อึดใจต่อมาเสียงแนะนำตัวของสาวงามนางหนึ่งกลางลานแสดงพลันดัง“หม่อมฉัน ลู่ชิง เพคะ”น้ำเสียงแว่วหวานสำเนียงหวานล้ำอย่างนั้นดึงสายตาของหลี่ลี่เหมยที่กำลังสาดความร้ายกาจเข้าใส่เฉินลี่หลินให้หันไปมองตามเสียงในทันทีเฉินลี่หลินจึงมองตามโดยสัญชาตญาณ นางเห็นเป็นสตรีงดงามท่าทางอ่อนหวานมากๆ กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานกว้างที่ใช้แสดงความสามารถตรงพิณกู่เจิงคันงามสตรีอ่อนหวานนางนี้มีใบหน้าที่งดงามมากนัก ร่างระหงของนางแลดูอรชรน่าทะนุถนอม แต่หากสังเกตดีๆ มือของนางที่ควรจะเผยเรียวนิ้วงามเสลากลับถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวเกือบทุกนิ้ว เห็นได้ชัดว่ามือของนางบาดเจ็บไม่น้อย นางกำลังจะแสดงความสามารถด้วยการดีดผิณกู่เจิงที่นับว่าบรรเลงได้ยากมากนักทั้งๆ ที่มือของนางบาดเจ็บ สตรีนามว่าลู่ชิงทำความเคารพบุคลสำคัญรายรอบด้วยความนอบน้อมงดงามก่อนจะยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างสำหรับการแสดงนางยืนด้วยมาดงามสง่า เผยฝ่ามือและเรียวนิ้วที่บาดเจ็บแบบไม่มีปิดบังนางยืนอยู่ตรงพิณกู่เจิงด้วยมาดทรงพลังอย่างมั่นใจ สายตาฉ่ำหวานของนางมองไปทางรัชทายาทฉีหย่งเหอก่อนจะคลี่ยิ้มตรึงใจส่งให้เขาในขณะที่องค์รัชทายาทฉีหย่งเหอผู้หล่อ
แต่ก่อนที่เฉินลี่หลินจะลุกขึ้นเพื่อล้มโต๊ะตรงหน้าแล้วเตรียมยกเท้าขึ้นมาหมายจะถีบปากหมู่สตรีเหล่านั้น เสียงหวานทรงอำนาจของสตรีนางหนึ่งพลันดัง“งานในคืนนี้คุณหนูเหวิน คุณหนูเสิ่น คุณหนูจวง คงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด”“...!?”สตรีสามนางที่ถูกเรียกขานด้วยนามของตระกูลถึงกับเงียบกริบ เสียงกระซิบกระซาบและเสียงหัวเราะคล้ายเยาะเย้ยจึงเงียบหายไปสตรีผู้มาใหม่เจ้าของประโยคทรงพลังเพียงหรี่ตาลงมองสตรีทั้งสามด้วยสายตาเย็นชาใบหน้าเรียบเฉย ร่างงามระหงเย้ายวนในอาภรณ์สีแดงสดลวดลายหงส์ขาวงดงามแสนวิจิตรแลดูสูงส่งแผ่อำนาจบารมีเหนือใครของนางกำลังยืนตระหง่านค้ำศีรษะของทุกคนเอาไว้ได้อย่างน่าเกรงขาม บนใบหน้างดงามเฉิดฉายมีดวงตาที่ฉายแววอสรพิษร้ายออกมาอย่างน่ากลัว ทำให้ทุกคนประหวั่นพรั่นพรึงไปหมดนางคือท่านหญิงหลี่ลี่เหมยสตรีงดงามสูงค่าใบหน้าสวยเฉี่ยวมากมายพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทนั่นเอง ท่านหญิงสูงศักดิ์ยังคงเอ่ย “ช่างน่าเสียดายที่ในรายนามของสตรีที่ต้องแสดงความสามารถเพื่อองค์ชายในค่ำคืนนี้ไม่มีรายนามของพวกเจ้าเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นข้าเพียงหวังว่าพวกเจ้าจะสนุกกับการชมความงามของผู้อื่นต่อไป ถึงแม้ว่า
บริเวณโดยรอบภายในงานเลี้ยงชมบุปผาแห่งแคว้นเป่ยฉีรอบด้านสว่างไสวด้วยแสงจากโคมกระดาษหลากสีประดับประดาด้วยม่านมุ้งแพรพรรณสีสวยหลังจากที่ฮ่องเต้กับฮองเฮารวมถึงพระสนมบางคนที่ได้รับคัดเลือกให้มาร่วมงานและเหล่าองค์ชายหนุ่มแน่นรูปงามอายุอานามพร้อมเสพสมเดินทางเสด็จมาภายในงานและได้ประทับยังตำแหน่งของตนเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว พิธีการทั้งหลายจึงได้เริ่มต้นขึ้นพระวรกายสูงค่างามสง่าของรัชทายาทฉีหย่งเหอและองค์ชายรองฉีเล่อนั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกันข้ามกับที่นั่งของท่านหญิงคู่หมั้นของรัชทายาทนามว่าหลี่ลี่เหมยและเฉินลี่หลินที่เป็นชายาขององค์ชายรองฉีเล่อ ลดหลั่นกันไปตามลำดับขั้นของขุนนางในราชสำนักแห่งราชวังเป่ยฉี บุคคลทั้งหมดถูกจัดให้นั่งแยกฝั่งชายหญิงมีเพียงลานการแสดงกั้นกลางการแนะนำตัวและแสดงความสามารถของสตรีงดงามแห่งตระกูลทั้งหลายที่ได้รับเทียบเชิญเพื่อที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าวังดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายพระเนตรดำขลับลึกล้ำขององค์รัชทายาทและองค์ชายหลายพระองค์โดยหลักๆ ของงานแล้ว สตรีส่วนใหญ่พุ่งเป้าหมายมาทางองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้แต่อยู่เหนือคนทั้งมวล หากว่าสตรีนางใดเข้าตาพึ
ตำหนักเล่อฝูที่บัดนี้มีผู้ครองตำหนักเป็นสตรีงดงามนามว่าเฉินลี่หลินคืนนี้หญิงสาวให้บรรดาบ่าวไพร่ประจำวังไท่เล่อช่วยแต่งกายให้นางด้วยอาภรณ์ของสตรีชั้นสูงประจำแคว้นอย่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยอาภรณ์ที่นางสวมใส่ในวันนี้เป็นเสื้อผ้าเนื้อดีที่หาได้ยากยิ่งและเป็นผ้าประจำถิ่นของที่นี่เนื้อผ้ามีความมันวาวเรียบลื่นขับเน้นสรีระให้โค้งเว้างามงอนขับเน้นกายงามให้โดดเด่น สีของผ้าเป็นสีชมพูเข้มแต่เมื่อยามสะท้อนแสงเทียนหรือแสงจากโคมไฟกลับทอประกายเจิดจ้าวิบวับจับตายาวไปจนถึงชายผ้าที่คลุมรองเท้าเรือนผมของนางถูกเกล้าขึ้นสูงม้วนไขว้งดงามตามทรงประจำตำแหน่ง ปักปิ่นทองสัญลักษณ์ประจำวังไท่เล่อที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตเฉพาะนางใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วถูกแต่งแต้มจนงดงามโฉบเฉี่ยวเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ทำเอาบุรุษหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สูงค่าที่รออยู่หน้าประตูตำหนักถึงกับชะงักมองนางจนตาค้าง“ฉีเล่อ...” เฉินลี่หลินจำต้องเรียกขานพลางสะกิดใครบางคนที่มองนางไม่วางตา นางออกมายืนหน้าตำหนักนานแล้วแต่เขาที่ยืนรอนางอยู่ยังคงยืนรออยู่นั่นไม่พานางออกเดินทางเสียที“ท่านจะปล่อยให้ข้ายืนเขินอายอีกนานหรือไม่?”ฉีเล่อที่ได้ส
ฟงจินหมิงหรี่ตามองเหตุการณ์ตรงหน้าพลางเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารโดยที่ฟงหนิงอินและฟงหนิงเฉิงได้ถูกเสี่ยวชุ่ยจัดที่นั่งให้เรียบร้อยดีแล้วชายหนุ่มจำสตรีชุดชมพูจัดจ้านน้ำเสียงร้ายกาจสายตาน่ากลัวนางนี้ได้ นางคือท่านหญิงนามหลี่ลี่เหมย เป็นพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทแคว้นเป่ยฉีแห่งนี้คนสนิทขององค์ชายฉีเล่อแนะนำบุคคลสำคัญของแคว้นเป่ยฉีให้แก่เขาได้รู้จักเอาไว้เนื่องจากคนสนิทขององค์ชายฉีเล่อรู้ดีว่าเขาเป็นใครหากแต่คนทั่วไปไม่รู้จักเขาก็เท่านั้นด้วยนิสัยช่างสังเกตและสนใจทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าของฟงจินหมิง เขาจึงมักจะเป็นเช่นนี้โดยเฉพาะกับใครก็ตามที่อาจจะได้มาเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของเขาเขาจึงนั่งพิศมองสตรีในอาภรณ์สีชมพูจัดจ้านไม่วางตา เขาสังเกตความร้ายกาจของนางแล้วระลึกอยู่ในใจน้องเล็กของเขาแต่งงานกับองค์ชายรองแคว้นเป่ยฉีมีพี่ชายร่วมอุทรเพียงหนึ่งเดียวและรักกันมากคือองค์ชายใหญ่นามว่าฉีหย่งเหอ ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นและสตรีร้ายกาจนางนี้มีนามว่า หลี่ลี่เหมย นางคือว่าที่ชายาขององค์รัชทายาทแห่งเป่ยฉีแน่นอนว่าลี่หลินต้องผูกสัมพันธ์กับพี่สะใภ้ที่ร้ายกาจนางนี้ของสามีอย่างเลี่ยงไม่ได้ฟงจิน
ในเวลาเพียงไม่นานฟงจินหมิง ฟงหนิงอัน ฟงหนิงเฉิง รวมถึงเสี่ยวชุ่ยจึงเดินเข้ามาภายในเหลาอาหารหรูหราแห่งหนึ่งชื่อว่าเซียงฟงภัตตาคารแห่งนี้จัดได้ว่าใหญ่โตโอ่อ่าการจัดแต่งร้านดูดีไปหมดทุกมุมมองพาเอาเสี่ยวชุ่ยมองซ้ายมองขวาอย่างเหม่อลอยคล้ายกับพาร่างอวบอิ่มของตนให้ล่องลอยบนฟากฟ้าก็ไม่ปานเมื่อหลงจู๊ประจำร้านเห็นการแต่งกายของพวกเขาจึงไม่ยินดีให้บริการสักเท่าใด ฟงจินหมิงจึงล้วงเอาเงินออกมาให้หลงจู๊จำนวนหนึ่ง การดูแลจึงเปลี่ยนไปในทันที ยิ่งหลงจู๊ได้เห็นสายตาคมดำคล้ายหลุมลึกแผ่กลิ่นอายทะมึนไม่ธรรมดาของฟงจินหมิงยิ่งต้องรีบก้มหน้ายอมลงให้อีกหลายส่วนในร้านอาหารแห่งนี้จัดได้ว่าหรูหรามีระดับ การตกแต่งห้องอาหารแบ่งแยกด้วยฉากกั้นลายสลุสวยงามเป็นสัดส่วนเพื่อแขกคนสำคัญนั่งกินแต่ละมุมห้องเป็นส่วนตัว บ้านเมืองที่รุ่งเรืองทั้งทรัพยากรและรุ่งเรืองทั้งอำนาจเยี่ยงนี้ไม่แปลกอันใดที่ชาวประชาจะมั่งคั่งมั่งมีอยู่กันอย่างหรูหราฟู่ฟ่าเมื่อทั้งสี่คนเดินขึ้นมายังชั้นสองของร้านอาหารพลันได้ยินเสียงของตกแตกดังเพล้งมาจากห้องอาหารห้องหนึ่ง เสียงนั้นดังมากจนเรียกร้องความสนใจของบุคคลรายรอบฟงจินหมิงถึงกับชะงักฝ่าเท้าเมื่