LOGINตอน ม.5 เทอม 1
ขึ้นปีการศึกษาใหม่คิริมาก็ได้ย้ายโรงเรียนสมใจ โรงเรียนใหม่และสังคมใหม่ทำให้คนที่เพิ่งย้ายมาต้องปรับตัวพอสมควร หากแต่ไม่ยากเกินความสามารถ จะแย่หน่อยก็ตรงที่เธอไม่มีเพื่อนเท่าไร ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับเธอ ด้วยความที่เธอเป็นคนพูดน้อยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหา จะมีก็แต่ตุ๊ดยักษ์ประจำห้องอย่างศุภชัยหรือเอวาที่เดินเข้ามาพูดคุยกับเธอ คอยช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในระยะเวลาเพียงไม่นาน และอีกฝ่ายก็ทำให้คิริมารู้ว่าโลกนี้ไม่โหดร้ายจนเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีชายใจหญิงอย่างศุภชัยคอยอยู่เคียงข้างในวันที่เธอไม่เหลือใคร คอยปลอบใจในวันที่เธออ่อนแอจนมีน้ำตา
ทุกอย่างมันกำลังจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว หากว่าในช่วงพักเที่ยงของวันหนึ่งจะไม่มีใครคนบางคนเดินเข้ามาผลักอกเธอในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำ พอเงยหน้าขึ้นก็ปรากฏว่าเป็นพิริยา ยังไม่ทันจะได้จับต้นชนปลายอีกฝ่ายก็ชี้หน้าด่าเธอเสียงดังลั่น ว่าแม่ของเธอทำให้พ่อของอีกฝ่ายตาย ทำเอานักเรียนใหม่ที่คิดว่าจะย้ายมาเจอสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมถึงกับแทบปล่อยโฮออกมา เสียงตะโกนด่าทอของพิริยาทำให้เด็กนักเรียนต่างพากันเดินมามุงดู บ้างซุบซิบ บ้างมองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาด บ้างส่งสายตารังเกียจมาให้
ด้วยความที่ลูกของพ่ออีกคนอย่างพิริยาเป็นสาวป็อปประจำโรงเรียนทำให้ทุกคนต่างให้ความสนใจ บางคนตัดสินว่าแม่ของเธอผิดก็ถึงกับด่ากราด และพากันรุมประณามต่างๆ นานา ซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นล้วนกระแทกใจคนที่ยังเจ็บปวดกับการสูญเสียอันแสนสะเทือนใจไม่สร่างซา ทั้งที่การตายของพ่อกับแม่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเธอ และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ทุกคนก็มองเธออย่างรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้
เธออยากจะบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง บอกตัวเองให้กล้าที่จะตะโกนใส่หน้าทุกคนว่าอย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ แค่พ่อกับแม่เธอจากไปในเวลาเดียวกันมันก็เจ็บปวดและหนักหนาสาหัสมากพอแล้ว ทำไมทุกคนต้องเอาเรื่องการตายของพวกท่านมาซ้ำเติมให้แผลในใจเธอกลัดหนองไปมากกว่าเดิม ทำไมทุกคนถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก อยากจะไล่ตะเพิดทุกคนไปให้ไกลๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด เพราะการถูกรุมพร้อมกันหลายๆ คนทำให้คิริมายืนนิ่งเหมือนช็อกและหาทางออกไม่เจอ ริมฝีปากสั่นระริกเม้มเข้าหากัน มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดจนเส้นเลือดบริเวณหลังมือปูดโปน น้ำตาคลอเบ้า ส่วนหูก็ได้ยินเสียงประณามอันเลวร้ายไม่หยุดหย่อน
“แม่ของยัยนั่นเป็นคนประเภทไหนถึงได้ฆ่าพ่อของพิมมี่ ตัวเองแย่งพ่อไปจากแม่พิมมี่ แล้วฆ่าเขาตายเนี่ยนะ คนอะไรประสาทจริงๆ ตายคนเดียวไม่พอยังลากคนอื่นไปตายด้วย”
“ก็คงเลือดเย็นทั้งแม่และลูกนั่นแหละ เพราะยัยจืดนั่นก็อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ร้องไห้ซักแอะ”
“เห็นคนแทงกันตายต่อหน้าต่อตาแล้วไม่รู้สึกอะไรเนี่ยนะ คนอะไรเลือดเย็นจนน่าขนลุก”
“นั่นสิ ไม่รู้ที่ย้ายมาเนี่ยเพราะนางไปแทงใครตายมาหรือเปล่า”
“ทางที่ดีอย่าไปเข้าใกล้เลยคนแบบนั้น”
น้ำคำบาดหัวใจยังคงดังอื้ออึงอยู่ในหู หัวใจดวงน้อยถูกรุมกระหน่ำซ้ำเติมจากคนที่ตัดสินคนอื่นแค่ภายนอกทั้งที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย คำพูดทำนองว่าแม่ของเธอคือคนที่แย่งพ่อมาจากแม่ของพิริยา ทั้งที่แม่ของเธอคือเมียหลวง ส่วนแม่ของพิริยาคือเมียน้อย คือคนที่เข้ามาแทรกกลางทำให้ครอบครัวเธอร้าวฉาน
ซึ่งถ้อยคำประณามแม่ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริงนั้นก็ทำให้คิริมาเกือบทนไม่ไหวเพราะรับไม่ได้ แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดเอาไว้ อยากจะหนีไปจากตรงนั้นแต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออก เธอคิดผิดอย่างมหันต์ที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ปัญหาเดิมตามมาหลอกหลอนทำให้คิริมายืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อมของพิริยากับเพื่อน และเธอคงจะโดนอีกฝ่ายเล่นงานจนเผลอแสดงความอ่อนแอออกมา หากเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่ใครต่อใครต่างเรียกว่าอีตุ๊ดยักษ์ไม่เดินฝ่าวงล้อมเข้ามาปกป้อง และด่ากราดจนทุกคนแตกกระเจิง
ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็รู้ซึ้งว่าการย้ายโรงเรียนไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด เรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้ากลายเป็นประเด็นซุบซิบนินทาไปทั่วทั้งโรงเรียน และนั่นก็ทำให้สังคมของเธอแคบลงเรื่อยๆ จนน่าใจหาย แค่พ่อกับแม่ของเธอฆ่ากันตายต่อหน้าสังคมก็ไม่มีที่ยืนสำหรับผู้สูญเสียเช่นเธออย่างนั้นหรือ แค่เธอไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้ใครเห็นทุกคนก็ตัดสินว่าเธอเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ เธอทำผิดอะไร หรือว่าเธอควรตายๆ ไปเสียดีไหม นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่จิตใต้สำนึกส่วนดีจะคอยย้ำเตือนว่า เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตเธอยังคงต้องก้าวต่อไป ถึงแม้ไร้พ่อและแม่เธอก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
ทุกครั้งที่โดนพิริยาตามก่อกวนคิริมาจะพยายามนิ่งเฉย ทำเป็นหูทวนลม หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะตอบโต้ไปบ้างด้วยคำพูดในแบบผู้ใหญ่เกินตัว เธอไม่นิยมใช้ความรุนแรงหรือตบตีในแบบที่นักเรียนหญิงชอบทำกัน เพราะไม่อยากมีปัญหาจนถูกฝ่ายปกครองเรียกไปพบ อีกทั้งไม่อยากถูกอาจารย์เพ่งเล็งว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท เลยเลือกที่จะเงียบเข้าไว้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจและนึกหมั่นไส้ที่เธอทำเหมือนคนไร้ความรู้สึก จึงตามราวีไม่เลิก และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันแห่งความซวยของเธอเพราะศุภชัยดันลาป่วยเสียนี่
อยู่ๆ หัวหน้าห้องและเพื่อนซี้ก็เดินมานั่งลงที่ม้านั่งในฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ คิริมาทำเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะสองสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่เคยพูดกับเธอตั้งแต่เธอย้ายมาเรียนที่นี่ ก่อนจะเริ่มรู้ถึงจุดประสงค์ของการมาของทั้งคู่ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบขี้หน้าเธอหันไปมองตากัน แล้วยิ้มตรงมุมปาก ก่อนที่เธอจะนิ่งงันในเสี้ยววินาทีที่หัวหน้าห้องเอ่ยน้ำคำอันแสนกระแทกใจออกมา
“นี่ครีม วันแม่ที่จะถึงแม่เธอจะมาหรือเปล่า”
“เอ่อ…” ยังไม่ทันที่คนโดนสะกิดแผลใจจะได้ขยับริมฝีปากหนักอึ้งตอบโต้ เสียงแหลมเล็กฟังดูน่ารำคาญของผู้ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหลังก็ดังแทรกขึ้น
“ใบเตยลืมไปเเล้วหรือไง ว่ายัยเนี่ยไม่มีแม่” ผู้มาใหม่ซึ่งเป็นคนเคยสอบได้คะแนนสูงสุดของห้องแต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่คิริมาในกลางภาคจ้องใบหน้าซีดเซียวอย่างเยาะหยัน
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







