแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้
“ครับ ถ้าถึงบ้านแล้วพี่จะโทรหานะ” เป็นปกติที่มักจะโทรรายงานตลอดเวลาไม่อยากให้เธอเป็นห่วงหรือกังวลและยังสร้างความมั่นใจให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยคิดจะนอกใจนอกกายเลยสักครั้ง เขามั่นคงกับณชาเสมอ
“ค่ะ” ยิ้มหวานให้เป็นปกติ
จนคุณหมออดใจไม่ไหวดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้ “พี่ไม่อยากห่างจากป้อนเลย อยากกอดทั้งวัน ลาออกดีไหมนะ”
คนฟังหัวเราะออกมาเสียงใสแต่ก็ไม่ได้กอดตอบเขา
“ถ้าลาออกจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงป้อนล่ะคะ บอกเลยนะว่าป้อนกินจุมากๆ”
หมอตฤณผละออกจากร่างบางเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงกอดเธอไว้หลวมๆ
“กินจุมากเลยเหรอ พี่ก็คงต้องขายบ้านพาเด็กดื้อไปตระเวนกินรอบโลกดีไหม” หัวใจของชายหนุ่มบอกว่าเธอคือความสุข
ณชาเป็นผู้หญิงสดใสที่เพียงแค่อยู่ใกล้ก็มีชีวิตชีวา เหมือนได้ชาร์ตพลังจากการทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน
“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้พี่หมอต้องปล่อยป้อนแล้วก็กลับบ้านได้แล้ว จะค่ำเอานะคะ”
ถอนหายใจแสนเสียดาย มองใบหน้าหวานเพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ของวันนี้เอาไว้ อยากเร่งวันเร่งคืนพาผู้ใหญ่มาสู่ขอหญิงตรงหน้าโดยเร็ว
“ครับ พี่ไปแล้วนะ”
ใบหน้าหวานพยักหน้าโบกมือลาก่อนจะตาโตเพราะคุณหมอโน้มหน้าลงมาจุมพิตที่หน้าผากเธอโดยเร็วก่อนจะส่งยิ้มหวานให้
“หมอ!” เรียกเสียงเข้มทั้งยังทำตาดุใส่อีกฝ่ายต่างหาก
ตฤณหัวเราะเสียงดังเอ็นดูในความน่ารักเหมือนกระต่ายน้อยของเธอ แก้มนวลแดงปลั่งด้วยความเขินเพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว แค่รู้สึกว่าณชายังมีความรู้สึกกับเขาหัวใจก็พลันชุ่มชื่น
“เดี๋ยวโทรหานะ”
“ไม่รับแล้ว!” โวยวายกลบเกลื่อนอาการอายแต่ก็ยังคงรอส่งร่างสูงจนอีกฝ่ายขึ้นรถขับออกไปจากบ้านหลังนี้ก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน
แต่แล้วขาเรียวก็ชะงักราวถูกตรึงไว้อยู่กับที่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมที่หลงใหลมาโดยตลอด กองทัพยืนพิงเสาหน้าบ้านกอดอกมองมาที่เธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเป็นเด็กที่ทำความผิดกำลังจะถูกครูฝ่ายปกครองลงโทษ
บรรยากาศโดยรอบพลันหนาวเหน็บขึ้นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาว ณชาเอามือถูกางเกงเพราะรู้สึกว่ามือมีแต่เหงื่อจนชื้นไปหมด
“ไม่กลับไปด้วยเลยล่ะ”
น้ำเสียงกึ่งประชดนั้นณชาไม่ชอบเอาเสียเลย เขามองมาและตัดสินไปแล้วว่าเธอเป็นคนผิดทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด
“นั่นสิคะ คราวหน้าป้อนกลับไปกับหมอดีกว่า” อารมณ์ที่เคยกลัวถูกตีให้ขุ่นมัว ร่างบางเดินขึ้นบันไดมายืนตรงหน้ากองทัพ ในเมื่อเขาเอามือกอดอกเธอก็ทำเช่นเดียวกันเสียแต่ว่าส่วนสูงที่ต่างทำให้ดูเหมือนเธอจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มการปะทะ
“ทำอะไรก็ไว้หน้าพ่อหน้าแม่บ้าง ไม่ใช่ทำประเจิดประเจ้อกอดกันหน้าบ้านไม่อายผีสางนางไม้” ร่างสูงเอามือแนบลำตัวเดินมายืนตรงหน้าสาวนักเรียนนอกมากขึ้นจนเธอต้องเงยหน้ามองเขา
..ให้ตายเถอะ เขากำลังทำตัวเหนือกว่าชัดๆ
“บ้านป้อนไม่มีผีสางนางไม้ค่ะ มีแต่เทวดาแล้วที่ป้อนทำมันผิดตรงไหน คนเป็นแฟนกันจะกอดกันก็ไม่เห็นแปลกเลย ทีบางคนไม่ได้เป็นแฟนยังทำมากกว่ากอด” รู้ว่ากำลังพาลและเอาเรื่องเก่ามาพูดซ้ำอีกครั้งกวนตะกอนให้ขุ่น
จนกองทัพทนไม่ไหวคว้าแขนเรียวมาบีบเอาไว้
“ป้อน!” เรียกเสียงดังเพื่อเตือนไม่ให้หญิงสาวพูดอะไรอีก ใบหน้าคมแดงก่ำด้วยความโกรธกระทั่งมีเสียงเรียกจากข้างในบ้าน
“ตาทัพ หนูป้อน มากินข้าวนะลูก” เป็นคุณเปมิกาที่ร้องเรียกเสียงดังจนณชาสะบัดแขนตัวเองออกห่างจากเขาพลางลูบแขนปอยๆ
..เจ็บไม่ใช่เล่นก็เขาบีบเธอเสียแรงไม่ออมมือแม้แต่น้อย เห็นเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตหรือยังไงถึงได้ทำจนแดงขนาดนี้
“ค่ะ” ตอบรับเสียงดังแล้วเดินแกมวิ่งเข้าบ้านไม่รอคนตัวสูงที่เดินตามหลังเข้ามา
ยอมรับว่าหัวเสียไม่น้อยกับบทสนทนาเมื่อครู่ ความจริงเขาหัวเสียตั้งแต่เห็นผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนหนุ่มของณชาโผล่มาแล้ว ไหนจะเห็นทั้งสองพลอดรักกันเต็มตาก็เกิดอารมณ์หลากหลายที่หลอมรวมกัน
ยอมรับว่าเขาพาลใส่เธอทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของตนเอง
แต่จะให้ทำอย่างไรเพราะเรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุม เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงทำราวกับว่าชอบณชาทั้งที่ตลอดมาแทบไม่เคยนึกถึงเธอเลย อาการเท่าที่วิเคราะห์ออกมาได้ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหวงของเหมือนพวกหมาหวงก้าง หึงที่เห็นเธออยู่ใกล้ชิดคนอื่นแม้แต่เด็กประถมยังดูออกว่ามันคืออะไร
อยู่ที่ว่าจะยอมรับหรือไม่ และคนอย่างกองทัพ..ไม่ยอมรับ
เขาไม่มีวันชอบเด็กที่ตนเองเคยรำคาญได้หรอก อีกทั้งเด็กคนนั้นยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตน นายกองทัพจะไม่มีวันกลับไปชอบคนมีเจ้าของแล้วกลายเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกอีกครั้งอย่างนั้นหรือ..
เมินเสียเถอะ ณชาก็แค่น้องเท่านั้น แค่น้องสาว
บนโต๊ะอาหารคุณแม่ทั้งสองคนรับรู้ถึงความผิดปกติ กองทัพถึงแม้จะเงียบอยู่แล้วแต่ใบหน้าก็ไม่เรียบเฉยขนาดนี้ในขณะที่ณชาจะเป็นคนร่าเริงแต่วันนี้กลับหน้าตาบูดบึ้งเหมือนไปกินรังแตนมาเสียอย่างนั้น
ศลิษามองลูกสาวสลับกันจานข้าวจนมึนศีรษะ
“ป้อน เป็นอะไร” เมื่อทนไม่ไหวก็ต้องเอ่ยถามบุตรสาวเสียงเข้ม
“เป็นอะไรคะ เป็นลูกแม่ไง” เห็นตอบโต้กลับมาแบบนี้ได้ก็พลอยเบาใจได้บ้าง
ส่งค้อนให้ลูกสาววงใหญ่จนณชาหัวเราะออกมา
“ไม่พูดด้วยแล้วลูกคนนี้ คุยกับกองทัพดีกว่า ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้างลูก” ว่าลูกสาวก่อนจะหันไปถามลูกชายของเพื่อนสนิท
“ยุ่งครับ เลขาผมใกล้จะลาคลอดก็เลยยิ่งยุ่งไปใหญ่ ต้องหาเลขามาช่วยชั่วคราว” กองทัพทำงานในตำแหน่งหัวหน้าการตลาดกำลังอยู่ในช่วงทำผลงานให้เหล่ากรรมการพึงพอใจแต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่คือคุณฐานิดาเลขาของตนใกล้คลอดแล้วอีกทั้งเจ้าตัวยังลางานล่วงหน้าสามเดือนค่อนข้างกระทบกับงานพอสมควร ตอนนี้ให้ฝ่ายHRหรือแผนกบุคคลช่วยหาคนมาแทนชั่วคราว
“จริงเหรอ! ป้อนไง ตอนนี้น้องยังว่างให้น้องไปช่วยก่อนไหม” ถามเสียงตื่นเต้นลืมอาหารตรงหน้าไปเสียสนิท
คนที่ถูกกล่าวถึงก็เช่นนั้นหญิงสาวหันไปมองมารดาตาโตไม่คิดว่าคุณแม่จะทำแบบนี้กับเธอ
“อะไรกันคะแม่ งานป้อนก็มีนะ” ท้วงทันทีหากช้าคุณแม่คงรีบพาเธอขึ้นไปเลือกชุดเพื่อใส่ไปทำงานกับกองทัพ
“มีอะไรกัน แม่เห็นเราลอยไปลอยมา”
“แม่คะ ป้อนไม่ใช่กระสือสักหน่อยที่เอาแต่ลอยไปลอยมาน่ะ ป้อนช่วยงานร้านแม่ตั้งเยอะ” ไม่สนใจอาหารตรงหน้ายกมือขึ้นกอดอกพลางทำปากยู่จนจะชิดปลายจมูกแล้ว
“ไม่ต้องมาเถียงเลย ทัพช่วยรับน้องไปเป็นเลขาหน่อยสิ เห็นว่างงานแล้วน้าขัดใจจริงๆ”
คุณเปมิกามองลูกชายนิ่งก่อนจะแอบอมยิ้มเพราะเห็นแววตาเป็นประกายของกองทัพ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาราบเรียบดังเดิม
“จะให้ป้อนไปเป็นเลขาพี่ทัพได้ยังไงคะ ป้อนเรียนบริหารนะแม่ไม่ได้เรียนเลขา”
“เดี๋ยวนี้มันสอนกันได้ จบมาทำงานไม่ตรงสายก็เยอะ คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับพรุ่งนี้ให้ป้อนไปยื่นใบสมัครที่บริษัทได้เลย”
คุณศลิษายิ้มหน้าบานทันทีเมื่อดูท่าว่าลูกสาวจะผ่านเข้าทำงานตั้งแต่ยังไม่ได้สมัคร คนคุ้นเคยกันหากช่วยกันเรื่องงานก็ไม่แปลก
“แต่ว่า”
“พอได้แล้วป้อน ไปทำงานกับพี่เขานั่นแหละมีอะไรจะได้บอกได้สอน ดื้อจริงเชียวลูกคนนี้” เมื่อมารดาตัดบทแล้วลูกสาวจะทำอะไรได้
ณชากินข้าวด้วยความไม่สบอารมณ์ตลอดมื้อนั้นต่างจากกองทัพที่ยิ้มแย้มไม่เหมือนเมื่อครู่ราวหน้ามือเป็นหลังมือ เหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งตรงข้ามก่อนจะยักคิ้วให้ทีหนึ่งทำเอาณชาที่มีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่เป็นทุนเดิมเพิ่มความโมโหมากขึ้นไปอีก
รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็กินของหวานต่อ คุณศลิษาลงทุนทำปลากริมไข่เต่าเป็นขนมโบราณที่เมื่อก่อนพากันเรียกว่าขนมแชงม้า [1]แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามสมัยนิยมและให้เรียกง่าย ขนมชนิดนี้เป็นที่โปรดปรานของลูกสาวเธอยิ่งนัก
“แล้วทริปครอบครัวเราว่าไงเปรม”
“รอให้พ่อกับลูกว่างก่อน พี่ดลก็งานเยอะส่วนลูกชายฉันก็งานเยอะพอกัน”
ดูท่าว่าทริปจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
“ถ้าตกลงได้แล้วบอกฉันนะ ครอบครัวฉันว่างเสมอ เอ๊ะ แต่ป้อนก็ทำงานกับทัพแล้วถ้าอย่างนั้นรอให้สองคนนี้ว่างแล้วกัน”
สรุปเสร็จสรรพไม่ได้หันมาถามเหล่าลูกชายลูกสาวเลยสักคำ
“แม่นะแม่” บ่นงึมงำอยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เจอกองทัพบ่อยกว่าเมื่อก่อน ถ้าเป็นสมัยเรียนนะเธอต้องหาตารางเรียนของเขาเดินผ่านห้องเรียน วนเวียนใกล้โต๊ะกินข้าวที่โรงอาหาร ขยันอ่านหนังสือเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่สุดท้ายเป็นยังไง..
เขาไม่เห็นหัวด้วยซ้ำ
มาตอนนี้แทบไม่ต้องเสาะแสวงหาก็ดูเหมือนว่าจะเจอโดยง่าย ขนาดกลับมาบ้านตนเองยังพบกองทัพนั่งอยู่ห้องรับแขกทั้งที่ร้อยวันพันปีแทบไม่เคยโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ
สงสัยโลกคงใกล้แตกแล้วแน่เลย
[1]ขนมแชงม้าจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ขนมแชงม้า หรือสะกดด้วย ซ. เป็น แซงม้าหรือ ขนมแซงมาเป็นขนมไทยแต่โบราณ มีชื่อปรากฏอยู่ในเพลงกล่อมเด็กว่า
โอ้ละเห่ โอ้ละหึก ลุกขึ้นแต่ดึก ทำขนมแชงม้า ผัวก็ตี เมียก็ด่า ชนมแชงม้าก็เลยคาหม้อแกง
ขนมแชงม้านี้ มีผู้กล่าวว่าเป็นขนมที่ผสมกันระหว่างขนมปลากริมกับขนมไข่เต่า ถ้าตักกินด้วยกันเรียกขนมแชงม้า ถ้ากินอย่างเดียวก็จะเรียกชื่อตามชื่อเดิมปัจจุบันนิยมเรียกว่า ขนมปลากริมไข่เต่า มากกว่า
ตอนพิเศษ...หนีเที่ยวงานแต่งระหว่างกองทัพและณชาจัดขึ้นอย่างใหญ่โตขัดกับความต้องการของทั้งสองที่อยากได้แบบเรียบง่าย ทว่าหน้าที่การงานไม่เอื้ออำนวยในเมื่อเจ้าบ่าวเป็นถึงคณะกรรมการของบริษัทมีคนนับหน้าถือตา ทั้งยังคู่ค้าที่ติดต่อกันมานานหากจะไม่เชิญก็กระไรอยู่“เฮ้ยไอ้เอิร์ธ มึงกลับมาแล้วเหรอวะ” ขณะที่ยืนรอต้อนรับแขกที่ด้านหน้างานดวงตาคมก็เห็นเพื่อนสนิทใส่สูทผูกไทด์ผมที่เคยรุงรังหรือหนวดเคราครึ้มก็ถูกจัดการจนกลับมาหล่อเกินหน้าเกินเจ้าของงาน สองหนุ่มก่อนกันเนื่องจากไม่พบกันเกือบสามปีครึ่ง“กูแค่มางานแต่งมึง เดี๋ยวก็บินกลับแล้ว” กองทัพแทบจะปรบมือให้ในความทุ่มเทของอีกฝ่ายเพราะขนาดน้องแท้ๆ ยังปฏิเสธจะมาร่วมงานแต่งของพี่มันเลย“ดีใจที่มึงมา งานนี้ขอซองหนักๆ” ตบบ่าหนาเต็มแรงไปหนึ่งที“ได้ เดี๋ยวกูขอไปซื้อหินมาใส่ซองก่อนแล้วกัน” รั้งไว้แทบไม่ทันเพราะดูเหมือนสัตวแพทย์หนุ่มจะทำจริงอย่างที่ว่า ณชามองพี่ชายทั้งสองพลางอมยิ้มมีความสุข กระทั่งพณณกรหันมาหาน้องสาวคนสนิท“ลงเอยกับมันสักทีนะเรา หลังจากร้องไห้มานาน” จะเอื้อมมือขึ้นไปลูบศีรษะเจ้าสาวก็โดนเจ้าบ่าวจับมือเอาไว้ก่อน“ตามองมืออย่าต้องครับ เจ้าสาวก
สุขสันต์วันปีใหม่ เทศกาลที่หลายคนรอคอยมาถึงอีกครั้งแม้ประเทศจะไม่ใช่เมืองหนาวทว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็ทำตัวให้กลมกลืนได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อออกมาจากบ้านแล้วเจอผู้คนสวมเสื้อแขนยาวท่ามกลางแดดร้อนกว่าสามสิบสามองศา การคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาไม่น่าเชื่อถืออีกครั้ง เมื่อประกาศว่าจะหนาวจนปากสั่นแต่สิ่งที่ได้รับคือร้อนตับแทบแตก ยิ่งทำงานกลางแดดด้วยแล้วแม้จะโบกครีมกันแดดทับด้วยสเปรย์มาหนามากแค่ไหน เพียงเหงื่อไหลก็ดูเหมือนว่ามันจะหลุดออกโดยง่ายไม่เหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้สักนิด “พักกองค่ะ” เสียงช่างภาพดังขึ้นพร้อมปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผม วันนี้ออกมาถ่ายรูปพรีเวดดิงที่สวนสาธารณะในยามที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะเหตุผลเพราะคุณเจ้าสาวและคุณเจ้าบ่าวมีเวลาจำกัด เสร็จจากนี่ก็ต้องไปแจกการ์ด ไหนจะต้องบินไปต่างประเทศเพื่อเชิญบรรดาเพื่อนสนิทแทบหาเวลาให้ช่างภาพไม่ได้ จนต้องเลือกเอายามพระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าที่สุด “แค่สิบนาทีได้ไหมคะ บ่ายสองพวกเราต้องไปจิบน้ำชากับท่านผู้ว่าจังหวัดสุพรรณ” ฝ่ายเจ้าสาวในชุดกระโปรงยาวเฟื้อยตะโกนบอกจนต้องกัดฟันตอบรับ “ได้ค่
ตอนพิเศษ...หวานใจของนายไข่ตุ๋น เคยคิดหลายครั้งว่าหากวันนี้มาถึงเธอจะเป็นอย่างไร วันที่เพื่อนคนสนิทอย่างตฤณ..แต่งงาน ณัชชาเดินเข้ามาภายในโรงแรมด้วยหัวใจหนักอึ้งขาทั้งสองแทบก้าวไม่ออกอันที่จริงมันเป็นมานานนับตั้งแต่วันที่ได้รับการ์ดจากเจ้าบ่าวแล้ว ใบหน้าคมมีรอยยิ้มประดับดวงตาก็ส่องประกายเจิดจ้าอย่างน่าอิจฉา วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีชมพูยาวเพียงเข่า เพราะไม่ค่อยมีเวลาไปซื้อชุดจึงต้องขอยืมจากน้องสาวมาใส่ก่อน ใบหน้าหวานยังคงมีแว่นตาบดบังและผมยาวก็ปล่อยสยายกลางหลัง ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปกลอสสีชมพูวาว ใบหน้าที่เคยไร้สีดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อยเพราะได้น้องสาวช่วยเพิ่มสีสันให้ทว่าก็ยังคงจืดจางเมื่อรวมกับคนหมู่มาก มือเล็กเซ็นในสมุดอวยพรบ่าวสาวแล้วหย่อนซองลงในกล่องก่อนหยิบของชำร่วยเป็นพวงกุญแจรูปหัวใจสองดวงคล้องกัน เก็บมันลงกระเป๋าทันทีแล้วก้าวเข้าไปภายในงานพยายามสูดลมหายใจเรียกกำลังให้ตนแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเห็นคู่บ่าวสาวยืนอยู่หน้าแบ๊กดร็อปในจังหวะที่เจ้าบ่าวช่วยเช็ดเหงื่อให้เจ้าสาวด้วยความอ่อนโยน หัวใจสั่นไหวจนอยากจะหันหลังออก
ตอนพิเศษหมอตฤณกับต้นหนาว นาฬิกาบ่งบอกเวลาตีสามทว่าชายหนุ่มที่อยู่ภายในผับยังคงนั่งดื่มเหล้าราวเป็นน้ำเปล่าไม่รู้สึกระคายคอสักนิด พนักงานหันมองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจนกระทั่งผู้จัดการเดินไปแจ้งลูกค้าหน้าใหม่ให้รู้ว่าร้านปิดแล้วเขาจึงวางเงินเอาไว้พร้อมเดินเซออกไปทางประตู “รถอยู่ไหน” ร่างสูงพยายามเพ่งมองรถยนต์ของตนเอง หลับตาลืมตาอยู่หลายครั้งเพราะดูอย่างไรก็มองอะไรไม่ชัดสักอย่าง แถมรู้สึกเหมือนศีรษะเอนไปเอียงมาพยายามทำให้หัวตั้งตรงด้วยการเอนไปทางด้านขวาก่อนจะพบว่าไม่ตรงเลยสักนิด เขาจึงลองเอนหัวมาทางด้านซ้ายแทน ก็ไม่ตรงอีกถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรดีถึงจะมองตรงได้ คุณหมอหนุ่มตัดสินใจล้มตัวลงนอนบนพื้นเพราะทนความหนักของศีรษะไม่ไหว “อ่า ตรงแล้ว” ใบหน้าคมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกพะอืดพะอมจนต้องรีบลุกขึ้นนั่งแล้วโก่งคออาเจียนเต็มที่โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าลานจอดรถของผับที่ตนเองมาตั้งแต่สามทุ่ม เมื่อรู้สึกโล่งจึงล้มตัวนอนที่เดิมมือหนาคว้าสะเปะสะปะก่อนจะสัมผัสได้ถึงขนนุ่มนิ่มก็คว้าเข้าไปกอดคลายหนาวทันที ไม่รู้ส
ตอนพิเศษ...รักเธอได้ยินไหมเด็กหญิงหุ่นอวบเดินเข้ามาภายในโรงเรียนด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ เธอรวบรวมกำลังใจเพื่อที่วันนี้จะได้ทำภารกิจอันสำคัญอากาศยามเช้าแสนจะสดใสราวทุกอย่างเปิดสว่างให้กับความรักของเธอ ณชารู้จักความรักครั้งแรกคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ขนม’ เธอหลงรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแต่ก็มักจะโดนเพื่อนล้อว่าตัวอ้วน กินแต่ของหวานฟันผุ กระทั่งได้รู้จัก ‘พี่ทัพ’ ผู้ชายที่ทำให้คำว่ารักของเธอเปลี่ยนไป‘อร่อยก็กินสิ เดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อน’จากที่เคยคิดจะลดของหวานณชาก็ยิ้มร่าหยิบเค้กชิ้นโตขึ้นมากินอย่างมีความสุข ผู้ชายตรงหน้าเธอมีหุ่นที่ไม่ต่างกันมากนัก แววตาของเขาทอประกายความสุขและนั่นเองทำให้เด็กหญิงที่ไม่ประสาเรื่องความรักหัวใจเต้นแรงจนต้องเดินไปถามมารดา“แม่ขา ป้อนหัวใจเต้นเร็วมากเลย แม่จับดู ป้อนจะตายไหมคะ” จับมือคุณแม่มาไว้ที่หัวใจเพื่อรับรู้อัตราการเต้นคุณศลิษาหัวเราะบุตรสาวก่อนจะลูบศีรษะน้อยๆ“ไม่ตายหรอกค่ะ อาการแบบนี้เขาเรียกว่าตกหลุมรัก”ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้สบตากับพี่กองทัพเสมอและเมื่อโตขึ้นเธอจึงได้เข้าใจคำว่าตกหลุมรักที่คุณแม่บอกเด็กหญิงชวนพี่ชาย
ตอนพิเศษ...เมื่ออดีตมือหนาเลื่อนขึ้นไปปิดน้ำที่ไหลรดกายก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวพันบริเวณเอวไม่ลืมหยิบผ้าขนหนูพื้นเล็กเช็ดศีรษะที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ใบหน้าคมเข้มหล่อเกินวัยทำเอาสาวหลายคนใจละลายมานักต่อนัก ดวงตาเรียวยาวเพียงแค่ปรายตามองก็พานให้หัวใจสั่นไหว จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเรียวราวอิสตรีเพียงเท่านี้ก็ทำให้กองทัพ วิจิตรประภากลายเป็นหนุ่มหล่อที่ถูกกล่าวขานไปทั่วมหาวิทยาลัย“อื้อ ทัพ ตื่นเร็วจัง” สาวสวยหุ่นเพรียวลุกขึ้นจากที่นอนคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับปกปิดร่างกายของตนเองจากสายตาคมกริบที่ทำให้หัวใจสั่นไหวทุกครั้งที่มอง“ผมมีเรียนเช้า คุณนอนต่อเถอะ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามากอดเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตปลายคางอย่างน่ารักจนอดใจไม่ไหวต้องคว้ามากอด เธอน่ารักขี้อ้อนจนเขายอมทำทุกอย่างขอแค่ได้มาครอบครอง ยอมแม้กระทั่ง..เป็นชู้..“อือ ตอนเย็นเจอกันนะคะ” ใบหน้าหวานยิ้มจนตาเป็นสระอิ ความน่ารักนี้ที่เขาหลงใหล รอยยิ้มแสนหวานที่มักมอบให้ ชอบเหลือเกิน ชอบจนไม่อาจจะตัดใจได้ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนของเพื่อนสนิท เพื่อนที่เป็นทั้งญาติไม่อาจจะตัดกันขาด“เดี๋ยวเราจะทำของที่ทัพอยากกินไว้รอ” เธอเดินมาส่งเขาท