ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย
“นี่”
เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!”
เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาลอบอยู่ใกล้รถม้าที่นางพักผ่อน กลางดึก นางเป็นเช่นนั้นอีก เขาไม่ได้ปลุกนางแต่ปล่อยให้นางผวาลุกขึ้นนั่งแล้วร่วงผล็อยลงไป ตลอดสิบคืนที่ผ่านมา เขาแอบลอบเข้ามาดูนาง ทำให้รู้ว่านางไม่ได้นอนละเมอทุกคืน แต่ละครั้งนั้น...ช่างน่าสงสารจับใจ กระนั้นเขามิได้ปล่อยใจไปกับความน่าเวทนานี้ ยังคงวางกำแพงตั้งระวังนางไว้อย่างดียิ่ง
ทุกเช้าหยางเหลาหู่จะคุมชายฉกรรจ์ฝึกซ้อมวรยุทธ ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่ คนของเขาต้องแข็งแกร่งและเตรียมพร้อมเสมอ หยางกั๋วชิ่งมักเรียกใช้คนในป้อมไปทำงานของตนได้แทบตลอดเวลา ขณะที่หยางเหลาหู่เดินกลับมาจากลานฝึก หยางกั๋วชิ่งก็เดินตรงเข้ามาโดยมีอาลี่เดินตามอยู่ด้านหลังดุจเงาตามตัว ดวงตาคมของหยางเหลาหู่หรี่มองน้องชาย
ที่อายุห่างกันเพียงสองปีแล้วโคลงศีรษะไปมา
“เจ้าหาเรื่องแกล้งอาลี่อีกแล้ว” หยางเหลาหู่เปิดปากชิงตำหนิน้องชายก่อน
“พี่ใหญ่ใส่ความข้า” หยางกั๋วชิ่งแสร้งทำเป็นตัดพ้อ
“อาลี่ผิวบางโดนแดดนิดเดียวก็แดงเป็นรอยไหม้ แล้วไยเจ้าลากเขาติดตามมาที่ลานฝึกซ้อมเช่นนี้”
หยางเหลาหู่ติดขี้สงสารไปสักหน่อย อาลี่เป็นเด็กที่เขาหิ้วคอเสื้อเหวี่ยงขึ้นรถม้ากลับมาป้อมพยัคฆ์ทมิฬ รอยแผลเป็นอันน่าเวทนาแล้วยังท่าทีขลาดกลัวนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียที
“เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านยิ่งไม่สบายตัว” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำตำหนิของพี่ชาย
“ขะ...ข้า เต็มใจ” อาลี่เอ่ยปากส่งเสียงไกล่เกลี่ย
อาลี่รู้ดีว่าหยางเหลาหู่แม้มีรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดัน แต่ความจริงเป็นคนใจอ่อนขี้สงสาร พบเจอแมวหมาบาดเจ็บหรืออดยากก็หิ้วคอกลับมาป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เขาดูแลทุกครั้งไป เหมือนที่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นมาจากโคลนตมในวันนั้น
“ข้ามิเคยเห็นเจ้าไม่เต็มใจสักครั้ง” หยางเหลาหู่ย่นจมูก “มาถึงนี้มีอะไรรึ”
“เข้าเรื่องได้เสียที” หยางกั๋วชิงพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าอยากได้แรงคนไปช่วยขุดลอกทางน้ำทางทิศเหนือ”
“หือ?”
“ข้าวางแผนขยายพื้นที่เพาะปลูกทางทิศเหนือ อีกไม่นานฝนจะมาแล้ว ข้าอยากสำรองน้ำไว้ใช้ยามแล้งด้วย”
หยางเหลาหู่จ้องมองสีหน้าจริงจังของน้องชาย เขาสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยออกมา
“ได้! ข้าจะไปคุมงานให้เอง”
“อย่างไรข้าก็ต้องไปด้วย” น้องชายคลี่กระดาษที่ร่างแผนการเพาะปลูกไว้ให้พี่ชายดู นอกจากพื้นที่เพาะปลูกยังมีพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์และอีกหลายอย่างที่ทำให้คนเป็นพี่ต้องขมวดคิ้ว
“มากถึงเพียงนี้”
“ท่านเดินทางกลับมาช้า ข้าเลยเพิ่มนั้นเพิ่มนี้เข้าไปอีก”
หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อย่างเคยชิน เรื่องเหล่านี้เขาเคยปรึกษาพี่ใหญ่มาก่อนแล้ว มั่นใจว่าพี่ชายไม่คัดค้านอะไร เขาจึงเพิ่มรายการสิ่งที่ควรทำเข้าไปอีกหลายรายการ อย่างไรก็มีคนมีแรงงานให้ใช้อยู่แล้ว จะเป็นอะไรไปเล่า
“ข้าเดินทางตามกำหนดเวลาไม่เคยล่าช้า” หยางเหลาหู่โคลงศีรษะแล้วมองไปทางอาลี่ “อยู่ด้วยกันเจ้ามิห้ามปรามกั๋วชิ่งบ้าง”
อาลี่เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม
“ปรึกษาท่านพ่อดีแล้ว?”
“แน่นอน แต่อย่างไรท่านเป็นพี่ใหญ่ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด”
“ถ้าเจ้าคิดว่าวันๆ ข้าอยู่สบายเกินไปจึงหาเรื่องหางานให้ข้าทำเพิ่มขนาดนี้ก็ตามใจเจ้า”
หยางเหลาหู่แสร้งบ่นไปอย่างนั้น แต่ไม่คิดค้านสิ่งที่น้องชายเสนอ สองพี่น้องทำร่วมแรงร่วมใจพาให้สกุลหยางหลุดพ้นความอดอยากทุกข์ยากมาได้ ช่วงที่บิดาล้มป่วย ความเป็นอยู่ของคนในป้อมพยัคฆ์ทมิฬมีความลำบากอยู่ไม่น้อย แม้ไม่ถึงกับอดยากแต่ก็มิสบายนัก เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลับไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นอีก
หยางเหลาหู่เดินนำหน้าจึงไม่รู้ว่าหยางกั๋วชิ่งแอบดึงมืออาลี่ เด็กหนุ่มผอมบางดวงตากระตุกวูบไหว อาลี่พยายามชักมือกลับแต่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่สนใจ มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แท้จริงหยางกั๋วชิ่งมิได้สนใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรกับเขา หากแต่อาลี่ร้องเป็นฝ่ายร้องขอมิให้แพร่งพรายเรื่องราวเหล่านี้ เขาจึงยอมตามใจ เขาเผด็จการเอาแต่ใจแต่กับอาลี่ เขารู้ว่าการบังคับไม่ใช่หนทางได้หัวใจของอีกฝ่ายมาครอบครอง
“ประเดี๋ยวข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปหาท่านพ่อ เจ้าไปก่อนก็แล้วกัน”
“ฮืม” หยางกั๋วชิ่งพยักหน้ารับ ยอมให้อาลี่ชักมือกลับแล้วติดตามพี่ชายของเขากลับไป
หยางเหลาหู่แม้จะระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่กับน้องชายตัวเองเขากลับละเลยและละเว้นไว้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาเพียงแค่กังวลว่านิสัยไร้ปากเสียงและยอมผู้อื่นเสมอของอาลี่จะทำให้ถูกรังแก โดยเฉพาะ
กับหยางกั๋วชิ่งที่มักหาเรื่องมายืมตัวอาลี่ไปใช้งานบ่อยๆ
‘ข้าไม่ชอบคนพูดมาก’
นั้นเป็นเหตุผลของหยางกั๋วชิ่ง แต่ก็จริง น้อยครั้งหรือแทบจำไม่ได้ว่าอาลี่เคยโต้เถียงใคร ลักษณะนิสัยของอาลี่เองทำอะไรเชื่องช้านิ่มนวล เพราะนิสัยเช่นนี้ที่ทำให้เขาต้องดึงอาลี่มาเป็นบ่าวติดตามตัวจะได้ไม่มีผู้อื่นมากลั่นแกล้งอาลี่ได้
แต่บัดนี้เขามีสาวใช้ที่ยังไม่อาจวางใจในได้ นางเป็นปัญหาชิ้นใหม่ ทำให้เขาต้องรั้งเสี้ยวเวยอยู่ข้างตัวและส่งอาลี่ไปช่วยงานหยางกั๋วชิ่ง อย่างน้อยอาลี่อ่านออกเขียนได้ ช่วยงานน้องชายเขาได้มากกว่าอยู่ข้างตัวเขา
หยางเหลาหู่ขมวดคิ้ว ปลายจมูกได้กลิ่นหอมละมุนอยู่ในห้องตัวเอง เขาก้าวเท้าเข้าไปด้านใน สายตาปะทะกับร่างเล็กกำลังก้มๆ เงยๆอยู่บนที่นอนของเขา
“เจ้าทำอะไร”
“คุณชายใหญ่”
หลัวเสี้ยวเวยสะดุ้งสุดตัว นางไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามา แม้ว่าอีกฝ่ายรูปร่างใหญ่โต แต่เดินได้เงียบเฉียบดุจแมวย่องก็ว่าได้
“ข้าถามว่าเจ้าทำอะไร” ดวงตาคมหรี่มองอย่างไม่ไว้ใจ อีกฝ่ายกลับถอนหายใจก่อนส่งยิ้มน้อยๆ ออกมา
“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเจ้าค่ะ ป้าอิงอู่สั่ง” นางเอ่ยตอบไปจริง เกรง
ว่า เขาคงคิดว่านางเข้ามาหาหวังให้ท่า ขึ้นเตียงของคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬ
“ทุกครั้งอาลี่เป็นคนทำมิใช่รึ” หยางเหลาหู่ยกมือขึ้นกอดอก ยังไม่ลดความระแวงใจลง
“ป้าอิงอู่บอกว่า งานพวกนี้ให้ข้าซึ่งเป็นสาวใช้เป็นคนทำ”
นางเอ่ยเหมือนท่องจำ ซึ่งก็ใช่ เมื่ออยู่กับบรรดาบ่าวชรา นางถูกสั่งสอนกฏเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เมื่อครั้งอยู่บ้านลุงจางฉวนยังวุ่นวายมากกว่านี้
“เสี่ยวหงบอกอะไรเจ้าบ้าง” เขาเริ่มซักถามพลางถอดเสื้อตัวนอกที่ชุ่มเหงื่อออกแล้วส่งให้นาง หญิงสาวยื่นมือไปรับก้มหน้างุดไม่กล้ามองแผงอกกำยำของอีกฝ่าย
หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
“ข้าชอบ...ที่เจ้าชอบข้า”ถ้อยคำของเขาเรียกสติของนาง แม้มองผ่านม่านน้ำตาของตนเอง แต่ยังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาได้ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างประหลาดใจกับคำพูดของเขาและไม่มีท่าทีที่เขาทำร้ายนาง“ข้ารู้ตั้งแต่จำความได้แล้วว่าท่านพ่อหมั้นหมายบุตรสาวของสหายรักไว้ เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนท่านพ่อป่วยและข้าเข้ามาดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬแทนบิดาเต็มตัว จนทุกอย่างดีขึ้นและเมื่อสี่ปีก่อนท่านพ่อมิต้องการเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาจึงให้ข้าเดินทางไปพบเจ้า แต่เพราะป้อมพยัคฆ์ทมิฬเองก็มีอริอยู่มาก หนึ่งในนั้นคนหอนางแอ่น คนกลุ่มนั้นได้ข่าวว่าข้าเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวจึงชิงลงมือตัดหน้าก่อนที่ข้าจะไปถึง และได้ขโมยของหมั้นหมายไป ใช้กำไลมาแสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นข้าเพื่อเข้ามาในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ...เดิมทีการเดินทางครั้งนั้น ข้าตั้งใจไปเจรจากับบิดาของเจ้า การหมั้นหมายแต่งงานควรเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ข้ายินดีเป็นฝ่ายผิดคำสัญญา ทว่ากลับไม่คิดว่าเมื่อตัวเองไปถึงจะพบโศกฏกรรมนั้น หากข้าเดินทางเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ถูกทำร้ายจนฝันร้ายเกือบทุกคืน”ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ แต่กลัวว่านางจะเข้าใจ
สี่ปีที่ผ่านมาข้าอยู่ในฐานะคนรับใช้มาตลอด จนกระทั้งป้าสะใภ้ต้องการขายข้าเป็นอนุเศรษฐีผู้หนึ่ง ข้าปฏิเสธและแอบหนีออกมา คนกลุ่มนั้นไล่ตามข้า แต่ข้าวิ่งหนีไม่ทัน ประจวบกับเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงแอบเข้าไป จึงได้พบคุณชายหยางเหลาหู่ ท่านต้องการหญิงรับใช้และข้าต้องการหนีไปตายเอาดาบหน้า จึงได้แอบอ้างตัวเป็นหญิงรับใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา...” นางพูดยาวเสียจนคิดว่าถ้าไม่พูดครั้งนี้แล้ว นางอาจจะไม่ได้พูดกับเขาอีกเลยก็เป็นได้ “เจ้าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้าเลยรึ” เขายื่นหน้าไปถามนาง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงนอนละเมอฝันร้ายเช่นนั้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า แม้กระทั้งกำไลวงนั้น ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพูดไปตามจริง “ข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน วันนั้นข้าพบท่านเป็นครั้งแรกจริงๆ” “อาจเพราะคุณหนูยังเล็กนัก หลัวฮูหยินเองก็รักและตามใจคุณหนูมาก คงยังไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังคุณหนูแต่อย่างใด” “แล้วเจ้าล่ะ อาลี่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อาลี่ทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าหลัว
“ย่อมเป็นข้า” เขาวางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากของนาง แก้มฝาดเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปรินน้ำดื่มให้นาง นางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬจะลดตัวลงมือทำอาหารให้นางเอง นางจ้องใบหน้าคมเข้มของเขาแล้วเห็นเพียงติ่งหูที่แดงอยู่ทำให้นางไม่กล้าถามย้ำอีก “ข้าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ให้ข้าไปช่วยงานป้าอิงอู่เถิด อีกอย่างไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลปรนนิบัตินายท่านกับฮูหยิน” หลัวเสี้ยวเวยเห็นเขาทำท่าคัดค้าน นางจึงรีบพูดขึ้นก่อน “ข้านอนมาตั้งหลายวันแล้ว ขืนยังนอนอยู่อย่างนี้จะยิ่งกลายเป็นคนป่วยไม่ฟื้นตัวเสียที ให้ข้าทำอะไรบ้างเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นบ้างก็ยังดี” เห็นท่าทางออดอ้อนของนางแล้วก็เผลอใจอ่อน“เอาเถอะ แค่เดินเล่นเท่านั้น งานการใดๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกแรงทำ” นางพยักหน้ารับ เขาจึงยอมให้นางลงจากเตียงได้ นางดีใจจนยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแจ่มใสและรอยยิ้มของนาง ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย หลัวเสี้ยวเวยค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กลัวว่าตัวเองล้มพับไปเช่นครั้งก่อนอี
หลัวเสี้ยวเวยหลับตาปี๋ตกใจเสียงตะคอกของเขา แม้ได้ยินบ่อยๆ แต่อดตกใจไม่ได้ หยางกั๋วชิ่งอมยิ้มรีบเดินหลบออกไป หยางเหลาหู่ข่มโทสะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าซีดเซียวมีความงุนงงอยู่เต็มใบหน้า เส้นผมยาวสลวยดุจย้อมหมึกของนางลงมาเคลียทรวงอก แม้จะสวมชุดนอนอยู่แต่เขากลับรู้สึกหายใจติดขัด พิษในกายถูกขับไปหมดแล้ว ทว่ารสชาติของนางยังปลุกเลือดในกายของเขา หยางเหลาหู่ไม่คิดว่าตนเองต้องใช้ความพยายามในการข่มใจเพื่อก้าวเท้าเข้ามากดไหล่ให้นางลงนอน “เจ้ามีไข้ไม่ได้สติมาสองวันสองคืน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย” “สองวันสองคืน! ข้านอนมานานเกินไปแล้วนะ” นางจับมือของเขาที่กำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ “เมื่อครู่คุณชายรองเรียกข้าว่าอาซ้อ...” หยางเหลาหู่เห็นแววตาดื้อรั้นของนางแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“ถูกต้อง” “ถูกต้องอย่างไร ข้าเป็นสาวใช้แล้วจะมาเรียกข้าว่าอาซ้อได้อย่างไร” นางโต้เถียงพลันนึกเรื่องที่นางใช้ตัวเองแก้พิษให้เขา.... นางหลับไปสองวันสองคืนเรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้ว “รอเจ้าแข็งแรงดี เราจะเข
เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมของนางเอกเผื่อได้เห็นดอกบัวคู่งามสั่นไหวเย้ายวนตานัก เมื่อรู้ว่านางขยับสะโพกได้เองเป็นแล้ว เขาเลื่อนมือขึ้นลูบไล้นวดอกคู่งามจนนางครางกระเส่าออกมา“อย่า”นางร้องห้ามอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงเรื่องใด หน้าอกของนางแข็งเป็นตุ่มไต นางหลับตาลงไม่กล้าสบตาเขา แต่กลับถูกเขาบังคับด้วยจุมพิตร้อนแรง และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดจนนางแทบขาดใจ ดวงตาเขาเหมือนมีเปลวไฟไหวระริกอยู่ในนั้น ร่างของนางเกร็งและกระตุกอีกคราวเขาประคองแผ่นหลังนางลงนอนอีกครั้ง ยกเรียวขาของนางวางพาดบ่า หันหน้าไปจูบปลีน่องของนางแล้วขยับสะโพกของตนอย่างลึกล้ำและรวดเร็ว นางได้แต่บิดกายเร่าๆ บนที่นอนที่ยับยู่ นางเอื้อมมือไปดึงม่านมุ่งเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพันชายผ้ารอบข้อมือเกร็งร่างกายรับการกระแทกรุนแรงซึ่งไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ จนนางได้ยินเสียงเขาคำรามอีกระลอกพร้อมกดแก่นกายลึกเข้ามาในตัวนาง น้ำรักร้อนรินรดอีกคราว นางเหนื่อยหอบปล่อยให้เขาแกะข้อมือของนางออกจากผ้าที่นางดึงไว้ เสียงผ้าขาดตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ยามนี้นางไร้สติจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว รู้เพียงแค่