LOGIN“นั่นสิ ฉันลืมไปเลย ว่าเธอไม่มีแม่นี่นา” คนที่ตั้งใจเข้ามาหาเรื่องก่อกวนนักเรียนใหม่ของห้องกอดอกสาดน้ำคำแทงใจดำคนฟัง แล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจเมื่อเห็นเธอตาแดงๆ
“ฉันมีแม่!” คิริมาเชิดหน้าตอบโต้เสียงแข็งๆ ทั้งที่น้ำตาเจียนจะหยดแหมะอยู่รอมร่อ พยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้ใจ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ถึงแม้แม่จะจากไปเกือบจะครบหนึ่งปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแต่เธอก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ท่านไม่เสื่อมคลาย เธอยังคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของแม่ คนมีแม่ไม่เข้าใจหรอกว่าในวันแม่คนที่ขาดแม่มันรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวดหัวใจมากแค่ไหน
“เธอไม่มีแม่!”
“ฉันมีแม่! ฉันมีแม่พวกเธอได้ยินไหม!”
“เธอไม่มีแม่! แม่เธอตายแล้ว! ยัยเด็กไม่มีแม่!”
สามสาวประสานเสียงตะโกนใส่หน้าคนที่ตกเป็นแกะดำของโรงเรียน คิริมาทำเพียงกำหมัดแน่นๆ เม้มริมฝีปากสั่นระริกเข้าหากันอย่างพยายามจะข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไปแบบไร้ทิศทาง ที่สุดเธอก็มาหยุดลงที่ดาดฟ้า สถานที่ต้องห้ามสำหรับเด็กนักเรียนทุกคนแต่ไม่รู้ว่าใครมาแอบเปิดประตูค้างเอาไว้ ร่างบอบบางทว่าสั่นเทาเดินไปนั่งลงที่ข้างผนังดาดฟ้าอย่างหมดแรง ทันใดนั้นความเจ็บปวดเสียใจที่กักเก็บไว้ก็พลันพรั่งพรูออกมาเป็นหยาดน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังลั่น
“ฮึก...ฮือ...ฉันมีแม่…ฉันมีแม่…ฮือ…”
เสียงร้องไห้ที่แว่วเข้าหูทำให้คนที่นอนหนุนแขนเหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะคิดว่าที่ได้ยินนั้นคือเสียงผี ทว่าครั้นลุกขึ้นแล้วเห็นใครบางคนนั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้อยู่อีกมุมหนึ่งของกำแพงดาดฟ้า เขาก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความรำคาญปนหงุดหงิดงุ่นง่าน
บัดซบ! เขาเกลียดเสียงร้องไห้ และไม่ชอบน้ำตาผู้หญิง
อุตส่าห์หนีขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจในคาบเรียนที่อาจารย์ไม่เข้าสอนแต่ยังมิวายมีคนมาทำให้ความสงบสุขของเขาพังทลาย ครั้นเสียงร้องไห้บาดหูยังไม่หยุดหย่อน คนที่ถูกรบกวนเวลานอนในตอนบ่ายก็กลอกตาขึ้นฟ้า นับหนึ่งจนถึงสิบในใจแล้วปรากฏว่าอีกฝ่ายยังไม่หยุดปล่อยโฮเขาจึงหมดสิ้นความอดทน
“หยุดแหกปาก! แล้วไสหัวไปซะ!”
เจ้าถิ่นตวาดกร้าวไล่ตะเพิด แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยังตกอยู่ในห้วงความเศร้าเสียใจอย่างแสนสาหัสจะไม่สนอะไรทั้งสิ้น แถมยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“โว้ย! บอกให้หุบปากไงวะ!”
คราวนี้น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเจ้าอารมณ์ตวาดลั่นทำเอาคนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้เป็นเผาเต่าชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะสะอื้นฮัก แล้วปล่อยโฮออกมาอีกครา
“ฮึก…ฮือ…ไม่ต้องมาห้าม…คนเสียใจก็ต้องร้องไห้สิ…ฮือ…”
“จะไม่หยุดใช่ไหม”
“ฮือ…”
คำตอบที่ได้รับคือเสียงร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ได้…”
ทันใดนั้นหนุ่มหล่อจอมเย็นชาแต่ป็อปสุดๆ ของโรงเรียนก็จัดการถอดถุงเท้าของตัวเองออกหนึ่งข้าง มัดเป็นก้อนกลมๆ แล้วปาใส่หัวคนที่กำลังนั่งซบหน้าลงกับเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจตาย
ตุ้บ!
“แหกปากร้องไห้อยู่ได้! คนจะนอน…รำคาญ!”
“รำคาญก็ปิดหูสิ”
หลังจากคลำหัวตัวเองป้อยๆ แล้วมองถุงเท้าที่ตกกระเด็นห่างออกไปเล็กน้อย คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโมโหแทน
นี่เล่นเอาถุงเท้าปาหัวกันเลยเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ!
“อ้าว...ยัยนี่วอนโดนดีว่ะ”
ขาดคำเจ้าของถุงเท้าปริศนาก็ผุดลุกขึ้น แล้วเดินลากขายกไหล่ด้วยท่าทางกร่างๆ ไปหาคนที่เอาแต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาอย่างเอาเรื่อง
“เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ”
เสียงเข้มๆ ของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ทำให้คิริมาเม้มปากแน่น แทนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบโต้เธอกลับต่อต้านด้วยการเลือกที่จะก้มหน้าปิดปากเงียบ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
“ว่าไง…ซ่าหรือไงเรา”
หลังจากกลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ เขาก็ยื่นมือมาผลักไหล่มนอย่างหาเรื่อง ทำเอาร่างบางผวาเฮือก เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางตื่นๆ และนั่นก็ทำให้คนที่ได้เห็นเสี้ยวหน้าใสๆ ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
“เฮ้! ฉันว่าฉันคุ้นๆ หน้าเธอนะ…ไหนดูซิ”
ขาดคำหัวโจกของโรงเรียนก็คว้าหมับเข้าที่ปลายคางมน แล้วบิดไปมาพลางจ้องใบหน้าขาวซีด แล้วกระตุกยิ้มตรงมุมปาก นัยน์ตาเต้นระริก
“จุๆๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็ยัยแว่นปากเก่งจอมอวดดีนี่เอง”
วาจาที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้คิริมาหูผึ่ง เงยพรึ่บขึ้นมองหน้าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ ก่อนจะเบิกตากว้าง และหลุดอุทานออกมา
“นาย!”
“หึ…ได้ยินเขาพูดกันว่ามีนักเรียนใหม่ย้ายมาเรียนที่นี่เป็นเธอเองหรอกเหรอ ทำไมไม่ย้ายมาตั้งแต่ม.4 ย้ายมาทำไมตอนม.5” ถามไม่พอยังจับผมเธอเล่นอย่างหน้าตาเฉย
“เรื่องของฉัน”
หลังจากปัดมือเขาออกคิริมาก็เอ่ยตอบห้วนๆ ตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ไอ้คนที่ทำตัวเป็นนักเลงกลับกดไหล่มนให้ลงไปนั่งจุมปุกอยู่กับพื้น แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกดึงแก้มเบาๆ
“ปากดี!”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ท่าทางขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวน้อยทำให้เขานึกสนุก ครั้นเธอปัดมือเขาออกอย่างรำคาญ เขาก็เปลี่ยนมาดึงแก้มใสๆ อีกข้าง ทำเอาคนหวงตัวมองตาวาววับ
“จะแตะมีไรมะ”
“ไม่ให้แตะ”
“หวงตัวซะด้วยแฮะ”
“อย่ามาถูกตัวฉันนะ! ไอ้เด็กบ้า!”
คิริมาตะเบ็งเสียงด่าทออย่างหมดสิ้นความอดทน คำว่าเด็กบวกกับท่าทางคล้ายรำคาญเสียเต็มประดาทำให้เขาถึงกับของขึ้น เท้าสะเอวสวนกลับเสียงขุ่น
“ยัยแว่น! เกิดก่อนฉันแค่ปีเดียวอย่ามาทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนักเลย”
“ก็นายมันเด็กจริงๆ นี่นา ไอ้เด็กไม่รู้จักโต”
“นี่เธอกล้าหือกับฉันเหรอยัยจืด!”
น้ำเสียงดุกระด้างถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง ทว่านอกจากจะไม่ปริปากตอบโต้แล้ว คิริมายังจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาวาวโรจน์ ท่าทางขลาดกลัวแต่ก็ยังเผยอเชิดหน้าสู้ไม่ถอยทำให้เขานึกอยากเอาชนะขึ้นมาครามครัน
“ว่าไง…ฉันถามทำไมไม่ตอบ”
เขาไล่บี้ด้วยท่าทางยียวน ใบหน้าเย่อหยิ่งแฝงไปด้วยความกวนประสาทอย่างร้ายกาจ ก่อนจะโก่งตัวไปข้างหน้า เท้าแขนกับขอบผนังปูนของดาดฟ้า โดยมีร่างเล็กๆ ของคนที่ถูกคุกคามนั่งอยู่ด้านล่าง เธอมองเขาอย่างหวั่นๆ ขยับขามาชันเข่าแล้วกอดมันไว้ราวกับจะเป็นหลักยึด แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมากระซิบคาดคั้น
“ฉันถาม…ก็ตอบสิวะ”
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







