LOGIN“ลุงทนาย” น้ำเสียงสั่นเครือบวกกับนัยน์ตาแดงๆ ที่คลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ทำให้ผู้ที่มาทันได้ยินเสียงซุบซิบของเด็กนักเรียนหญิงมัธยมปลายที่นั่งห่างออกไปแค่สองโต๊ะรู้สึกเวทนาคนที่ขาดทั้งพ่อและแม่แบบกะทันหัน ก่อนจะก้มลงส่งสายตาให้กำลังใจ แล้วเอ่ยชักชวนเบาๆ
“กลับบ้านกันเถอะลูก…ลุงมารับ”
คิริมาพยักหน้าอย่างเศร้าๆ แล้วลุกขึ้นด้วยท่าทางเนือยๆ ก่อนจะเดินตามหลังทนายความประจำตระกูลไป ไม่นานทั้งคู่ก็มานั่งข้างๆ กันในรถตู้
“หนูมีอะไรอยากจะเล่าให้ลุงฟังไหมลูก”
หลังจากเอ่ยบอกให้คนขับรถออกรถ ทนายวิชิตก็หันมาหาคนที่เอาแต่นั่งบีบมือตัวเองและก้มหน้าไม่พูดไม่จา ท่าทางแบบนี้ทำให้คนที่รับใช้ตระกูลรุ่งเรืองโรจนไพศาลมาอย่างยาวนานรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมา
“ไม่มีค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไร…หนูโอเค” สาวน้อยปฏิเสธเสียงสะท้านพร้อมส่ายหน้าจนผมกระจาย ทว่ากลับไม่ยอมเงยขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
“ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็พูดให้ลุงฟังได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว ถึงหนูจะไม่มีพ่อกับแม่แต่หนูก็ยังมีลุงอยู่นะลูก ถึงแม้หนูจะไม่ยอมไปอยู่ที่บ้านลุง แต่อย่างน้อยหากหนูมีเรื่องไม่สบายใจขอให้นึกถึงลุง หากอยากระบายอะไรก็ขอให้นึกถึงลุง ลุงสัญญาว่าจะเป็นผู้รับฟังที่ดี”
วาจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและหวังดีทำให้คิริมาเงยหน้าขึ้น แล้วมองอีกฝ่ายเหมือนเด็กหลงทาง พอนายวิชิตวางมือลงบนศีรษะนุ่มสลวยเท่านั้นแหละความอดทนอดกลั้นก็พังทลายลงในชั่วพริบตา
“หนูผิดมากเหรอคะ ที่ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น” เธอเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น หยาดน้ำใสๆ หยดแหมะลงมาจากหางตาคนที่ใครต่อใครต่างพากันตราหน้าว่าเย็นชาไร้ความรู้สึก
“หนูไม่ผิดหรอกลูก ไม่ผิดเลยสักนิด เพราะหนูไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของพ่อและแม่ พ่อกับแม่ของหนูเลือกจุดจบของชีวิตด้วยตัวของพวกเขาเอง” นายวิชิตเอ่ยปลอบประโลม โดยยกเอาความจริงขึ้นมาประกอบเป็นเหตุและผล ขณะลูบศีรษะน้อยของคนที่กำลังปล่อยโฮออกมาแบบสุดกลั้น
ที่สุดคิริมาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่เธอนับถือประหนึ่งญาติ เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเป็นทนายความประจำตระกูลแล้วยังเป็นเพื่อนรักของผู้เป็นบิดา จากนั้นเธอก็ร้องไห้ปานปิ่มจะขาดใจ โดยมีนายวิชิตลูบหลังปลอบประโลมเบาๆ จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรเธอถึงได้ผละห่างจากอีกฝ่าย
“เอ่อ…ลุงทนายคะ หนูอยากย้ายโรงเรียนได้ไหมคะ” หลังจากกลั้นก้อนสะอื้น คิริมาก็ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มแดงก่ำ แล้วเอ่ยเสียงเครือ
“ลุงว่าทนเรียนที่นี่อีกเทอมดีไหม เพราะถ้าย้ายไปกลางเทอมแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่” นายวิชิตเอ่ยเป็นเชิงให้อีกฝ่ายได้คิดไตร่ตรอง ใจจริงก็อยากจะให้คิริมาย้ายโรงเรียนตั้งแต่วันนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่การย้ายโรงเรียนแบบกะทันหันย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนไม่มากก็น้อย
“งั้นขึ้น ม.5 หนูจะย้ายไปกรุณาสตรีวิทยานะคะ” หลังจากนั่งนิ่งใช้สมองน้อยๆ ทว่าฉลาดเป็นกรดคิดทบทวนอย่างรอบคอบอยู่พักใหญ่ คิริมาก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถึงโรงเรียนที่ตัวเองต้องการจะย้ายไปเรียนในปีการศึกษาหน้า
“ลุงว่าย้ายไปเซ็นต์มารีอาคอนแวนต์ดีกว่า ที่นั่นอาจารย์สายวิทย์มีแต่ขั้นเทพกันทั้งนั้น ครีมอยากเรียนวิศวอากาศยานไม่ใช่เหรอลูก”
“ค่ะ”
“งั้นที่นั่นล่ะเหมาะสุด”
“ค่ะ” ที่สุดคิริมาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สาเหตุที่อยากย้ายโรงเรียนก็เพราะเธอทนเสียงซุบซิบนินทาไม่ไหว ใครจะว่าหนีปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงก็ช่าง แต่จะเอาอะไรกับเด็กอายุสิบหกอย่างเธอ ที่ยังสามารถทนยืนหยัดใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยไม่คิดสั้นตามพ่อกับแม่ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว เธอก็แค่อยากไปอยู่ในที่ที่คิดว่าจะสบายใจขึ้น
ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปนานแค่ไหนการตายของพ่อกับแม่ก็ยังคงเป็นบาดแผลที่หยั่งรากฝังลึกในใจ พ่อกับแม่ไปสบาย แล้วเธอล่ะ คิริมาก้มลงมองตัวเองอย่างเศร้าใจ ไม่เป็นไรหรอก เธอโตแล้ว อายุตั้งสิบหก เธออยู่คนเดียวได้ หลอกตัวเองให้เข้มแข็งแต่กลับน้ำตาทะลักออกมาอีกครา
นี่ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เธอฝันเอาไว้ ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
วันหยุดเสาร์อาทิตย์คิริมาจะหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่กับพ่อทุกสัปดาห์ วันนี้สาวน้อยตื่นแต่เช้ามาทำอาหารที่พ่อกับแม่ชอบ แล้วมาทำบุญที่วัดเพียงลำพัง หลังก้าวลงจากศาลาร่างบางก็เดินไปปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาด ก่อนจะสาวเท้าไปยังเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ซึ่งตั้งอยู่ข้างกัน แค่เห็นรูปที่ติดอยู่สาวน้อยก็ยื่นมือสั่นเทาไปลูบไล้แผ่วเบา แล้วสะอื้นฮักน้ำตาไหลทะลัก ความคิดถึงและโหยหาอัดแน่นไปทั้งหัวใจ
“ทำไมพ่อกับแม่ต้องทิ้งครีมไปด้วยคะ…ครีมผิดอะไร” สาวน้อยตัดพ้อทั้งน้ำตา แล้วยกลำแขนเสลาขึ้นกอดตัวเองเอาไว้ด้วยความอ้างว้างสุดหัวใจ
“แล้วทำไมต้องทำร้ายกันด้วยคะ ทำไมถึงไม่รักกันเหมือนตอนที่ครีมเป็นเด็กๆ ทำไมพ่อต้องนอกใจแม่ไปมีคนอื่น” เธอรำพันอย่างเจ็บปวด แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้น
“ก็เพราะแม่ของเธอไม่ได้เรื่องเอาแต่บ้างานยังไงล่ะ พ่อถึงต้องหนีไปหาแม่ฉัน แม่ของเธอมันแย่ อยากตายก็ตายไปคนเดียวสิ ทำไมต้องลากพ่อฉันไปตายด้วย”
สิ้นน้ำคำร้ายๆ ทำลายหัวใจคนที่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปก็ค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ คำว่า ‘พ่อ’ ของเด็กนั่นทำให้เธอแทบช็อก เพราะหยุดคิดเพียงนิดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือลูกของพ่ออีกคน อีกฝ่ายคือลูกของเมียน้อยของพ่อ และที่น่าเศร้าและเจ็บปวดหัวใจเหลือแสนคืออีกฝ่ายเป็นคนที่แย่งความรักของพ่อไปจากเธอ แม้แต่พินัยกรรมในส่วนของพ่อยังยกทรัพย์สินให้ลูกเมียน้อยกับเธอคนละครึ่ง แต่ถึงกระนั้นความรักที่คิริมามีต่อพ่อก็ไม่เคยจืดจาง
“ว่าไง…ทำไมแม่เธอถึงได้ร้ายกาจนัก มีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อไปจากฉัน”
เสียงแข็งกร้าวชวนหาเรื่องทำให้คิริมาได้สติ ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายผลักอกแรงๆ จนเซไปข้างหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นร่างบางก็สะดุ้งน้อยๆ เมื่อโดนกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ข่วนขา แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงดูขาตัวเองที่รู้สึกแสบจี๊ดๆ อีกฝ่ายก็เดินเข้าหา แล้วตะโกนใส่หน้าด้วยท่าทางคั่งแค้น
“แม่เธอมีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อไปจากฉันกับแม่!”
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







