บุปผาสวรรค์ล่องลมข้ามภพ ผันบรรจบรักเหนือกาลผ่านสมัย หนึ่งบุปผาเบ่งบานกลางหทัย ท่ามตำนานบูรพาตราตรึงเอย
ดูเพิ่มเติมเดือนห้า รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก¹
ยามรัตติกาลล่วงเลย อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ดุจไอเหมันต์แผ่ปกคลุมไปทั่วสารทิศ
แม้จันทราจะทอแสงนวลผ่อง แต่ก็มิอาจขับไล่ความมืดมิดที่เข้าปกคลุมดวงจิตของ ตู้เยี่ยนอวี่ ไปได้เลย เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนเตียงไม้แข็งกระด้าง ไม่อาจขยับเขยื้อนกาย ดุจท่อนไม้ที่ถูกทอดทิ้งริมธาร ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ แสงเทียนริบหรี่ในมุมห้องส่องกระทบใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นเค้าโครงอ่อนเยาว์ที่ไม่คุ้นตา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดจากลำคอแห้งผาก ราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง สองตาเบิกโพลง พยายามปรับโฟกัสกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ภาพจำสุดท้ายของตู้เยี่ยนอวี่ในวัยยี่สิบสี่ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น คือแสงไฟสว่างจ้าจากรถยนต์ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เสียงยางบดถนน และความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง
ทว่า…
บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเลือนหายไปสิ้น มีเพียงความมึนงงและอาการปวดร้าวบริเวณศีรษะที่หลงเหลืออยู่
“นี่ฉันยังไม่ตายเหรอเนี่ย ?” เธอพยายามขยับนิ้วมืออย่างเชื่องช้า ความรู้สึกแปลกประหลาดไหลเวียนไปทั่วฝ่ามือ ดุจกระแสธารวารีที่ไหลวนในเส้นเลือด นิ้วมือที่เคยเรียวยาวแข็งแกร่งจากการจับเข็มฉีดยา บัดนี้กลับดูบอบบางและเล็กจ้อยยิ่งนัก
“คุณหนูฟื้นแล้ว !”
เสียงอุทานปนความยินดีของหญิงสาววัยสิบเจ็ดสิบแปดปี ผู้มีใบหน้ากลมมนน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตเป็นประกาย นางรีบก้าวเข้ามาใกล้เตียง พลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากของเยี่ยนอวี่อย่างเบามือ
“เธอเป็นใคร ?” เยี่ยนอวี่พยายามเปล่งเสียงอีกครา แต่กลับแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน
หญิงสาวผู้นั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววกังวล
“คุณหนูจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ บ่าวชื่อ เสี่ยวจู เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยนะเจ้าคะ”
เยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วแน่น
คำว่าคุณหนู และบ่าวดังก้องอยู่ในโสตประสาท ดุจระฆังยามเช้าที่ดังสนั่น ภาพในห้วงความคิดของเธอฉายซ้ำราวกับม้วนภาพยนตร์เก่า ๆ ห้องพักที่เรียบง่ายในอพาร์ตเมนต์ กลิ่นยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล เสียงอึกทึกครึกโครมของมหานคร สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความทรงจำอันเลือนรางไปเสียแล้ว
“ที่นี่ที่ไหน ?” เธอถามเสียงแผ่วอีกครั้ง พร้อมกวาดสายตามองไปรอบห้องที่ประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณ ราวกับหลุดมาจากภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายอยู่เป็นผ้าทอหยาบ ๆ เตียงนอนทำจากไม้เนื้อแข็ง หน้าต่างไม้ที่ปิดสนิท และแสงเทียนที่ให้ความสว่างเพียงน้อยนิด ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
เสี่ยวจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายความกังวลถาโถมเข้ามาอีกครา
“คุณหนูคงจะทรงไข้หนักจนหลงลืมไปชั่วขณะนะเจ้าคะ นี่คือเรือนเล็กของสกุลตู้ในหมู่บ้านซีหลินเจ้าค่ะ”
หมู่บ้านซีหลิน ? สกุลตู้ ?
คำตอบเหล่านี้ยิ่งทำให้ตู้เยี่ยนอวี่สับสนงุนงงดุจอยู่ในเขาวงกต เธอพยายามนึกย้อนถึงญาติมิตร หรือแม้แต่ชื่อสกุลที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่มีใครปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธอเลย
“ฉั- ขะ ข้าชื่อตู้เยี่ยนอวี่หรือ ?” เธอลองเอ่ยชื่อที่ได้ยินออกมาอย่างตะกุกตะกัก พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้หลุดคำพูดแปลก ๆ
เสี่ยวจูพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ สตรีที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าเพียบพร้อม” นางยิ้มอย่างโล่งใจเล็กน้อย “ดูท่าคุณหนูจะดีขึ้นแล้ว บ่าวจะรีบไปแจ้งฮูหยินและท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
กล่าวจบเสี่ยวจูก็รีบร้อนวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งให้ตู้เยี่ยนอวี่จมอยู่กับความคิดอันวุ่นวายดุจเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
“ตู้เยี่ยนอวี่ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย” เธอพึมพำกับตนเอง พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าบอบบางของตนเอง สัมผัสที่รับรู้คือผิวที่เนียนนุ่มดุจไข่มุก และโครงหน้าที่เล็กกว่าที่เคยเป็น
“นี่ไม่ใช่ร่างของข้า” ความคิดนี้ผุดขึ้นในสมอง ดุจฟ้าผ่าลงกลางใจ “นี่ฉันทะลุมิติมาหรือนี่ ? เรื่องแบบนี้มีจริงในโลกใบนี้ด้วยหรือไงกัน ?”
ความจริงอันน่าตกใจนี้ทำให้หัวใจของตู้เยี่ยนอวี่เต้นระรัว ดุจกลองศึกที่รัวขึ้นในยามสงคราม เธอพยายามรวบรวมสติ ค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่จุดจบในโลกเดิม จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่นี้
“ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ปีสินะ” เธอทอดถอนใจยาว พลางมองสำรวจร่างกายของตนเองใต้ผ้าห่มผืนหนา “แต่ก่อนฉันเคยเป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเด็กน้อยไปเสียได้”
ความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวเข้าครอบงำจิตใจ ดุจนกน้อยที่พลัดหลงจากรัง
ไม่มีที่พึ่งพิง สิ่งที่เคยเป็นความจริงในชีวิตของเธอตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ทว่าในความสิ้นหวังนั้น แววตาของนางก็ฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น ดุจแสงหิ่งห้อยที่ยังคงส่องสว่างในความมืดมิด
“จะร้องไห้คร่ำครวญไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” เธอกล่าวกับตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อฟ้าดินลิขิตให้ฉันมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ !”
ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงพูดคุยแผ่วเบา
ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาฉายแววห่วงใย นางเดินตรงเข้ามาที่เตียง พลางจับมือของเยี่ยนอวี่อย่างอ่อนโยน
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือลูก ? รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้แม่ใจหายใจคว่ำไปหมด”
ตู้เยี่ยนอวี่มองสตรีผู้นั้นด้วยความรู้สึกแปลกแยก แม้จะมิเคยพบพานมาก่อน แต่แววตาและสัมผัสที่อบอุ่นของนางก็ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเยี่ยนอวี่อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านเป็นมารดาของข้าหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่ถามออกไปตรง ๆ
สตรีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ “บุตรสาวข้าช่างพูดจาแปลกไปเสียจริง ป่วยหนักจนจำมารดาไม่ได้เชียวหรือนี่ ?”
นางหันไปสบตากับชายสูงวัยผู้หนึ่งที่เดินตามเข้ามา ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปรานี
“นายท่านผู้เฒ่า ฮูหยิน คุณหนูอวี่เอ๋อร์ก็จำข้าไม่ได้เช่นกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
ชายสูงวัยผู้นั้นมีหนวดเครายาวสีขาวประปราย ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงบดุจพระสงฆ์ในวิหาร เดินเข้ามาใกล้เตียง พลางวางมือลงบนศีรษะของเยี่ยนอวี่อย่างแผ่วเบา
“มิเป็นไรหรอกลูกรัก เพียงป่วยหนักจนความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้น พักผ่อนให้มาก แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
ตู้เยี่ยนอวี่มองบุคคลทั้งสามตรงหน้า แม้จะมิใช่ครอบครัวที่แท้จริงของเธอ แต่ความห่วงใยที่พวกเขามอบให้ก็สัมผัสได้ถึงจิตใจอย่างลึกซึ้ง
“ข้าปวดหัวเจ้าค่ะ” เธอกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่อาจทำให้ความลับของเธอถูกเปิดเผย
“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดลูกรัก” มารดาของร่างนี้กล่าว พลางใช้มือลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา “เสี่ยวจู เจ้าคอยดูแลคุณหนูให้ดี”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” เสี่ยวจูรับคำอย่างนอบน้อม
เมื่อบุคคลทั้งสองเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงตู้เยี่ยนอวี่กับเสี่ยวจู ความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครา
“เสี่ยวจู เจ้าเล่าเรื่องราวของข้าให้ฟังได้หรือไม่ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมข้อมูล
เสี่ยวจูยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
“ได้เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยิน ท่านผู้เฒ่าเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียน มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ชอบความวุ่นวาย จึงเลือกมาใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านซีหลินแห่งนี้ ส่วนฮูหยินก็เป็นแม่ศรีเรือนที่ดี มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยและทำอาหารเลิศรส”
เสี่ยวจูเล่าเรื่องราวของตระกูลตู้ให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของท่านผู้เฒ่าตู้ การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในหมู่บ้าน ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ตู้เยี่ยนอวี่ล้มป่วยด้วยไข้หนักและสลบไปหลายวัน
“คุณหนูเพิ่งอายุสิบสี่ปีเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวสรุป “แต่คุณหนูเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว ทั้งยังมีความเมตตาต่อผู้คน ยามว่างมักจะไปช่วยบ่าวรับใช้ทำงานบ้าน หรืออ่านตำราต่าง ๆ ในห้องสมุด”
ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างตั้งใจ
สิ่งที่เสี่ยวจูเล่ามานั้นช่างแตกต่างจากชีวิตเดิมของเธอลิบลับ แต่ก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าอย่างน้อยร่างนี้ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นและมีพื้นเพที่ดี
“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอตอบสั้น ๆ พลางหลับตาลงช้า ๆ พยายามประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ
ในความมืดมิดของเปลือกตา ตู้เยี่ยนอวี่เห็นภาพของโลกเดิมเลือนลางลงไปทุกที โดยที่มีความทรงจำใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่ทีละน้อย
“ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง ฉันก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด” เธอปวารณาในใจ ดุจนักรบที่ตั้งมั่นในคำปฏิญาณ “ในเมื่อฟ้าส่งฉันมาแล้ว ฉันก็จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทม”
————————
¹รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก (天和七十六年 – เทียนเหอ ชี่สือลิ่วเหนียน) เป็นการระบุปีตามแบบจีนโบราณ
เทียนเหอ (天和) แปลว่าฟ้าสัมพันธ์ หรือสันติแห่งสวรรค์ เป็นชื่อรัชศก (年号 – เนี่ยนฮ่าว) ซึ่งเป็นชื่อยุคสมัยที่จักรพรรดิทรงตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกปีในรัชสมัยของพระองค์ ส่วนปีที่เจ็ดสิบหก (七十六年) หมายถึง ปีที่ 76 ในรัชศกนั้น
ยามฟ้าครามสดใส แสงตะวันสาดส่องลงมายังผืนดินร้อนระอุ แม้ไอแดดจะแผดจ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจห้ามยั้งความตั้งใจของตู้เยี่ยนอวี่ได้เลยนางยังคงฝึกฝนวิชากำลังภายในอย่างมุ่งมั่น บริเวณลานหลังบ้านที่เงียบสงบ ต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม ดุจเสียงกระซิบจากธรรมชาติที่ช่วยให้นางเข้าถึงสมาธิได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนางเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ดุจกระเรียนที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ท่วงท่าแต่ละท่วงท่าล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลมปราณในกายไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ ดุจสายน้ำที่ไหลรินในลำธารที่แห้งแล้งบัดนี้นางสามารถควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น“ลมหายใจต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลมปราณ” เสียงคำสอนในตำราดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของนาง “เมื่อจิตมั่นคง ลมปราณย่อมบริสุทธิ์และไหลเวียนได้อย่างไร้ขีดจำกัด”ในทุก ๆ วันนางจะใช้เวลาในยามเช้าตรู่และยามค่ำคืนในการฝึกฝนวิชากำลังภายใน บางครั้งก็ฝึกซ้อมท่ารำมวยจีนโบราณ บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อปรับลมปราณให้สมดุล แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่นางก็มิเคยท้อถอย เพราะรู้ดีว่าการฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ร
เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ดยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้านวันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย“ข้ากำลังศึกษาต
ยามตรุษวสันต์¹เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือกทว่าภายในเรือนเล็กของสกุลตู้กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศอันผ่อนคลาย ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ นั่งอยู่บนเสื่อฟางผืนบางภายในห้องของตนเอง ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่มิเร่งร้อน มิช้าเกินไปนี่มิใช่การพักผ่อนธรรมดา หากแต่เป็นการฝึกฝนวิชากำลังภายในจากม้วนคัมภีร์เก่าแก่ที่นางค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตำราจะเขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจในตอนแรก แต่ด้วยความเพียรพยายามและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ ตีความและทำความเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ทีละน้อย‘ลมปราณคือรากฐานแห่งชีวิต พลังงานหมุนเวียนในกายเปรียบดุจแม่น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง’ เสียงท่องจำในตำราดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง ‘หากแม่น้ำบริสุทธิ์และไหลเวียนสะดวก ร่างกายย่อมแข็งแรงและอายุยืนยาว’นางจินตนาการถึงเส้นลมปราณในร่างกายของตนเอง แต่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ลมปราณไหลเวียนผ่านจุดชีพจรสำคัญ ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างแรกเริ่ม การฝึกฝนเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางมิอาจคว
ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตนตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้
ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปีหลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิต
ยามอรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงของรุ่งอรุณทาบทาผืนฟ้าสีคราม ส่งมอบความอบอุ่นแก่โลกหล้า แม้จิตใจของตู้เยี่ยนอวี่จะยังคงสับสนดุจเรือน้อยกลางทะเลกว้าง แต่กายเนื้อกลับเริ่มฟื้นฟูคืนกำลังทีละน้อยเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยนอกหน้าต่าง และกลิ่นไอดินที่ลอยมาตามสายลมยามเช้า ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในโสตประสาทของนาง¹“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูผู้เป็นดุจเงาตามตัวของนาง เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมกรุ่น “ฮูหยินสั่งให้บ่าวทำโจ๊กสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้เจ้าค่ะ”ตู้เยี่ยนอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังเสี่ยวจูที่กำลังจัดสำรับอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางดูเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย ดุจพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวที่นางเคยจินตนาการไว้จากนวนิยายโบราณโดยสิ้นเชิง“ข้ามิได้เป็นอันใดแล้ว” เยี่ยนอวี่ตอบเสียงเบา พลางพยุงกายขึ้นนั่งพิงหมอน “แค่ยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง”เสี่ยวจูส่งถ้วยโจ๊กมาให้ เยี่ยนอวี่จึงรับมาถือไว้สัมผัสถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากถ้วย หน้าตาของโจ๊กนั้นขาวนวล มีกลิ่นหอมของข้าวและสมุนไพรบางชนิดลอยแตะจมูก“คุณหนูต้อ
ความคิดเห็น