๔
สัญญาณเตือน
ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงระฟ้าอันเป็นที่ทำงานใหม่ของตนเอง บริษัท วิจิตร จำกัด (มหาชน) มีสำนักงานใหญ่อยู่ใจกลางกรุงและมีสาขาย่อย อยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศครอบคลุมทุกการก่อสร้าง ใบหน้าหวานถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เธอไม่อยากเข้าไปใกล้กองทัพ ไม่อยากโคจรมาเจอเขาแต่ก็เป็นไปได้ยากไหนแม่จะสนิทกันอีกทั้งตอนนี้ยังสร้างพันธะให้เกิดขึ้นด้วยคำว่าเจ้านาย-เลขานุการ
ณชาจำต้องสูดลมหายใจเรียกพลังในตัวก่อนเดินเข้าไปภายในตึก เวลาเช้าแบบนี้ทำให้มีพนักงานไม่มากนัก ลิฟต์ก็ไม่แออัดอย่างที่ควรเธอจึงครองแต่เพียงผู้เดียว ร่างบางหันไปสำรวจตนเองในกระจกอีกครั้งเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย
ผมยาวถูกถักเปียอย่างสวยงามโดยมารดาที่เข้ามาดูแลการแต่งตัว เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนยาวสวมทับด้วยกระโปรงสีขาวเข้ารูปแนบไปกับลำตัว นางสาวณชาตรงหน้าแตกต่างจากณชาโดยสิ้นเชิง เธอไม่คิดว่าตนเองจะดูภูมิฐานขนาดนี้มาก่อน
เมื่อถึงชั้นที่ต้องการประตูลิฟต์เปิดออกทำให้พบกับเหล่าผู้มาสมัครกว่าห้าชีวิตซึ่งนั่งรอก่อนหน้าเธอแล้ว
..ให้ตายเถอะ ไหนบอกว่าทำชั่วคราวไง ทำไมคนเยอะขนาดนี้
คิดในใจแต่ก็เดินไปหยิบใบสมัครมากรอกประวัติ มีอย่างที่ไหนสมัครวันนี้สอบสัมภาษณ์ตอนเที่ยงอีกทั้งประกาศผลวันพรุ่งนี้อีก ให้รู้กันไปเลยว่าคนไหนเด็กเส้น แต่ละคนต่างมองหน้ากันพลางหยั่งเชิงในใจว่าจะใช่คนที่มาสมัครเพื่อรอรับตำแหน่งแบบสวยๆ หรือเปล่า
ณชาอยากเดินกลับบ้านเสียตอนนี้ถ้าไม่ติดว่ามารดาคาดโทษเอาไว้เสียก่อน ใบหน้าหวานงอง้ำเมื่อหัวหน้าแผนกอย่างกองทัพเดินเข้ามาภายในพร้อมส่งยิ้มให้คนที่เข้ามาสมัคร
“หล่อมาก เขาคือเหตุผลที่ทำให้ฉันมาสมัคร ถึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไรขอแค่ได้คุยกันก็พอแล้ว” ได้ยินผู้สมัครคนหนึ่งเพ้อกับเพื่อนซึ่งมีอาการไม่ต่างกันนัก หากเป็นเมื่อก่อนณชาสาบานได้เลยว่าคงเข้าไปร่วมวงเม้าด้วยแล้ว แต่เพราะตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเธอจึงสงบปากสงบคำแล้วนั่งรอด้วยการยกโทรศัพท์ขึ้นมาติดตามข่าวสาร
เวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาทีปิดรับสมัครและมียอดผู้มาสมัครสิบสามคน ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจเยอะขนาดนี้ทั้งที่เป็นการรับตำแหน่งนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น อาจเพราะค่าตอบแทนที่สูงและรับพิจารณาแม้จะไม่มีประสบการณ์ก็ตาม
เวลาเดินไปช้าในความรู้สึกของหญิงสาวกระทั่งถึงเธอ ร่างบางลุกขึ้นไม่ได้สนใจใครก่อนจะเดินหายเข้าไปภายในห้องของหัวหน้าแผนกการตลาด เสียงจอแจเมื่อครู่เงียบลงพบเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและแววตาคมมองตรงหน้า
ร่างบางนั่งลงตรงข้ามเขาและเงียบ หลังจากสบตากันนานราวหนึ่งนาทีร่างสูงก็เป็นคนทำลายบรรยากาศอึมครึมระหว่างกันลง
“มีอะไรจะพูดไหมครับ”
“ไม่มีค่ะ”
..คนที่ควรถามเป็นเขาไม่ใช่หรือ
ณชาไม่เคยผ่านการสัมภาษณ์งานมาก่อนเพราะคิดว่าจะทำงานที่ร้านของมารดาไม่นึกฝันว่าต้องมาทำหน้าที่เลขานุการให้ใคร
“ถ้าอย่างนั้นพี่ถามเอง คบกับแฟนมานานเท่าไหร่แล้ว”
ดวงตากลมโตมีแววฉงนเพราะคำถามนั้นไม่เกี่ยวกับงานที่ทำเลยสักนิด
“นานแล้วค่ะ”
“ระยะเวลา วัน เดือนหรือปี” เขาเลื่อนเก้าอี้มาจนชิดโต๊ะราวตั้งใจฟังคำตอบก่อนจะยกมือขึ้นมากุมบนโต๊ะเหมือนกำลังประชุมเพื่อสรุปรายได้ของไตรมาสนี้
“ดิฉันคิดว่ามันคงไม่เกี่ยวกับงาน”
ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก
“เกี่ยวสิ เพราะเราต้องใกล้ชิดกันบางทีอาจต้องค้างที่ทำงาน แฟนเราจะโอเครึเปล่า พี่ก็แค่อยากถามให้แน่ใจว่าคบกันนานพอจะเชื่อใจกันมากน้อยแค่ไหน”
เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นแต่ณชาก็ไม่อาจโต้เถียงได้
“รู้จักกันหลายปีแต่คบกันจริงๆ สามเดือนค่ะ”
กองทัพพยักหน้ารับรู้ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นวมตัวใหญ่ก่อนจะกอดอกอย่างใช้ความคิด
“”ก็ไม่นานเท่าไหร่
“แค่นี้ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัว”
สรรพนามที่แทนตัวเองอย่างห่างเหินทั้งน้ำเสียงไว้ตัวสร้างความหงุดหงิดให้กองทัพเป็นอย่างยิ่ง เขามองประตูที่ปิดลงก่อนจะลุกขึ้นไปบอกเลขาหน้าห้องให้หยุดการสัมภาษณ์สักครู่
ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมต้องถามคำถามแบบนั้น
..อยากรู้ไปทำไมจะคบกันนานเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเสียหน่อย อย่างที่ณชาบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับงานเลยสักนิดมันก็แค่ความอยากรู้ส่วนตัวของเขาเท่านั้นเอง
ติ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นร่างสูงเดินมาเปิดดูข้อความที่ส่งทางไลน์โปรแกรมแชตสีเขียวซึ่งใช้บ่อยสุดในขณะนี้ ส่วนมากมักจะเป็นการคุยงานหรือบางครั้งก็มีคุยกับผู้หญิงที่เจอตามคลับ อาจมีลูกหลานไฮโซบ้างซึ่งส่วนมากก็สนทนาเกี่ยวกับธุรกิจไม่ค่อยมีเรื่องชู้สาวสักเท่าไหร่
‘ไม่เจอกันนานเลย’
‘คิดถึงทัพนะคะ’
‘ถ้าว่างเราออกมาเจอกันดีไหม’
มือเขาชาไปชั่วขณะก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ภาพเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เจอกันยังชัดอยู่ในหัว วันที่เธอเลือกเพื่อนของเขา วันที่เพื่อนสนิทอีกทั้งเป็นญาติตัดเขาออกจากชีวิตจนกลายเป็นคนไม่รู้จัก
เป็นวันที่เขาเรียกได้ว่าวันแห่งความวินาศ
หากถามว่ายังรักอยู่ไหมกองทัพก็คงตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อเจอหน้าจะรู้สึกอย่างไร อาจดีใจหรือเกลียด บางทีคงรู้สึกเฉยๆ ราวเธอไม่มีตัวตน แต่ว่าตอนนี้และในขณะนี้เขารู้สึกเพียงแค่..วูบโหวง มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่ตนเองก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร
วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะทำงานไม่ได้เปิดดูแชตก่อนตัดสินใจกดปิดการสนทนานั้น เขาจะทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ เขาควรตัดขาดจากผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว ไม่ควรกลับไปสร้างความผิดบาปอีกหลังจากทำแบบนั้นกับเพื่อนตนเองมาแล้วและมันยังคงเป็นความผิดที่ติดค้างในใจไม่ได้รับการให้อภัยจากพณณกรอีกเลย
การสัมภาษณ์งานตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการสิ้นสุดลงและประวัติของณชาถูกยื่นให้ฝ่ายบุคคลเพื่อเรียกเธอเข้ามาทำงานในวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างรวดเร็วไปหมดและกองทัพก็ฉลาดพอที่จะโทรไปย้ำกับคุณศลิษาถึงตำแหน่งลูกสาวท่าน
“ให้น้องมาเริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลยนะครับ”
ปลายสายดีใจยกใหญ่ย้ำขอบคุณเขาหลายครั้งแล้ววางสายไป
สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เขาก็ตอบตนเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร เอาณชาเข้ามาในวงโคจรของตนทำไมทั้งที่เธอมีคนรักอยู่เป็นตัวเป็นตน วินาทีนี้เขาคงต้องยอมรับความจริงเสียแล้ว ความจริงที่ว่าเขาหวงน้องสาวคนสนิท เขามันก็แค่หมาหวงก้างที่คิดว่าเธอเป็นของตายจึงไม่คิดใส่ใจ แต่เมื่อหญิงสาวกำลังจะจากไปกลับรั้งเอาไว้ด้วยอุบายทั้งหมดที่มี
ดวงตาคมหลับลงด้วยความเหนื่อยล้า เขาใช้มือนวดขมับทั้งสองก่อนลืมตาขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์แจ้งเตือน
‘วันเกิดเอิร์ธ’
เป็นการตั้งเตือนที่เขาไม่เคยลบ ร่างสูงเหม่ออีกครั้งหลังเสียงสัญญาณดับลง ทุกปีเขามักจะส่งของขวัญไปให้พณณกรแต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา อีกฝ่ายไปเป็นสัตวแพทย์อยู่ต่างจังหวัดตัดขาดจากเพื่อนสนิทอย่างเขาทุกช่องทางแม้กระทั่งวันสำคัญที่สองครอบครัวจัดขึ้นชายหนุ่มก็เลือกจะอยู่กับงานมากกว่ากลับบ้าน
ทุกคนในครอบครัวรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของกองทัพและพณณกรได้แตกหักลงแต่ที่ทุกคนไม่รู้คือสาเหตุของมัน ไม่ว่าจะเพียรถามอย่างไรก็ไม่มีใครปริปากบอกกระทั่งกองทัพทนไม่ไหวร้องไห้ขอโทษทุกคนและบอกความผิดของตนเอง
ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มและหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองหนุ่มอีกเลยทำราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น
งานเลี้ยงทุกปีจึงปราศจากพณณกร แม้อาพสุธากับอาดาริกาจะไม่ว่าอะไรแต่ก็เป็นความรู้สึกผิดในใจกองทัพมาตลอดที่ทำให้ลูกชายคนเล็กของท่านไม่มาร่วมงานรื่นเริงของครอบครัว
“คุณฐาวันนี้ผมไม่มีงานอะไรอีกแล้วใช่ไหมครับ” ออกมานอกห้องจึงถามเลขานุการที่ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที
“ไม่มีแล้วค่ะ” เธอเคลียร์ตารางงานวันนี้ของเขาเพราะคิดว่าคงต้องสัมภาษณ์ทั้งวันแต่ดีที่เสร็จตั้งแต่ช่วงเช้า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอลาทั้งวันนะครับ ถ้ามีใครมาหาก็ลงนัดไว้แล้วกัน”
เธอรับคำก่อนเจ้านายหนุ่มหล่อจะเดินออกจากห้อง จุดมุ่งหมายคือห้างสรรพสินค้าใกล้ที่ทำงาน ของขวัญครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งก่อนเท่าไหร่ มันคือตุ๊กตาวัวที่สามารถบันทึกเสียงได้ หลายคนอาจจะคิดว่ามันกิ๊กก๊อกไม่เหมาะให้เป็นของขวัญเพื่อนผู้ชาย แต่เพราะพวกเขาทั้งสองมีความหลังกับตุ๊กตาชนิดนี้ด้วยกันทำให้มันมีความหมายที่คนนอกไม่อาจรู้
“อย่าบอกนะว่าจะไปกินของหวานต่อ”
ขณะที่กำลังจะเดินไปร้านประจำร่างสูงก็หยุดอยู่กับที่เพราะหางตาเห็นคู่รักชายหญิงเดินออกมาจากร้านอาหาร
“ก็เขาบอกว่ากินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ ป้อนไม่อยากเป็นไพร่เพราะฉะนั้นเราต้องไปกินของหวานต่อค่ะ”
ไม่รู้ทำไมเขาต้องเดินหลบมุมมองตามหลังคู่รักไปด้วยหัวใจร้อนรุ่มด้วย มือหนากำหมัดแน่นไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่
เขาหันหลังจะเดินไปซื้อของให้พณณกรแต่ก็ต้องหยุดอยู่กับที่เพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ราวกับหูดับเขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้างภาพทุกอย่างดูพร่าเลือนแต่คนตรงหน้ายังแจ่มชัด เธอหยุดยืนตรงหน้าเขา
หลายปีที่ไม่ได้เจอเธอดูโตขึ้นแต่ยังคงสวยจับใจเหมือนเดิม แววตากลมโตส่องประกายด้วยความสุขต่างจากเขาที่ระยะเวลาหลายปีราวกับตกนรกทั้งเป็น บาปที่เคยทำกับเพื่อนคอยตามหลอกหลอนทั้งความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจจนแทบไม่หลงเหลือความสุข
ต่างจากผู้หญิงตรงหน้า...ปลายฟ้า เธอยังมีความสุขราวกับชีวิตไม่เคยทำผิดมาก่อนและนั่นทำให้เขารู้สึกโกรธ ที่มีเพียงตนจมอยู่กับอดีตคนเดียว
“ไม่คิดว่าจะได้เจอ เราพึ่งกลับมาจากฝรั่งเศส ทัพสบายดีนะ”
ครั้งล่าสุดที่เจอเหตุการณ์ระหว่างเขาและเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่และทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำไม่อาจลบเลือนได้แต่สำหรับคนตรงหน้ามันคงหายไปหมดแล้ว
“อือ”
“คิดถึงจังเลยไม่ได้เจอตั้งนาน ไว้โอกาสหน้าเราจะไปหา ได้ข่าวว่าทำงานที่บริษัทของครอบครัวใช่ไหม ไว้เจอกันตอนนี้เราต้องไปแล้ว บ้ายบายนะ” และไม่ทันตั้งตัวร่างบางก็เดินเข้ามากอดพร้อมเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มเขาโดยไม่อายต่อสายตาใครยิ่งเป็นช่วงเที่ยงแบบนี้คนจึงเยอะกว่าปกติ
ณชาเดินกลับมาเอาของที่ลืมอยู่ร้านอาหารหยุดชะงักเมื่อพบคู่ชายหญิงซึ่งกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งชั้นอาจเพราะผู้ชายหล่อ ผู้หญิงสวยแต่ที่เรียกความสนใจได้ก็คือความหวานที่มีต่อกัน การกระทำที่ไม่ได้ดูอนาจารแต่กลับหวานละมุนราวคู่รัก
“อะ” อุทานออกมาทันทีเมื่อเห็นหน้าผู้หญิงชัดขึ้น เธอเอามือขึ้นมาจับหัวใจที่อยู่ดีๆ ก็เจ็บจี๊ดราวกับมีเศษแก้วปักเข้ากลางใจ
ผู้หญิงคนนั้นที่เธอไม่มีทางลืม คนที่เป็นดังเจ้าของหัวใจกองทัพ ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีเขาก็ไม่อาจลืมเธอได้
..ทั้งสองคนกลับมาคบกันอย่างนั้นหรือ
คำถามเกิดขึ้นภายในใจมองปลายฟ้าผละออกแล้วยกมือขึ้นโบกลาชายหนุ่มพร้อมเดินจากไปปล่อยให้ร่างสูงยืนอยู่เพียงลำพัง
ตฤณที่เดินตามหลังมาหยุดมองแฟนสาวของตนเอง ใบหน้าหวานที่เห็นเพียงด้านข้างเศร้าสร้อยจนอยากเดินเข้าไปกอดปลอบ เขามองตามสายตาของเธอก่อนจะไปหยุดที่ร่างสูงคุ้นเคย ถ้าจำไม่ผิดผู้ชายคนนั้นคือกองทัพพี่ชายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กของณชา
..แต่ทำไมต้องมองด้วยสายตาแบบนั้น
สายตาที่แม้แต่คนเป็นแฟนอย่างเขายังไม่เคยได้รับ ความเจ็บปวดทว่ายังเปี่ยมไปด้วยความรัก
..หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นรักแรกของเธอ
หมอตฤณไม่อาจทนมองอยู่เฉยได้จึงเดินเข้าไปโอบไหล่เล็กก่อนจะถามด้วยใบหน้าอมยิ้มปกปิดความรู้สึกผิดหวังในหัวอย่างมิดชิด
..เขาจะไม่แสดงอาการให้เธอรู้เด็ดขาด
“ป้อน ไม่เข้าไปเอากระเป๋าเหรอ”
“อ๋อ ไปค่ะ” ร่างบางตื่นจากภวังค์ก่อนจะตรงไปยังร้านอาหารที่เพิ่งออกมาเมื่อสักครู่ ภาพที่เห็นกองทัพกอดกับปลายฟ้ายังคงติดในความทรงจำไม่ลืมเลือนแม้จะได้กินของหวานก็ไม่อาจช่วยได้
หมอตฤณมองแฟนสาวก่อนจะชวนคุย
“ไปสัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้าง” เห็นเธอเหม่อลอยเขาจึงพยายามถามไถ่ไม่ให้บรรยากาศเงียบ
สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ภายในร้านบิงซูชื่อดังมีคนเต็มร้านเรียกได้ว่าแทบไม่มีโต๊ะว่างยิ่งเป็นช่วงเที่ยงแบบนี้ถึงขนาดมีคนยืนรอโต๊ะว่างหน้าร้าน
“ก็ดีค่ะ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า” ก้มหน้าตักของหวานเข้าปากหลีกเลี่ยงการบอกสถานที่ทำงานแก่เขา
ตฤณไม่รู้ว่าณชาไปสมัครงานที่บริษัท วิจิตร จำกัด (มหาชน)
“งานอะไรเหรอ” คุณหมอดูแลแฟนสาวอย่างดีด้วยการตัดขนมปังให้มีชิ้นเล็กเพื่อสะดวกในการกิน
“ก็ทั่วไปค่ะ” ตอบแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง ไม่รู้ทำไมจึงไม่อยากบอกว่าทำงานกับใคร เรื่องราวความรักครั้งเก่าของตนหมอตฤณยังคงไม่ทราบและเธออยากให้มันเป็นความลับต่อไปเพราะรักครั้งนั้นมันไม่สมหวัง
“ว่าแต่วันนี้พี่หมอไม่มีตรวจเหรอคะ” ปกติช่วงเที่ยงเขาทำงานแทบไม่ได้กินข้าวแต่วันนี้กลับโทรชวนมาเดินเล่น รับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันก็สร้างความสงสัยให้ณชา
“มีครับ พี่มีเคสบ่ายสองยังไงก็ไปทัน” เขายิ้มให้เธอแล้วบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก็เงียบลงเพราะต่างติดอยู่ในความคิดของตนเอง
หมอตฤณอยากถามเรื่องของกองทัพแต่ก็ไม่กล้า เขากลัวที่จะเผชิญความจริง หลายคนชอบเอาอาชีพมาตีกรอบความคิดว่าหมอควรเก่งไปเสียทุกเรื่อง หากในตำราเขาไม่เถียงว่าอาชีพหมอต้องเก่งเพื่อรักษาคนไข้แต่ในชีวิตจริงเรื่องความรักมันค่อนข้างยากสำหรับเขายิ่งแฟนสาวไม่ได้มีอาชีพเดียวกันเวลาระหว่างเราก็ยิ่งน้อยลงทุกที
หากหมอตฤณไม่เป็นคนนัดก็แทบจะไม่ได้เจอกับณชาเลยราวกับว่าสามเดือนที่คบกันไม่ต่างจากสามปีที่รู้จักกันมา เป็นเพียงแค่พี่น้องเท่านั้น แม้แต่จูบยังไม่เคยได้จากเธอ
“เมื่อกี้พี่เห็นคุณกองทัพกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นแฟนกันเหรอ” ตัดสินใจเอ่ยถามในที่สุด
ณชาเงยหน้าสบตาเขาแววตากลมโตสั่นระริกก่อนก้มมองของหวานตรงหน้าแทน
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ป้อนไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่”
เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกว่าคำพูดนั้นไม่เป็นความจริงสักนิด ดูท่าว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นรักแรกและยังคงเป็นรักที่ฝังใจหญิงสาวมาตลอดไม่เว้นกระทั่งตอนนี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อก็ทำให้คนตรงหน้าน้ำตาคลอได้
..ไม่ธรรมดาจริงๆ
“พี่ว่าเรากลับกันดีไหม พี่ลืมว่าต้องไปหาอาจารย์หมอปรึกษาเรื่องงานวิจัย” ตอนนี้เหมือนเขากำลังจะเป็นโรคหัวใจ ไม่เคยได้สัมผัสความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อนเลย
ณชาพยักหน้ารับก่อนไปจ่ายเงินหลังจากนั้นคุณหมอก็ไปส่งแฟนสาวที่บ้านค่อยกลับไปทำงานที่โรงพยาบาล
ระหว่างทางเขาขับรถด้วยใจที่เหม่อลอยเป็นครั้งแรก ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงแต่กลับสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้น ความสงสัยที่ไม่อยากหาคำตอบเพื่อตอบคำถามในใจเคยเรียนรู้ความเจ็บปวดจากการไม่ถูกรักมาเป็นเวลาสามปีจนตอนนี้ที่เธอตอบรับเขาแต่กลับกลายเป็นว่าสถานะนั้นคือสิ่งลวง เหมือนเขากำลังไล่ตามฟองอากาศที่มีอยู่จริงแต่ไม่นานก็จะสลายไป
ณชาถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มแต่ก็เดินเข้าไปภายในแผนกการตลาด เธอยกมือไหว้พี่ฐานิดาผู้จะมาสอนงานเลขานุการให้เพียงวันเดียวก่อนจะลายาวถึงสามเดือน วันนี้กองทัพไม่เข้าบริษัทเพราะมีธุระสำคัญซึ่งไม่มีใครรู้ว่าธุระนั้นคืออะไรแต่เป็นหญิงสาวเองที่สงสัย
..หรือว่าธุระคือเรื่องของปลายฟ้า
รีบสลัดความคิดนั้นออกก่อนตั้งใจเรียนรู้งาน งานของเขาเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ เอกสารที่ต้องคัดกรองก่อนส่งถึงมือหัวหน้าแผนก พิมพ์รายงานประจำสัปดาห์ แปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ จัดการนัดหมายกับคู่ค้าตามเวลาที่ชายหนุ่มว่าง เห็นงานแล้วก็อยากจะเป็นลม
“น้องป้อนทำได้ใช่ไหมคะ”
อยากตอบเหลือเกินว่าไม่ได้แต่จำต้องพยักหน้ายิ้มเจื่อน ก้มมองเอกสารแล้วอยากถอนหายใจออกมาเสียงดัง
..การทำงานในออฟฟิศไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบเลย
วันนั้นทั้งวันหญิงสาวหัวหมุนกับงานจนฐานิดาบอกให้ใจเย็น เธอพยายามสอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่เพราะงานเยอะจึงต้องใช้หลักสูตรเร่งรัด เวลาผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็นงานตรงหน้าก็ยังไม่เสร็จ เธอต้องแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษซึ่งมีทั้งหมดกว่ายี่สิบหน้า
“พรุ่งนี้ค่อยมาทำก็ได้ กลับเถอะป้อน” ฐานิดาบอกอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกไม่กี่หน้าก็เสร็จ พี่ฐากลับก่อนเลยเดี๋ยวป้อนค่อยกลับ”
คนท้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจพอดีกับที่สามีโทรศัพท์บอกว่ารอข้างล่างเธอจึงบอกลาน้องสาวที่พึ่งเจอกันแต่รู้สึกเอ็นดูมากเหลือเกิน เสียดายที่ไม่ได้ทำงานด้วยกัน
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เสร็จแล้วรีบกลับเข้าใจไหม” พยักหน้าแล้วยิ้มกว้าง แม้จะมาทำงานวันแรกแต่คนในแผนกก็ต้อนรับสุดๆ ทั้งผู้ชายที่มักจะแวะเวียนมายังโต๊ะของผู้ช่วยเลขานำขนมนมเนยมาฝากจนไม่ต้องไปกินข้าวเที่ยง
ตอนนี้เหลือเพียงณชาที่ทำงานคนเดียวภายในแผนก เธอเร่งอ่านแล้วก็แปลจนไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามากระทั่งมีเสียงเคาะบนโต๊ะจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำไมยังไม่กลับอีก” กองทัพยืนอยู่ตรงหน้าในชุดสูทเรียบหรู
ณชาที่รู้สึกว่าตนเองไม่พอใจเขาก็ไม่ตอบคำถามกลับก้มหน้าไปพิมพ์เอกสาร
..จะสนใจทำไมทีเขายังไม่บอกเลยว่าทำธุระอะไร
รู้ว่าความคิดของตนอาจดูไร้สาระแต่ก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกได้
“ผู้ใหญ่ถามไม่ตอบ เด็กดื้อ” เอื้อมมือมาบิดจมูกเล็กสองสามที
จนเธอต้องปัดมือเขาออกแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งอย่างหาเรื่อง
“ทำไมต้องตอบด้วยคะ พี่ทัพก็เห็นอยู่แล้วว่าป้อนทำอะไรยังจะมาถามอีก น่ารำคาญ”
ร่างสูงกอดอกมองคนตรงหน้า ไม่รู้ทำไมคำว่ารำคาญไม่ได้ทำให้เขาโกรธเธอแต่กลับย้อนนึกถึงเมื่ออดีตแทน เขาชอบพูดรำคาญเธอบ่อยครั้งเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขาไม่ได้รำคาญณชาเลยสักนิดกลับเพิ่มความเอ็นดูที่เห็นริมฝีปากบางยื่นออกมาอย่างคนขัดใจ
“รำคาญจริงเหรอ ไม่ใช่ว่างอนพี่นะ” ร่างสูงเดินอ้อมไปหาเธอก่อนจะหมุนเก้าอี้ที่ณชานั่งหันมาหาตนเอง
กองทัพนั่งลงเพื่อให้สบตาในระดับเดียวกันไม่ต้องก้มคุยจนรู้สึกเมื่อยคอ
“ใครงอนคะ ป้อนจะงอนพี่ทัพทำไม” ถามเสียงสะบัดพยายามหมุนเก้าอี้กลับไปทำงานต่อแต่เพราะแขนแข็งแรงทั้งสองข้างของเขาจับพนักเก้าอี้ไว้เสียแน่นจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
ร่างบางพยายามหลบเลี่ยงสายตารู้ทันของชายหนุ่ม
“ไม่ได้งอนจริงเหรอ” ดวงหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
ณชาตาโตรีบเบี่ยงหน้าหลบเขาทันที
“อย่านะคะพี่ทัพ!” ตะโกนเสียงดังลั่น
จนหัวหน้าฝ่ายการตลาดหัวเราะเสียงดังเลิกแกล้งเธอเพราะใบหน้าหวานแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออายกันแน่ หากไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินไปเขาขอเดาว่าเธออายก็แล้วกัน
“ตกใจอะไร พี่แค่จะเอาขนตาออกให้” หยิบขนตาที่ติดอยู่บนแก้มนวลออกแล้วลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋ายิ้มขันที่สามารถแกล้งผู้หญิงตรงหน้าได้
ส่วนณชาเองก็เกิดอาการกระดากอายคิดไปเองเป็นตุเป็นตะว่าเขาจะทำมิดีมิร้าย
“ก็ใครให้เข้ามาใกล้ขนาดนั้นล่ะคะ ทีหลังก็บอกกันดีๆ สิ” เช็ดแก้มตนเองแก้เก้อแล้วหันไปทำงานต่อ
“วันนี้พี่ไปทำบุญกับคุณแม่” ไม่รู้ทำไมถึงต้องบอก
..ก็แค่ไม่อยากให้คุณเลขาคนใหม่งอนเท่านั้นเอง
เขามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อยู่ดีๆ ก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมา
“บอกทำไม ป้อนไม่ได้ถามซะหน่อย” ตามองเอกสารแต่ก็ไม่ได้รับรู้สักนิดว่าตัวหนังสือข้างหน้าอ่านว่าอะไรเพราะมัวแต่รู้สึกดีใจกับคำบอกเล่าเล็กน้อยนั้น
“แค่อยากบอกกลัวเด็กแถวนี้คิดมากหาว่าพี่เอาเวลางานไปเที่ยวหญิง”
ณชารีบหันมาสบตาเขา
“ป้อนไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย” ปฏิเสธเสียงแข็ง
จนกองทัพหัวเราะออกมา เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเหมือนที่เคยทำครั้งเธอยังเป็นเด็ก การกระทำดังกล่าวทำให้หัวใจของสาวนอกเต้นโครมครามแทบหลุดออกจากอก เคยคิดอยากให้กองทัพมองเธอด้วยรอยยิ้มบ้าง รอมาแสนนานในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าทำงานเสร็จแล้วก็กลับนะ อยู่ค่ำน้าลิซได้ว่าพี่ใช้งานลูกสาวท่านหนักพอดี” ละมือออกจากกลุ่มผมสวยอย่างเสียดายแล้วกำชับเสียงเข้มก่อนเข้าห้องตนเอง เขามีเอกสารที่ต้องเคลียร์จึงบึ่งรถจากอยุธยากลับมาทำงานที่คั่งค้าง
ณชาแทบไม่มีสมาธิทำงานหลังจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ผ่านไป เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ยกมือขึ้นมาหยิกแขนตัวเองพอรู้สึกเจ็บก็ยิ้มอย่างยินดี
..ไม่ได้ฝันไปจริงด้วย เมื่อสักครู่คือความจริง
หัวใจดวงน้อยสัมผัสได้ถึงความสุขที่ห่างหายไปนาน เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กที่ยังมีพี่ชายแสนดีอยู่เคียงข้าง
เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหญิงสาวทำงานเสร็จบิดขี้เกียจสองสามครั้งมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้วจึงรีบปิดคอมพิวเตอร์ หยิบกระเป๋าลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้เข้าไปชิดโต๊ะก่อนมองห้องหัวหน้าแผนก
..เขาจะกลับตอนไหนนะ
“ไปดูสักหน่อยดีกว่า” พึมพำกับตนเองแล้วเดินไปเคาะประตูห้องเพียงสามครั้งจึงเปิดเข้าไปโดยไม่รอฟังคำอนุญาตจากเจ้าของห้องก่อนเลย“ป้อนกลับแล้วนะคะ” บอกอย่างรวดเร็ว
จนคนที่พึ่งเงยหน้าขึ้นจากเอกสารต้องรีบเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ” เห็นร่างบางทำท่าจะหมุนตัวออกไปก็เอ่ยเรียกแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปหาเธอ ทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงก้าวเดินจนกระทั่งเขาหยุดตรงหน้า
“งานพี่ใกล้เสร็จแล้วรอก่อนได้ไหม แล้วจะพาไปกินข้าวเย็น” เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
จนคนตัวเล็กใจอ่อนระทวย
“ถ้าอย่างนั้นป้อนขอโทรบอกแม่ก่อนนะคะ” ตอบรับง่ายดายจนต้องก่นด่าตนเอง
..เพียงแค่เขาพูดจาอ่อนหวานออดอ้อนเข้าหน่อยก็ใจอ่อนเสียแล้ว เธอมันบ้าผู้ชายโดยแท้ โกรธให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้
“ครับ”
กองทัพจะทำให้หัวใจเธอทำงานหนักไปถึงไหน เพียงแค่เขาขานรับด้วยน้ำเสียงทุ้มร่างบางก็แทบทรุดตัวนั่งลงเพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร
ณชาเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับมารดาบอกว่าจะเข้าบ้านค่ำ
คุณศลิษาเอ่ยถามเพียงเล็กน้อยก็วางสายเมื่อได้ความว่าจะไปกินข้าวเย็นกับกองทัพ ท่านไว้ใจหลานชายคนนี้จึงอนุญาตอย่างง่ายดาย ไม่รู้สักนิดว่าฝากปลาย่างไว้กับแมว
“ไปกันเลยไหม”
เธอพยักหน้ารับแล้วเดินเคียงข้างเขาออกจากแผนก ไฟตามทางเดินส่องสว่างไม่มืดน่ากลัวอย่างที่คิด ดีที่ฝ่ายการตลาดอยู่ไม่สูงนักใช้เวลาไม่นานจึงถึงชั้นหนึ่ง
ใบหน้าคมแอบมองณชาที่หันซ้ายขวาดูหลุกหลิกชอบกล
เขาแอบอมยิ้มเมื่อรู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอกลัว หญิงสาวกลัวผีมาตั้งแต่เด็กทว่าก็ยังชอบดูหนังผีซึ่งหลอนจนนอนไม่หลับต้องให้แม่หรือพี่ชายนอนเป็นเพื่อน ทั้งยังชอบฟังเรื่องผีเป็นประจำแล้วเก็บเอามาคิดเองเป็นตุเป็นตะ
“เราจะกินอะไรกันดีคะ” รู้สึกว่าท้องจะเริ่มร้องเพราะหิวจึงหันมาถาม
“แล้วป้อนอยากกินอะไร”
โดนเขาถามกลับแบบนี้ก็นิ่งคิด
..อยากกินไปหมดทุกอย่างเลยทั้งอาหารญี่ปุ่น สุกี้ ชาบู เนื้อย่าง อาหารอีสาน อาหารใต้ คงต้องเลือกออกมาสักรายการเสียแล้ว
หนึ่งทุ่มกว่าแล้วจะให้กินของหนักกว่าจะย่อยคงใช้เวลานานณชาจึงเลือกอาหารที่คาดว่าย่อยง่ายสุด
“ชาบูแล้วกันค่ะ”
กองทัพไม่ขัดพยักหน้าอมยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าที่หน้าประตูมีคนของหญิงสาวยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“ป้อน พี่มารับไปกินข้าวครับ”
ใบหน้าหวานค่อยๆ หุบยิ้มมองร่างสูงของหมอตฤณเดินตรงเข้ามาจับมือเธอแล้วออกแรงเพียงนิดให้หญิงสาวมายืนข้างตนเอง
กองทัพไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองสองคนที่มีสถานะเป็นแฟนกัน
“ขอตัวนะครับคุณกองทัพ” คุณหมอเปลี่ยนจากจับมือเป็นโอบไหล่เล็กเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
และนั่นทำให้ณชาตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงโสดที่จะปันใจให้ใครก็ได้ แต่สถานะตอนนี้คือมีแฟนแล้วไม่ควรทำแบบนี้อีก
เธอสบตากองทัพที่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย
มันสายไปเสียแล้วสำหรับเรื่องของเรา..
ตอนพิเศษ...หนีเที่ยวงานแต่งระหว่างกองทัพและณชาจัดขึ้นอย่างใหญ่โตขัดกับความต้องการของทั้งสองที่อยากได้แบบเรียบง่าย ทว่าหน้าที่การงานไม่เอื้ออำนวยในเมื่อเจ้าบ่าวเป็นถึงคณะกรรมการของบริษัทมีคนนับหน้าถือตา ทั้งยังคู่ค้าที่ติดต่อกันมานานหากจะไม่เชิญก็กระไรอยู่“เฮ้ยไอ้เอิร์ธ มึงกลับมาแล้วเหรอวะ” ขณะที่ยืนรอต้อนรับแขกที่ด้านหน้างานดวงตาคมก็เห็นเพื่อนสนิทใส่สูทผูกไทด์ผมที่เคยรุงรังหรือหนวดเคราครึ้มก็ถูกจัดการจนกลับมาหล่อเกินหน้าเกินเจ้าของงาน สองหนุ่มก่อนกันเนื่องจากไม่พบกันเกือบสามปีครึ่ง“กูแค่มางานแต่งมึง เดี๋ยวก็บินกลับแล้ว” กองทัพแทบจะปรบมือให้ในความทุ่มเทของอีกฝ่ายเพราะขนาดน้องแท้ๆ ยังปฏิเสธจะมาร่วมงานแต่งของพี่มันเลย“ดีใจที่มึงมา งานนี้ขอซองหนักๆ” ตบบ่าหนาเต็มแรงไปหนึ่งที“ได้ เดี๋ยวกูขอไปซื้อหินมาใส่ซองก่อนแล้วกัน” รั้งไว้แทบไม่ทันเพราะดูเหมือนสัตวแพทย์หนุ่มจะทำจริงอย่างที่ว่า ณชามองพี่ชายทั้งสองพลางอมยิ้มมีความสุข กระทั่งพณณกรหันมาหาน้องสาวคนสนิท“ลงเอยกับมันสักทีนะเรา หลังจากร้องไห้มานาน” จะเอื้อมมือขึ้นไปลูบศีรษะเจ้าสาวก็โดนเจ้าบ่าวจับมือเอาไว้ก่อน“ตามองมืออย่าต้องครับ เจ้าสาวก
สุขสันต์วันปีใหม่ เทศกาลที่หลายคนรอคอยมาถึงอีกครั้งแม้ประเทศจะไม่ใช่เมืองหนาวทว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็ทำตัวให้กลมกลืนได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อออกมาจากบ้านแล้วเจอผู้คนสวมเสื้อแขนยาวท่ามกลางแดดร้อนกว่าสามสิบสามองศา การคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาไม่น่าเชื่อถืออีกครั้ง เมื่อประกาศว่าจะหนาวจนปากสั่นแต่สิ่งที่ได้รับคือร้อนตับแทบแตก ยิ่งทำงานกลางแดดด้วยแล้วแม้จะโบกครีมกันแดดทับด้วยสเปรย์มาหนามากแค่ไหน เพียงเหงื่อไหลก็ดูเหมือนว่ามันจะหลุดออกโดยง่ายไม่เหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้สักนิด “พักกองค่ะ” เสียงช่างภาพดังขึ้นพร้อมปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผม วันนี้ออกมาถ่ายรูปพรีเวดดิงที่สวนสาธารณะในยามที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะเหตุผลเพราะคุณเจ้าสาวและคุณเจ้าบ่าวมีเวลาจำกัด เสร็จจากนี่ก็ต้องไปแจกการ์ด ไหนจะต้องบินไปต่างประเทศเพื่อเชิญบรรดาเพื่อนสนิทแทบหาเวลาให้ช่างภาพไม่ได้ จนต้องเลือกเอายามพระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าที่สุด “แค่สิบนาทีได้ไหมคะ บ่ายสองพวกเราต้องไปจิบน้ำชากับท่านผู้ว่าจังหวัดสุพรรณ” ฝ่ายเจ้าสาวในชุดกระโปรงยาวเฟื้อยตะโกนบอกจนต้องกัดฟันตอบรับ “ได้ค่
ตอนพิเศษ...หวานใจของนายไข่ตุ๋น เคยคิดหลายครั้งว่าหากวันนี้มาถึงเธอจะเป็นอย่างไร วันที่เพื่อนคนสนิทอย่างตฤณ..แต่งงาน ณัชชาเดินเข้ามาภายในโรงแรมด้วยหัวใจหนักอึ้งขาทั้งสองแทบก้าวไม่ออกอันที่จริงมันเป็นมานานนับตั้งแต่วันที่ได้รับการ์ดจากเจ้าบ่าวแล้ว ใบหน้าคมมีรอยยิ้มประดับดวงตาก็ส่องประกายเจิดจ้าอย่างน่าอิจฉา วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีชมพูยาวเพียงเข่า เพราะไม่ค่อยมีเวลาไปซื้อชุดจึงต้องขอยืมจากน้องสาวมาใส่ก่อน ใบหน้าหวานยังคงมีแว่นตาบดบังและผมยาวก็ปล่อยสยายกลางหลัง ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปกลอสสีชมพูวาว ใบหน้าที่เคยไร้สีดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อยเพราะได้น้องสาวช่วยเพิ่มสีสันให้ทว่าก็ยังคงจืดจางเมื่อรวมกับคนหมู่มาก มือเล็กเซ็นในสมุดอวยพรบ่าวสาวแล้วหย่อนซองลงในกล่องก่อนหยิบของชำร่วยเป็นพวงกุญแจรูปหัวใจสองดวงคล้องกัน เก็บมันลงกระเป๋าทันทีแล้วก้าวเข้าไปภายในงานพยายามสูดลมหายใจเรียกกำลังให้ตนแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเห็นคู่บ่าวสาวยืนอยู่หน้าแบ๊กดร็อปในจังหวะที่เจ้าบ่าวช่วยเช็ดเหงื่อให้เจ้าสาวด้วยความอ่อนโยน หัวใจสั่นไหวจนอยากจะหันหลังออก
ตอนพิเศษหมอตฤณกับต้นหนาว นาฬิกาบ่งบอกเวลาตีสามทว่าชายหนุ่มที่อยู่ภายในผับยังคงนั่งดื่มเหล้าราวเป็นน้ำเปล่าไม่รู้สึกระคายคอสักนิด พนักงานหันมองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจนกระทั่งผู้จัดการเดินไปแจ้งลูกค้าหน้าใหม่ให้รู้ว่าร้านปิดแล้วเขาจึงวางเงินเอาไว้พร้อมเดินเซออกไปทางประตู “รถอยู่ไหน” ร่างสูงพยายามเพ่งมองรถยนต์ของตนเอง หลับตาลืมตาอยู่หลายครั้งเพราะดูอย่างไรก็มองอะไรไม่ชัดสักอย่าง แถมรู้สึกเหมือนศีรษะเอนไปเอียงมาพยายามทำให้หัวตั้งตรงด้วยการเอนไปทางด้านขวาก่อนจะพบว่าไม่ตรงเลยสักนิด เขาจึงลองเอนหัวมาทางด้านซ้ายแทน ก็ไม่ตรงอีกถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรดีถึงจะมองตรงได้ คุณหมอหนุ่มตัดสินใจล้มตัวลงนอนบนพื้นเพราะทนความหนักของศีรษะไม่ไหว “อ่า ตรงแล้ว” ใบหน้าคมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกพะอืดพะอมจนต้องรีบลุกขึ้นนั่งแล้วโก่งคออาเจียนเต็มที่โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าลานจอดรถของผับที่ตนเองมาตั้งแต่สามทุ่ม เมื่อรู้สึกโล่งจึงล้มตัวนอนที่เดิมมือหนาคว้าสะเปะสะปะก่อนจะสัมผัสได้ถึงขนนุ่มนิ่มก็คว้าเข้าไปกอดคลายหนาวทันที ไม่รู้ส
ตอนพิเศษ...รักเธอได้ยินไหมเด็กหญิงหุ่นอวบเดินเข้ามาภายในโรงเรียนด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ เธอรวบรวมกำลังใจเพื่อที่วันนี้จะได้ทำภารกิจอันสำคัญอากาศยามเช้าแสนจะสดใสราวทุกอย่างเปิดสว่างให้กับความรักของเธอ ณชารู้จักความรักครั้งแรกคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ขนม’ เธอหลงรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแต่ก็มักจะโดนเพื่อนล้อว่าตัวอ้วน กินแต่ของหวานฟันผุ กระทั่งได้รู้จัก ‘พี่ทัพ’ ผู้ชายที่ทำให้คำว่ารักของเธอเปลี่ยนไป‘อร่อยก็กินสิ เดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อน’จากที่เคยคิดจะลดของหวานณชาก็ยิ้มร่าหยิบเค้กชิ้นโตขึ้นมากินอย่างมีความสุข ผู้ชายตรงหน้าเธอมีหุ่นที่ไม่ต่างกันมากนัก แววตาของเขาทอประกายความสุขและนั่นเองทำให้เด็กหญิงที่ไม่ประสาเรื่องความรักหัวใจเต้นแรงจนต้องเดินไปถามมารดา“แม่ขา ป้อนหัวใจเต้นเร็วมากเลย แม่จับดู ป้อนจะตายไหมคะ” จับมือคุณแม่มาไว้ที่หัวใจเพื่อรับรู้อัตราการเต้นคุณศลิษาหัวเราะบุตรสาวก่อนจะลูบศีรษะน้อยๆ“ไม่ตายหรอกค่ะ อาการแบบนี้เขาเรียกว่าตกหลุมรัก”ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้สบตากับพี่กองทัพเสมอและเมื่อโตขึ้นเธอจึงได้เข้าใจคำว่าตกหลุมรักที่คุณแม่บอกเด็กหญิงชวนพี่ชาย
ตอนพิเศษ...เมื่ออดีตมือหนาเลื่อนขึ้นไปปิดน้ำที่ไหลรดกายก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวพันบริเวณเอวไม่ลืมหยิบผ้าขนหนูพื้นเล็กเช็ดศีรษะที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ใบหน้าคมเข้มหล่อเกินวัยทำเอาสาวหลายคนใจละลายมานักต่อนัก ดวงตาเรียวยาวเพียงแค่ปรายตามองก็พานให้หัวใจสั่นไหว จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเรียวราวอิสตรีเพียงเท่านี้ก็ทำให้กองทัพ วิจิตรประภากลายเป็นหนุ่มหล่อที่ถูกกล่าวขานไปทั่วมหาวิทยาลัย“อื้อ ทัพ ตื่นเร็วจัง” สาวสวยหุ่นเพรียวลุกขึ้นจากที่นอนคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับปกปิดร่างกายของตนเองจากสายตาคมกริบที่ทำให้หัวใจสั่นไหวทุกครั้งที่มอง“ผมมีเรียนเช้า คุณนอนต่อเถอะ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามากอดเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตปลายคางอย่างน่ารักจนอดใจไม่ไหวต้องคว้ามากอด เธอน่ารักขี้อ้อนจนเขายอมทำทุกอย่างขอแค่ได้มาครอบครอง ยอมแม้กระทั่ง..เป็นชู้..“อือ ตอนเย็นเจอกันนะคะ” ใบหน้าหวานยิ้มจนตาเป็นสระอิ ความน่ารักนี้ที่เขาหลงใหล รอยยิ้มแสนหวานที่มักมอบให้ ชอบเหลือเกิน ชอบจนไม่อาจจะตัดใจได้ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนของเพื่อนสนิท เพื่อนที่เป็นทั้งญาติไม่อาจจะตัดกันขาด“เดี๋ยวเราจะทำของที่ทัพอยากกินไว้รอ” เธอเดินมาส่งเขาท