LOGIN“เธอจะมาคาดคั้นเอาอะไรจากฉัน เธอเสียแค่พ่อ แต่ฉันเสียทั้งพ่อและแม่ ฉันไม่เหลือทั้งพ่อและแม่เธอได้ยินไหม ได้ยินไหมว่าฉันไม่เหลือใคร” คิริมาผลักอกอีกฝ่ายคืน แล้วสวนกลับอย่างเหลืออด เจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ไม่หรอกเธอจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นน้ำตา การแสดงความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะแม่ของเธอ ถ้าแม่ของเธอไม่บ้าสติแตกเพราะความหึงหวงแม่กับฉันก็คงไม่ต้องเสียพ่อไป” คนที่ถูกแม่ฝังหัวให้เกลียดเมียหลวงและลูกมาตั้งแต่เล็กจนโตยังคงไม่เลิกราวีง่ายๆ และการปรักปรำว่าทุกอย่างเป็นความผิดของแม่เธอแต่เพียงผู้เดียวก็ทำให้คิริมาโกรธจนตัวสั่น
“ถ้าเธอไม่รู้อะไรก็อย่าพูด และอย่าบังอาจมาใส่ร้ายแม่ฉัน!” คิริมากดเสียงต่ำตอบโต้ ตบท้ายด้วยการเอ่ยเป็นเชิงปกป้องแม่ของตนในท้ายประโยค
“ฉันจะใส่ร้ายจะทำไม แม่เธอมันชั่ว! แม่เธอมันเลว! ได้ยินไหม!”
แทนที่จะกริ่งเกรงพิริยากลับเอื้อมมือมากระชากไหล่ของคิริมา แล้วเขย่าแรงๆ พร้อมตะโกนใส่หน้าปาวๆ และกำลังจะทำร้ายคิริมาด้วยฤทธิ์ของโทสะหากว่าเสียงกระด้างของใครบางคนไม่ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“หยุดนะ!”
“อย่ามายุ่ง!” พิริยาซึ่งอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดเต็มที่ไม่สนแม้กระทั่งจะหันไปมองผู้ที่ส่งเสียงมาห้ามปรามแต่อย่างใด เธอจ้องหน้าคิริมาอย่างชิงชัง แล้วคาดคั้นเสียงแข็งๆ
“ตอบมาว่าทำไมแม่เธอต้องฆ่าพ่อฉัน…ทำไม!”
“ฉันบอกให้หุบปากยังไงล่ะ! ยัยหมาบ้า!” คราวนี้คนที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาชวนหดหู่มาตั้งแต่ต้นถึงกับตะคอกลั่น ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปยังจุดที่สองสาวยืนอยู่
“เมศอย่ามายุ่ง” ครั้นเห็นว่าเป็นใครพิริยาก็เค้นเสียงแข็งๆ ใส่
“ฉันจะยุ่งโว้ย! และถ้าเธอยังไม่หยุดทำร้ายพี่สาวคนนี้ฉันชกเธอแน่” นอกจากจะไม่สนน้ำคำของคนที่ทำตัวไร้สติจนน่าโมโห เขายังลอยหน้าประกาศด้วยท่าทางขึงขัง
“ชก?”
“เออ! ถ้าเธอยังไม่หยุดระรานคนอื่นเหมือนหมาบ้าอยู่แบบนี้ ฉันจะชกให้หน้าแหก ดั้งหัก จมูกแหว่ง ปากเบี้ยว จนหมอศัลยกรรมทำหน้าใหม่ให้เธอไม่ได้…ไม่เชื่อก็ลองดู!”
เจ้าของน้ำเสียงกระด้างเจือดุดันเอ่ยข่มขู่อย่างฉะฉาน และท่าทางเอาเรื่องก็ทำให้พิริยาหันขวับไปจ้องหน้าหล่อๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อในวาจาที่อีกฝ่ายพ่นออกมา
“นี่เมศกล้าปกป้องคนอื่นต่อหน้าคู่หมั้นตัวเองอย่างนั้นเหรอ” พิริยาสวนกลับด้วยความคับข้องใจเหลือแสน การที่ผู้ชายที่ตนหลงรักเห็นลูกของพ่ออีกคนดีกว่าทำให้เธอแทบคลั่ง
คนฟังแค่นยิ้มกับน้ำคำที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย เอาจริงๆ พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้รู้จักกับครอบครัวของพิริยาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอ หรือแม่ของเธอ แต่อีกฝ่ายดันหน้าด้านมาทึกทักเรื่องคู่หมั้นบ้าบอ เพราะป้าของเขาสนิทสนมกับแม่ของพิริยา แถมยังเอ็นดูเธอมากจนถึงขั้นจะให้หมั้นหมายกับหลานชายอย่างเขา
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พ่อ แม่ และเขา ทำเป็นหูทวนลมเสมอมา เพราะเคยถูกมัดมือชกทั้งครอบครัวให้ไปกินข้าวกับแม่ของพิริยาครั้งหนึ่ง และพ่อกับแม่ของเขาก็ต่างลงความเห็นว่าแม่ของพิริยาไม่ธรรมดา เข้าทางป้าเขาแบบมีจุดประสงค์แอบแฝง ฉะนั้นแม่ของเขาจึงเอ่ยปฏิเสธไปตรงๆ ว่ายังไม่คิดจะให้ลูกชายหมั้นหมายกับใครทั้งสิ้น ทว่าหลังจากนั้นแทนที่จะหยุดป้าของเขากลับพยายามส่งเสริมให้พิริยาเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาจนน่ารำคาญ ผู้หญิงสมองกลวงชอบระรานคนอื่นไปทั่วแบบนั้นใครจะไปเอา แค่คุยด้วยยังไม่อยากคุยเลย
“หึ…พูดผิดพูดใหม่ได้นะพิริยา เธอมันก็เป็นได้แค่ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ เท่านั้นแหละ เพราะฉันไม่มีวันหมั้นกับผู้หญิงร้ายกาจสมองกลวงอย่างเธอ”
ปรเมศ จิรกุล หนุ่มป็อปมาดนิ่งสายซึนแต่ปากร้ายสวนกลับหน้าตาย ซึ่งการปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อขาดใยนั้นก็ทำให้คนฟังถึงกับเต้นเร่าๆ และกรีดร้องลั่น
“กรี๊ดดดดดด!”
“หุบปาก! อยู่ในวัดหัดสำรวมซะบ้าง!”
“เมศเข้าข้างมัน! เมศปกป้องมัน!”
“ก็เออสิวะ!”
“พิมมี่จะไปฟ้องคุณป้าศรีสุรางค์!”
“เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องเลยยัยขี้ฟ้อง” แทนที่จะกริ่งเกรงหนุ่มหน้านิ่งแต่แสนจะกวนประสาทก็ลอยหน้าเอ่ยท้าทาย แล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่น!” พิริยาชี้หน้าคิริมาอย่างคั่งแค้น เอ่ยเสียงแข็งๆ แล้วก้าวฉับๆ จากไป ปรเมศถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปมองคนที่ยังยืนนิ่งเหมือนช็อก
“พี่สาวโอเคไหม”
หนุ่มหน้าใสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สาบานว่าโทนเสียงแบบนี้นอกจากมารดาผู้ให้กำเนิดแล้วปรเมศไม่เคยใช้มันกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่กับสาวแว่นตรงหน้าเขากลับอยากพูดเพราะๆ ด้วย อยากทำความรู้จัก มากกว่านั้นคือแค่เห็นแววตาเศร้าๆ เขาก็นึกอยากจะปลอบโยนและปกป้องอย่างน่าประหลาด อยากจะถามอีกฝ่ายใจแทบขาดว่าไปอยู่ด้วยกันไหม เธอตัวคนเดียวไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ส่วนเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะมีพี่สาวเหลือเกิน ถ้าได้พี่สาวแบบอีกฝ่ายเขาจะคอยดูแลและปกป้องอย่างดีที่สุด
“เอ่อ…ฉันโอเค ขอบใจนายมากนะ” คิริมาเอ่ยเสียงสะท้าน พยายามที่จะแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็งไม่เป็นไร แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลพรากออกมาเสียดื้อๆ ปกติเธอจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า แต่กับเด็กผู้ชายที่ถามไถ่ด้วยความอาทรจากที่สัมผัสได้กลับทำให้คิริมาไร้การควบคุม แววตาซึ่งฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยคู่นั้นมันทำให้เธอรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจอย่างน่าประหลาด
“โอเคอะไร ถึงน้ำตาไหลแบบนี้หือ…” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงมาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางทะนุถนอม ซึ่งการถูกเอาใจใส่เล็กๆ จากคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนั้นก็ทำให้คิริมาตัวแข็งทื่อ หัวใจที่แห้งแล้งเพราะปราศจากความสุขพลันอุ่นซ่านอย่างน่าอัศจรรย์
แล้วชั่วเสี้ยวนาทีคนไร้ญาติขาดมิตรอย่างแท้จริงเช่นคิริมาก็ถึงกับปล่อยโฮเสียงดังสนั่นอย่างสุดกลั้นเมื่ออีกฝ่ายดึงมือไปกุมไว้ แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แทนที่จะหยุดร้องไห้ ทำนบน้ำตาเจ้ากรรมกลับพังทลายลงมาราวกับเขื่อนแตก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอระเบิดอารมณ์ซึ่งอัดแน่นอยู่ในอกออกมาสุดขีด
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







