“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยทำหน้าไม่ถูก จึงพูดแก้เก้อออกไป “รถม้าของนายท่านสูงไปนะ”
“รถม้าของข้าผิดซินะ”
“ขออภัยที่ตัวข้าเล็กไปหน่อย”
“ทั้งตัวเล็กและขาสั้นด้วย”
“ปาก...” ปากคอร้ายกาจเหลือเกิน นางยั้งปากได้ทัน ทำให้ได้แต่ค้อนขวับเข้าให้
“เจ้าพูดอะไร”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“งั้นเราไปเถอะ”
“อืม”
หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างลืมตัว ไมได้สนใจสายตาดุดันของ หยางเหลาหู่ เขาอ้าปากจะพูดตำหนินาง แต่หญิงสาวกลับมุดเข้าไปด้านในหาที่ให้ตัวเองได้นั่งรวมอยู่กับข้าวของหลายอย่างที่เขาซื้อกลับไปตามรายการของหยางกั๋วชิ่ง
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่ หลัวเสี้ยวเวยได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ต่อไปนี้ขอลิขิตชีวิตตัวเองเถอะนะ!
อาจเป็นเพราะความกังวลและเคร่งเครียดสะสมมานาน ทำให้หญิงสาวเผลอหลับไปในรถม้า รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนรถม้าโคลงไปโคลงมา อาจเพราะถนนขรุขระ นางสะลึมสะลือตื่นไม่เต็มตา แต่รู้สึกว่ามีมือใหญ่ประคองศีรษะไม่ให้ไปกระแทกกับผนังของรถม้า มือหยาบกระด้างนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทว่านางไม่อาจฝืนตื่นได้ จึงปล่อยให้ตัวเองหลับตาอยู่อย่างนั้นจนรถม้าผ่านทางขรุขระ มือนั้นจึงถอยห่าง นานเพียงใดไม่อาจรู้ได้จนเมื่อรถม้าหยุดนิ่งสนิท นางจึงลืมตาพร้อมกับได้
ยินเสียงเรียกจากบุรุษหนุ่มผู้นั้น เมื่อนางงัวเงียโผล่หน้ามาทางช่องหน้าต่าง เห็นเพียงพยักหน้าให้เหมือนบอกว่าถึงแล้ว
หลัวเสี้ยวเวยนั่งปรับสติตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ นางเดินทางร่วมสิบวัน นอนอยู่บนรถม้า จอดพักเป็นระยะๆ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะไปที่ใด และไม่แน่ใจว่ามือใหญ่ที่ยื่นมาคอยประคองศีรษะนางไว้นั้นเป็นความจริงหรือเพียงแค่ความฝัน นางยกมือลูบเส้นผมของตัวเอง ใช้ปลายนิ้วแทนหวีแล้วคว้าห่อผ้ามากอดไว้
หญิงสาวค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้า ไม่รู้ใครเอาเก้าอี้มาวางไว้ให้นางได้ลงมาอย่างง่ายดาย ไม่ต้องกลิ้งลงมาให้เป็นที่ขบขันตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เมื่อออกมานอกรถม้าและยืนได้มั่นคงแล้ว นางเห็นป้ายป้อมพยัคฆ์ทมิฬโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือศีรษะ นางมิใช่ชาวยุทธและไม่ได้เป็นคุณหนูตระกูลหลัวอีกแล้ว นางจึงมิรู้ว่าป้อมพยัคฆ์ทมิฬแห่งนี้โด่งดังเพียงใด กล่าวให้ถูกนางมิรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ หากแต่การเดินทางยาวนานสิบวันนี้ อย่างน้อยทำให้นางมั่นใจว่า ที่นี่ไกลห่างจากบ้านลุงจางฉวน
“ไม่เข้าไปข้างในรึ หรือรอให้ใครมาปรนนิบัติ”
เสียงดุดันดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวได้แต่แหงนหน้ามองคนที่อยู่บนหลังม้า เขาเพียงหรี่ตามองนางราวกับเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ แล้วกระตุ้นให้ม้าเข้าไปด้านใน
ชายผู้นี้ปากคอร้ายกาจเสียจริง
หลัวเสี้ยวเวยได้แต่พึมพำกับตนเอง นางกอดห่อผ้าไว้เป็นที่พึ่ง ในใจยังสงสัยว่ามือที่เคยประคองศีรษะนางไว้นั้นเป็นของผู้ใดกัน แต่เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ เข้ามาใกล้รถม้าและเตรียมทยอยขนข้าวของลงจากรถ นางขยับตัวหลบอย่างไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“สาวใช้คนใหม่รึ”
“เจ้าค่ะ” นางรีบขานรับ ฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่กลับได้สายตาที่จ้องมองราวกับนางเป็นหมูที่ถูกซื้อมาเลี้ยงไว้เป็นอาหาร คนเหล่านั้นต่างมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไล่สายตาขึ้นๆ ลงๆ นางได้แต่ยืนกอดห่อผ้าราวกับใช้มันไว้ป้องกันตัว
“ตัวแค่นี้จะทำงานไหวรึ”
“ตัวแค่นี้นะดีแล้วจะได้กินไม่จุไง”
พวกเขายังพูดวนเวียนอยู่เรื่องเดิม มือไม้ก็ขนข้าวของไม่หยุด นางเกรงว่าจะไม่เป็นที่ต้องการและถูกส่งตัวกลับตั้งแต่วันแรกจึงรีบพูดขึ้น
“ข้ากินไม่เยอะและทำงานหนักได้”
เสียงหวานใสของนางทำให้ผู้อื่นต่างหยุดมือและจ้องนางเป็นตาเดียว หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่ นางแทบกลั้นหายใจรอ รอให้ใครสักคนพูดสักประโยคขึ้นมาทำลายความเงียบนี้เสีย
“นายท่านมิได้ซื้อตัวเจ้ามาทำงานหนักหรอก ตามข้ามาทางนี้”
หญิงวัยห้าสิบคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พาร่างอุ้ยอ้ายเดินมายังไม่ถึงตัว
นางก็เปลี่ยนใจเป็นกวักมือเรียก หญิงสาวมาใหม่รีบเดินเร็วๆตรงไปหาทันที
“เรียกข้าป้าอิงอู่ก็ได้”
นางแนะนำตัวง่ายๆ แล้วเดินนำไปทางโรงครัว ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วตวาดเสียงดังไปยังคนที่กำลังแบกกระสอบป่านอยู่
“ข้าวสาลีเอาไว้ทางโน้นซิ”
“ข้าน้อยเสี้ยวเวยเจ้าค่ะ” นางหลุดปากบอกชื่อจริงกับชายคนนั้นไปแล้ว นางจึงใช้ชื่อนี้ไปเลย ดีที่ไม่เอ่ยแซ่ตัวเองออกไปด้วย
“เสี้ยวเวย... ดี เรียกง่ายดี” ป้าอิงอู่ไม่ถามอะไรมาก แม้ร่างจะอุ้ยอ้ายแต่เดินรวดเร็วกระฉับกระเฉง ระหว่างทางเดินผ่านอะไรก็ชี้นิ้วสั่งนางโดยไม่หยุดเดิน
“นั่นเรือนนอนของผู้หญิง เจ้านอนกับข้า”
“เจ้าค่ะ”
“ที่นี่ปกติอาหารมื้อเย็นนายท่านและฮูหยินจะกินอาหารพร้อมคุณชายใหญ่และคุณชายรอง”
“นายท่าน? ที่นี่มีนายท่านกี่คนเจ้าคะ”
“นายท่านหยางต๋าและฮูหยินหยุนผิง คุณชายใหญ่หยางเหลาหู่และคุณชายรองหยางกั๋วชิ่ง คุณชายทั้งสองมีบ่าวชายรับใช้ติดตามตัวอยู่แล้ว เจ้าทำงานทั่วไปแทนพวกข้าก็พอ”
“ทำงานแทนท่าน?”
หลัวเสี้ยวเวยออกจะงุนงงเล็กน้อย นางควรรับใช้ใคร? นายท่านใหญ่ คุณชายของบ้านหรือรับใช้ป้าอิงอู่ผู้นี้
“คุณชายใหญ่มิได้บอกเจ้ารึ” ป้าอิงอู่ทำเสียงไม่พอใจในคอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก “เอาเถอะ ทำตัวดีๆ จะได้อยู่นานๆ ที่นี่ไม่มีอะไรมาก ทุกคนอยู่กันแบบครอบครัวเดียวกัน”
“เจ้าค่ะ”
นางเพิ่งมาถึง แต่ไม่มีใครคิดให้นางพักผ่อน นางเดินมาถึงครัวได้กลิ่นหอมกรุ่นทำให้ความอ่อนล้าจางหาย หลายคนยุ่งกับการเตรียมอาหาร
“เจ้ากินโจ๊กร้อนๆ สักถ้วยแล้วค่อยทำงาน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มออกมาได้ นางวางห่อผ้าอย่างระวังแล้วรีบเดินไปหยิบชามตักโจ๊กตามทิศทางที่ป้าอิงอู่ชี้นิ้ว นางเดาว่าที่ให้นางคอยช่วยงานป้าอิงอู่ก็เพราะเห็นแต่นางชี้นิ้วสั่งคนนั้นคนนี้ แต่เอาเถอะ นางชินแล้ว
หญิงสาวตักโจ๊กเปล่าเข้าปาก นางแปลกใจกับรสชาติที่สัมผัสอยู่บ้าง ลองตักชิมไปอีกคำก็รู้สึกเช่นเดิม ทว่าเมื่อกวาดสายตามองผู้อื่นเห็นต่างคนต่างก้มหน้ากินโจ๊กของตัวเอง ไม่มีท่าทีผิดปกติแม้จะเป็นโจ๊กเปล่าก็ควรมีความกลมกล่อมมิใช่รึ? นางได้แต่ครุ่นคิดในใจแต่ก็ตักโจ๊กส่งเข้าปากตัวเอง ความอุ่นร้อนที่ผ่านลงคอไปยังกะเพาะทำให้นางรู้สึกดีขึ้น
ลอบกวาดตามองไปรอบๆ เห็นบ่าวชายหลายคนต่างวัยกัน แต่บ่าวหญิงกลับมีแต่คนอายุมากแล้วทั้งนั้น ไม่มีหญิงรับใช้วัยเดียวกับนางเลย
คนผู้นั้นคงเป็นคุณชายใหญ่ซินะ หญิงสาวถามตัวเองนึกถึงชายที่นางเจอในห้องคราวนั้น ดีจริงที่ตลอดการเดินทางไม่มีใครถามอะไรนางเป็นพิเศษ นอกจากถามเรื่องชื่อแล้วก็ไม่สอบถามอะไรอีก นางเองไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าที่นี่อยู่ที่ใด
ออกจากบ้านลุงจางฉวนได้แล้ว ที่เหลือนางต้องพาชีวิตตัวเองไปข้างหน้าด้วยสองขาและสองมือของตัวเอง นางไม่อยากหวนคิดถึงอดีต ตั้งแต่ลืมตาจนอายุสิบสาม ชีวิตนางมิเคยได้รับความลำบาก นางเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนในตระกูล เป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวยที่แสนน่ารัก นางฝึกหัดขีดเขียนได้ตั้งแต่ยังเด็ก ร่ายรำท่องโคลงกลอนกับบิดาอย่างเพลิดเพลิน ชีวิตเรียกว่าไม่รู้จักคำว่าทุกข์จนกระทั้งคืนนั้น คืนที่คฤหาสน์หลังงามลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง
“เวยเอ๋อร์ หนีไป ไปหาลุงจางฉวน อย่าคิดแก้แค้น รักษาชีวิตไว้ จงมีชีวิตอยู่ต่อไป”
คำสั่งเสียสุดท้ายของท่านแม่พาให้นางวิ่งจากมาไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลัง นางเคยไปเยี่ยมเยือนบ้านลุงจางฉวนทุกปีเพราะอยู่ถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น ทว่าการเดินทางของเด็กอายุสิบสามและเดินทางด้วยสภาพจิตใจบอบช้ำใช้เวลาร่วมห้าวันจึงไปถึง
หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
“ข้าชอบ...ที่เจ้าชอบข้า”ถ้อยคำของเขาเรียกสติของนาง แม้มองผ่านม่านน้ำตาของตนเอง แต่ยังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาได้ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างประหลาดใจกับคำพูดของเขาและไม่มีท่าทีที่เขาทำร้ายนาง“ข้ารู้ตั้งแต่จำความได้แล้วว่าท่านพ่อหมั้นหมายบุตรสาวของสหายรักไว้ เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนท่านพ่อป่วยและข้าเข้ามาดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬแทนบิดาเต็มตัว จนทุกอย่างดีขึ้นและเมื่อสี่ปีก่อนท่านพ่อมิต้องการเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาจึงให้ข้าเดินทางไปพบเจ้า แต่เพราะป้อมพยัคฆ์ทมิฬเองก็มีอริอยู่มาก หนึ่งในนั้นคนหอนางแอ่น คนกลุ่มนั้นได้ข่าวว่าข้าเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวจึงชิงลงมือตัดหน้าก่อนที่ข้าจะไปถึง และได้ขโมยของหมั้นหมายไป ใช้กำไลมาแสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นข้าเพื่อเข้ามาในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ...เดิมทีการเดินทางครั้งนั้น ข้าตั้งใจไปเจรจากับบิดาของเจ้า การหมั้นหมายแต่งงานควรเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ข้ายินดีเป็นฝ่ายผิดคำสัญญา ทว่ากลับไม่คิดว่าเมื่อตัวเองไปถึงจะพบโศกฏกรรมนั้น หากข้าเดินทางเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ถูกทำร้ายจนฝันร้ายเกือบทุกคืน”ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ แต่กลัวว่านางจะเข้าใจ
สี่ปีที่ผ่านมาข้าอยู่ในฐานะคนรับใช้มาตลอด จนกระทั้งป้าสะใภ้ต้องการขายข้าเป็นอนุเศรษฐีผู้หนึ่ง ข้าปฏิเสธและแอบหนีออกมา คนกลุ่มนั้นไล่ตามข้า แต่ข้าวิ่งหนีไม่ทัน ประจวบกับเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงแอบเข้าไป จึงได้พบคุณชายหยางเหลาหู่ ท่านต้องการหญิงรับใช้และข้าต้องการหนีไปตายเอาดาบหน้า จึงได้แอบอ้างตัวเป็นหญิงรับใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา...” นางพูดยาวเสียจนคิดว่าถ้าไม่พูดครั้งนี้แล้ว นางอาจจะไม่ได้พูดกับเขาอีกเลยก็เป็นได้ “เจ้าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้าเลยรึ” เขายื่นหน้าไปถามนาง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงนอนละเมอฝันร้ายเช่นนั้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า แม้กระทั้งกำไลวงนั้น ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพูดไปตามจริง “ข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน วันนั้นข้าพบท่านเป็นครั้งแรกจริงๆ” “อาจเพราะคุณหนูยังเล็กนัก หลัวฮูหยินเองก็รักและตามใจคุณหนูมาก คงยังไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังคุณหนูแต่อย่างใด” “แล้วเจ้าล่ะ อาลี่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อาลี่ทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าหลัว
“ย่อมเป็นข้า” เขาวางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากของนาง แก้มฝาดเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปรินน้ำดื่มให้นาง นางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬจะลดตัวลงมือทำอาหารให้นางเอง นางจ้องใบหน้าคมเข้มของเขาแล้วเห็นเพียงติ่งหูที่แดงอยู่ทำให้นางไม่กล้าถามย้ำอีก “ข้าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ให้ข้าไปช่วยงานป้าอิงอู่เถิด อีกอย่างไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลปรนนิบัตินายท่านกับฮูหยิน” หลัวเสี้ยวเวยเห็นเขาทำท่าคัดค้าน นางจึงรีบพูดขึ้นก่อน “ข้านอนมาตั้งหลายวันแล้ว ขืนยังนอนอยู่อย่างนี้จะยิ่งกลายเป็นคนป่วยไม่ฟื้นตัวเสียที ให้ข้าทำอะไรบ้างเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นบ้างก็ยังดี” เห็นท่าทางออดอ้อนของนางแล้วก็เผลอใจอ่อน“เอาเถอะ แค่เดินเล่นเท่านั้น งานการใดๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกแรงทำ” นางพยักหน้ารับ เขาจึงยอมให้นางลงจากเตียงได้ นางดีใจจนยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแจ่มใสและรอยยิ้มของนาง ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย หลัวเสี้ยวเวยค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กลัวว่าตัวเองล้มพับไปเช่นครั้งก่อนอี
หลัวเสี้ยวเวยหลับตาปี๋ตกใจเสียงตะคอกของเขา แม้ได้ยินบ่อยๆ แต่อดตกใจไม่ได้ หยางกั๋วชิ่งอมยิ้มรีบเดินหลบออกไป หยางเหลาหู่ข่มโทสะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าซีดเซียวมีความงุนงงอยู่เต็มใบหน้า เส้นผมยาวสลวยดุจย้อมหมึกของนางลงมาเคลียทรวงอก แม้จะสวมชุดนอนอยู่แต่เขากลับรู้สึกหายใจติดขัด พิษในกายถูกขับไปหมดแล้ว ทว่ารสชาติของนางยังปลุกเลือดในกายของเขา หยางเหลาหู่ไม่คิดว่าตนเองต้องใช้ความพยายามในการข่มใจเพื่อก้าวเท้าเข้ามากดไหล่ให้นางลงนอน “เจ้ามีไข้ไม่ได้สติมาสองวันสองคืน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย” “สองวันสองคืน! ข้านอนมานานเกินไปแล้วนะ” นางจับมือของเขาที่กำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ “เมื่อครู่คุณชายรองเรียกข้าว่าอาซ้อ...” หยางเหลาหู่เห็นแววตาดื้อรั้นของนางแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“ถูกต้อง” “ถูกต้องอย่างไร ข้าเป็นสาวใช้แล้วจะมาเรียกข้าว่าอาซ้อได้อย่างไร” นางโต้เถียงพลันนึกเรื่องที่นางใช้ตัวเองแก้พิษให้เขา.... นางหลับไปสองวันสองคืนเรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้ว “รอเจ้าแข็งแรงดี เราจะเข
เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมของนางเอกเผื่อได้เห็นดอกบัวคู่งามสั่นไหวเย้ายวนตานัก เมื่อรู้ว่านางขยับสะโพกได้เองเป็นแล้ว เขาเลื่อนมือขึ้นลูบไล้นวดอกคู่งามจนนางครางกระเส่าออกมา“อย่า”นางร้องห้ามอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงเรื่องใด หน้าอกของนางแข็งเป็นตุ่มไต นางหลับตาลงไม่กล้าสบตาเขา แต่กลับถูกเขาบังคับด้วยจุมพิตร้อนแรง และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดจนนางแทบขาดใจ ดวงตาเขาเหมือนมีเปลวไฟไหวระริกอยู่ในนั้น ร่างของนางเกร็งและกระตุกอีกคราวเขาประคองแผ่นหลังนางลงนอนอีกครั้ง ยกเรียวขาของนางวางพาดบ่า หันหน้าไปจูบปลีน่องของนางแล้วขยับสะโพกของตนอย่างลึกล้ำและรวดเร็ว นางได้แต่บิดกายเร่าๆ บนที่นอนที่ยับยู่ นางเอื้อมมือไปดึงม่านมุ่งเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพันชายผ้ารอบข้อมือเกร็งร่างกายรับการกระแทกรุนแรงซึ่งไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ จนนางได้ยินเสียงเขาคำรามอีกระลอกพร้อมกดแก่นกายลึกเข้ามาในตัวนาง น้ำรักร้อนรินรดอีกคราว นางเหนื่อยหอบปล่อยให้เขาแกะข้อมือของนางออกจากผ้าที่นางดึงไว้ เสียงผ้าขาดตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ยามนี้นางไร้สติจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว รู้เพียงแค่