เวลาประหนึ่งหยุดนิ่ง...
ทุกสรรพสิ่งในศาลากลางน้ำล้วนตกอยู่ในพันธนาการแห่งคมดาบเพียงเล่มเดียว สายลมที่เคยพัดเอื่อยหยุดกรรโชก ใบบัวที่เคยไหวระริกพลันสงบนิ่ง แม้แต่เสียงหายใจของทุกคนก็ดูจะแผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนความเงียบอันเปราะบางนี้ให้แหลกสลาย
กู้เหยียนหลงยืนนิ่งราวกับรูปสลัก กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายของเขาตึงเครียดและพร้อมที่จะทะยานออกไปในชั่วพริบตา แต่เขามิอาจทำได้ เพราะชีวิตขององค์ฮ่องเต้แขวนอยู่บนเส้นดวงแห่งความอดทนของเขา
“ส่งตราหยกพระราชลัญจกรมาให้ข้า!” หลิวเจิ้งกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยอำนาจเด็ดขาด “แล้วข้าจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท!”
นี่มิใช่แค่การหลบหนี แต่คือการชิงอำนาจทั้งแผ่นดิน หากตราหยกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดตกไปอยู่ในมือของกบฏ เขาย่อมสามารถออกราชโองการปลอม สั่งการกองทัพ และควบคุมทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนา
“ท่านเสนาบดี” พระพันปีหลวงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมด้วยพระบารมีอย่างน่าประหลาด “เจ้ายึดมั่นในคติมิเป็นหยกทั้งแท่ง
เสี้ยววินาทีนั้นยาวนานประหนึ่งชั่วกัลป์ แต่ก็สั้นกว่าการกะพริบตาในขณะที่สมาธิของหลิวเจิ้งแตกสลายไปกับวาจาอันเสียดแทงของตู้เยี่ยนอวี่ ร่างของกู้เหยียนหลงก็ได้อันตรธานหายไปจากจุดที่เคยยืนอยู่มิใช่ร่างของบุรุษ แต่คือเงาของมังกรสีเงินที่พุ่งทะยานฝ่าอากาศ!ความเร็วของเขาทะลุขีดจำกัดของสายตามนุษย์ ไม่มีผู้ใดมองเห็นกระบวนท่าของเขาได้ทัน มีเพียงผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้นในพริบตาต่อมาเคร้ง!เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ดาบในมือของหลิวเจิ้งที่เคยจ่ออยู่ที่พระศอของฝ่าบาท พลันถูกดีดกระเด็นขึ้นไปในอากาศอย่างแรงผลัวะ!สันมือของกู้เหยียนหลงฟาดเข้าที่จุดสกัดบนข้อมือของหลิวเจิ้งอย่างแม่นยำจนเกิดเสียงกระดูกลั่นตุ้บ!เท้าของเขากระแทกเข้าที่กลางอกของอสรพิษเฒ่า ส่งร่างที่เคยทรงอำนาจนั้นกระเด็นไปกระแทกกับเสาศิลาอย่างรุนแรงจนหมดสติทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วลมหายใจเดียวเมื่อองค์ฮ่องเต้ทรงเป็นอิสระ องครักษ์หลวงที่เหลือก็ทะยานเข้าอารักขาทันที ส่วนกองกำลังเงาของกู้เหยียนหลงก็เข้าจัดการกับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดเสียงการต่อสู้ที่เคยโกลาหล พลันเงียบ
เวลาประหนึ่งหยุดนิ่ง...ทุกสรรพสิ่งในศาลากลางน้ำล้วนตกอยู่ในพันธนาการแห่งคมดาบเพียงเล่มเดียว สายลมที่เคยพัดเอื่อยหยุดกรรโชก ใบบัวที่เคยไหวระริกพลันสงบนิ่ง แม้แต่เสียงหายใจของทุกคนก็ดูจะแผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนความเงียบอันเปราะบางนี้ให้แหลกสลายกู้เหยียนหลงยืนนิ่งราวกับรูปสลัก กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายของเขาตึงเครียดและพร้อมที่จะทะยานออกไปในชั่วพริบตา แต่เขามิอาจทำได้ เพราะชีวิตขององค์ฮ่องเต้แขวนอยู่บนเส้นดวงแห่งความอดทนของเขา“ส่งตราหยกพระราชลัญจกรมาให้ข้า!” หลิวเจิ้งกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยอำนาจเด็ดขาด “แล้วข้าจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท!”นี่มิใช่แค่การหลบหนี แต่คือการชิงอำนาจทั้งแผ่นดิน หากตราหยกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดตกไปอยู่ในมือของกบฏ เขาย่อมสามารถออกราชโองการปลอม สั่งการกองทัพ และควบคุมทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนา“ท่านเสนาบดี” พระพันปีหลวงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมด้วยพระบารมีอย่างน่าประหลาด “เจ้ายึดมั่นในคติมิเป็นหยกทั้งแท่ง
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า