Masukธนาธรเข้าบริษัทใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เพื่อจัดการเรื่องเอกสารในเครือแสงฤดี คนภายนอกมองว่าเขาเป็นน้องชายของท่านประธานย่อมอาศัยบารมีในการสร้างเงิน แต่ใครจะคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแผนงานทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้จะเป็นเขา ชายหนุ่มวางเอกสารแฟ้มสุดท้ายลง แล้วปิดฝาปากกาเสียบไว้ที่กระเป๋าอย่างคุ้นชิน ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเปิดออกพบว่าเป็นเลขาของเขา “เมื่อครู่พนักงานต้อนรับด้านล่างส่งขึ้นมาให้ครับ” เลขาหนุ่มวางกล่องของขวัญบนโต๊ะเจ้านาย ในใจก็คิดว่าเจ้านายคงจะมีสาว ๆ มาติดพันเพิ่มเป็นแน่ คนไม่สนใจผู้หญิงมานานเพราะเริ่มหมดศรัทธาความรักหยิบกล่องของขวัญเปิดออก ก็พบว่าด้านในเป็นเสื้อสูทของเขาเอง “แล้วคนล่ะ” “พนักงานแจ้งว่าเธอเอามาให้แล้วก็ไปเลยครับ ไม่ได้อยู่รอ” แค่นี้จริง ๆ เหรอ ชายหนุ่มหยิบเสื้อออกมาก็เห็นว่ามีของอยู่ด้านในอีก เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็นกล่องซาชิมิ มีการ์ดเล็ก ๆ เขียนอยู่“ถือว่าเป็นคำขอโทษค่ะ” เขาหยิบตะเกียบมาคีบอาหารกินทีละคำ ปกติแล้วเขาไม่ค่อยชอบกินเนื้อไม่สุกเท่าไร แต่ว
อัญญาเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วลงไปด้านล่าง เพราะว่ารถของเธออยู่ที่พัทยา เธอจึงเลือกใช้รถแท็กซี่แทน เธอสวมแว่นตาดำเสร็จสรรพ เมื่อขึ้นรถก็บอกปลายทาง “ไปคอนโดของตระกูลแสงฤดีที่เปิดใหม่ตรงสุขุมวิทค่ะ” “ครับ” คนขับแท็กซี่รับคำ อดไม่ได้จะหันมองผู้โดยสาร เมื่อเห็นว่ารถติดก็อดชวนคุยไม่ได้ “คุณจะซื้อคอนโดหรือครับ ได้ยินมาว่าคอนโดนี่ห้องนึงตั้งสิบล้าน” “เปล่า ฉันแค่อยากไปดูเท่านั้น คนแบบฉันจะมีปัญญาซื้อได้ยังไงกัน” นั่นสิ ถ้ามีเงินซื้อคอนโดห้องสิบล้านก็คงไม่เรียกเขามาส่งหรอก คนขับแท็กซี่ชวนคุยอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารไม่อยากตอบก็เลยไม่พูดอีกจนมาถึงที่หมาย อัญญาลงจากรถก็มองที่ป้ายเปิดงาน หน้าสำนักงานขายตกแต่งด้วยดอกไม้ และป้ายเชิญแขกเข้าไปด้านใน ขาเรียวที่สวมรองเท้าส้นสูงก้าวเดินเข้าไปด้านในทีละก้าวอย่างใจเย็น เธอกวาดตามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งเห็นเป้าหมายยืนอยู่ไม่ไกล คุณหนูพรรณวิลัย แสงฤดี หญิงสาวสวมชุดเดรสยาวสีดำแดงดูหรูหรา ใบหน้าแต้มยิ้มตลอดเวลายามพบแขก และลูกค้าที่สนใจคอนโด “คุณอา” เสียงหวานเรียกคนที่พึ่ง
“คุณภพเขาเริ่มสงสัยแล้ว พี่เลยต้องลบออกก่อน กวินโกรธเหรอ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่จะไปซื้อเครื่องใหม่ดีไหม” เสียงอ่อนหวานนั้นทำให้คนคลุ้มคลั่งสงบลง กวินจับแขนเธอไว้แน่น “จริงหรือครับ ผมคิดว่าพี่จะทิ้งผมไปแล้ว” ทิ้งเหรอ นายคู่ควรให้ทิ้งหรืออย่างไร ไม่คู่ควรที่จะอยู่ใกล้ฉันด้วยซ้ำ “นายกลับไปก่อน รอพรุ่งนี้ค่อยคุยกันที่ร้าน” เธอหายไปนานสิบนาทีได้ ถ้าไม่โผล่หน้าไปที่กล้องวงจรปิดในครัว ตรีภพจะต้องสงสัยเป็นแน่ “ได้ ๆ” กวินรับปากอย่างง่ายดาย แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป อัญญาก็รีบกลับเข้ามาที่ครัวอีกครั้ง เธอเดินกลับมาให้กล้องเห็นอีกรอบพร้อมกับของว่างในมือ ก่อนนำจานไปล้างให้สะอาด ก่อนจะขึ้นไปด้านบน เพราะมองแต่พื้น พอขึ้นถึงด้านบนก็ชนกับอีกคนทันที ตรีภพมองหญิงสาว “ลงไปทำอะไร” “ฉันหิว” ชายหนุ่มเห็นเศษขนมที่มุมปากก็จะหยิบออกให้ แต่อัญญากลับถอยหนีด้วยความตกใจคิดว่าเขาจะบีบคอเธออีกครั้ง มือบางจับที่คอจนเขารู้ความคิด “ที่ผมทำไปผมขอโทษ ก็ใครใช้ให้คุณดื้อไม่บอกดี ๆ เล่า” ถ้าจะขอโทษแบบนี้ก็เก็บคำขอโท
ตรีภพที่รับรู้ว่าปริตาคิดอะไรอยู่ก็หันมาตะคอกใส่ “คุณอย่ามาหาเรื่อง ผมกับคุณตาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น” กินกันไปไม่รู้แค่ไหนแล้วยังมาร่วมงาน เชื่อก็บ้าไปแล้ว เธอส่ายหน้าอย่างเอือม ๆ ไม่ยอมตอบกลับอีก “หลีกไป ฉันจะกลับบ้าน” ตรีภพเห็นก็รั้งกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน “ปล่อย” “ถ้าคุณกลับคนเดียว ผมก็ต้องถูกคนอื่นมองไม่ดีอีก” เขาห่วงหน้าตามากกว่าห่วงว่าเธอหายดีหรือยัง ตั้งแต่โผล่หน้ามา คำว่าเป็นอะไรหรือป่วยตรงไหน เขายังไม่ได้ถามเธอด้วยซ้ำ แต่กลับมาแสดงให้คนอื่นเห็น ทุเรศสิ้นดี ปริตาเห็นว่าเธอไม่ควรอยู่ จึงออกไปก่อน ระหว่างทางก็สวนกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้านั้นคุ้นจนทำให้เธอหยุดเท้า “กวินเหรอ” กวินที่เธอรู้จักเป็นลูกของป้าที่ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่หลายปีก่อน จำได้ว่าตอนนั้นเกิดคดีความอะไรสักอย่าง ก่อนที่ข่าวจะเงียบไปเพราะป้าของเธอทุ่มเงินปิดปากนักข่าวไว้ ส่วนคู่กรณีก็เหมือนจะถูกส่งเข้าคุกกวินไม่ได้สนใจใคร เขาสืบจนรู้ว่าบ้านแม่อัญญาอยู่ที่ไหน เมื่อไปที่บ้านจึงรู้ว่าเธอป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล เขาจึงรีบมาตามหาที
“แค่นี้ก่อนนะครับพี่ พอดีผมต้องเดินกลับ” น้ำเสียงเขาฟังดูน่าสงสารมาก ในขณะที่... อัญญาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป และไม่ลืมที่จะค้นหาชื่อของผู้หญิงคนนั้น ‘พรรณวิลัย แสงฤดี’ ทายาทหญิงชื่อดังของตระกูลแสงฤดี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่พอเอ่ยชื่อก็รู้จักกันทั้งประเทศ เธอมองชายหนุ่มพาหญิงสาวขึ้นรถหรูเปิดประทุน ในขณะที่อีกกลุ่มก็แยกย้ายขึ้นรถกันคนละคัน จากที่คิดว่าจะไปหาตรีภพตอนนี้เธอกลับไม่ขยับไปไหน เธอรู้สึกเหมือนถูกหักหลังอีกครั้ง ความไว้ใจที่พึ่งสร้างขึ้นมานั้นล้วนเป็นคำโกหกทั้งสิ้น มือของเธอเริ่มสั่น หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งรู้สึกเหมือนกำลังจะหายใจไม่ออก เธอหยิบกระเป๋ามาเพื่อหยิบยา มือที่สั่นเทานั้นทำให้เธอเปิดไม่ได้ จนกระทั่งสุดท้ายก็รู้สึกหายใจไม่ออกจริง ๆ เธอหันไปหยิบมือถือขึ้นมาแล้ว โทร.หาปลายสาย อัญชลีกำลังยุ่งกับการป้อนข้าวเด็ก ๆ ได้ยินเสียงมือถือก็หันไปกดรับ“แม่ หนูไม่ไหว” “อะไรนะ แกอยู่ที่ไหน” “ดูเหมือนจะเป็น...” เธอบอกสถานที่รถจอดอยู่ตอนนี้ คนเป็นแม่ก็รีบลุกขึ้นสั่งให้คนออกรถทันที และไม่ลืมที่จะฝาก
เธอพูดพลางยกมือกุมอกหอบหายใจถี่คล้ายจะล้มจริง ๆ อัญญารีบคว้ามือแม่มากุมไว้ด้วยความหวาดหวั่น “แม่! แม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ หนูขอโทษ…หนูผิดเองทุกอย่าง” ดวงตาของคนเป็นแม่พร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตา “ผิดแล้วก็เลิกซะ…เลิกซะอัญญา แกยังจะดื้อไปถึงไหน” หญิงสาวกัดริมฝีปากจนเลือดซึม ความเจ็บแปลบในอกทำให้เธอหายใจติดขัด “เลิกไม่ได้หรอกแม่…แต่หนูจะพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด” อัญชลีมองลูกสาวอย่างสิ้นหวัง “แกกำลังจะทำลายชีวิตตัวเองทั้งเป็น” นาฬิกาบนผนังบอกเวลาตีสี่ครึ่งแล้ว ความเงียบงันกดทับทั้งห้อง มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาในห้แง เสียงสะอื้นเบาหวิวของอัญญา และเสียงลมหายใจสั่นเครือของมารดาที่ดังสะท้อนออกมา อดีตที่ผิดพลาดเหมือนฝันร้าย มันกำลังหวนกลับมาฆ่าเธอซ้ำอีกครั้ง และคราวนี้หนักหนากว่าเดิม “แกเลิกคิดได้เลยนะว่าถ้าเขารู้ความจริงแล้วจะดีใจ คนที่เป็นแค่คนให้กำเนิด แต่ไม่เคยเลี้ยงดู กับคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดมันต่างกัน ถึงผัวแกจะมีคนอื่น แต่เรื่องครอบครัว หรือความรับผิดชอบเรื่องลูกก็ไม่เคยขาด ดีขนาดนี้แล้วแกจะเรียกร้องหาอดีตทำไมกัน”







