พลอยลลินณ์ตื่นนอนเช้ากว่าปกติเพราะวันนี้นัดกับภาคินว่าจะออกไปดูโครงการบ้านจัดสรรด้วยกัน จริงๆ แล้วเรื่องนี้ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องลงไปดูเองก็ได้ แต่เพราะรู้สึกแปลกที่คนโทรศัพท์มาบอกไม่ใช่หัวหน้าวิศวกรที่รับผิดชอบเรื่องนี้
หญิงสาวรีบลงมายังร้านหน้าคอนโดมิเนียมสั่งกาแฟร้อนให้กับภาคินหนึ่งแก้วส่วนของตัวเองดื่มมาจากบนห้องเรียบร้อยแล้ว
เมื่อรถของภาคินมาจอดเธอก็รีบเปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปนั่งทันที
“สวัสดีค่ะบอส กาแฟค่ะ”
“ขอบใจนะมัดหมี่คุณนี่รู้ใจผมจริงๆ เลย” เขารับกาแฟไปดื่มพร้อมกับเอ่ยชม
“บอสคะ ก่อนไปที่โครงการมัดหมี่ว่าเราไปที่บริษัทจำหน่ายวัสดุก่อสร้างก่อนดีไหมคะ”
“ทำไมล่ะ”
“มัดหมี่เห็นว่าข้อมูลของโครงการนี้กับโครงการที่เสร็จแล้วมันต่างกันมากจนน่าสงสัยค่ะ”
“ก่อสร้างคนละปีมันก็ต้องต่างกันสิ ราคาวัสดุก็แพงขึ้นทุกปีนะ”
“มัดหมี่ไม่ได้หมายถึงราคาวัสดุค่ะ แต่หมายถึงจำนวนวัสดุที่ใช้ต่างหากล่ะคะ บอสดูนี่นะคะ” หญิงสาวยื่นแทปแล็ตที่เธอทำข้อมูลเปรียบเทียบสองโครงการให้กับภาคินดู
“ต่างกันจริงๆ ด้วย ที่คุณอยากไปที่บริษัทซัพพลายเออร์เพราะอยากรู้จำนวนที่แท้จริงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ เราต้องรู้จำนวนของที่เขาส่งให้เราจริงๆ ว่ามันตรงกับที่เรารับไว้หรือเปล่า”
“ส่วนต่างแต่ละอย่างมันไม่มากเลยนะ แต่ถ้ารวมทุกอย่างก็หลายล้าน ผมไม่รู้ว่าที่กระเบื้องแตกออกนั้นเป็นเพราะมีคนเปลี่ยนสเปกกระเบื่องหรือเปล่า”
“นั่นสิคะ”
“คุณโทรบอกฝั่งนู้นหรือยังว่าเราจะเข้าไป”
“เมื่อกี้ระหว่างรอบอสมารับมัดหมี่ประสานงานไปแล้วค่ะ เขาไม่ยอมส่งทางเมล เขาอยากเจอบอส”
“ได้สิไม่มีปัญหาบริษัทอยู่ตรงไหนนะ ผมจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ คุณกด GPS ให้ผมหน่อย”
พลอยลลินณ์กด GPS เพื่อไปยังบริษัทซัพพายเออร์ใช้เวลาฝ่ารถติดเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงจะมาถึง
“เชิญทางนี้ค่ะคุณภาคิน” พนักงานต้อนรับของบริษัทคู่ค้ายืนรออยู่ก่อนแล้ว พอชายหนุ่มขึ้นไปถึงด้านบนก็ได้เจอกับคุณอลงกรณ์เจ้าของบริษัทที่รอต้อนรับด้วยตัวเอง
“สวัสดีครับคุณกรณ์ไม่เจอกันนานเลยสบายดีนะครับ”
“ผมสบายดีคุณล่ะ ช่วงนี้งานเยอะเลย ผมเองก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย”
“ก็เราคู่ค้ากันนี่ครับ ว่าแต่ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ ผมดีใจด้วยซ้ำที่ได้เจอคุณสักที”
“คุณกรณ์พูดเหมือนอยากเจอผมเลยนะครับ”
“ครับ ผมเคยติดต่อคุณไปเรื่องสินค้าที่สั่งแต่เลขาของคุณบอกว่าคุณรู้เรื่องแล้วละให้จัดการตามนั้นได้เลย”
“ขอโทษนะคะ ฉันขอถามหน่อยว่าทางคุณติดต่อกับเลขาที่ชื่ออะไรคะ” พลอยลลินณ์ถามขึ้นเพราะจำได้ว่าตัวเองไม่เคยได้รับการติดต่อจากบริษัทนี้เลยสักครั้ง
“นิติดต่อกับคุณพรนภาค่ะ”
“ผมเกรงว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดนะครับ เลขาของผมชื่อพลอยลลินณ์คนที่ผมพามาด้วย แต่คนที่คุณพูดถึงเป็นเลขาของคุณสุวิจักขณ์”
“แต่นิบอกประชาสัมพันธ์ให้ต่อสายไปที่หน้าห้องคุณภาคินนะคะ”
“ผมพอจะเดาออกแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้ายังไงผมรบกวนขอรายละเอียดสินค้าที่คุณส่งให้เราทั้งหมดได้ไหมครับ”
“ขอโทษนะครับคุณภาคิน ทางเราไม่รอบคอบเลยทำให้คุณเกิดความเสียหาย”
“คุณไม่ผิดหรอก ผมว่าคนของผมมากกว่าที่ผิด”
“แล้วคุณจะเอายังไงต่อ จะให้ผมเป็นพยานก็ได้นะครับ”
“ผมคงต้องขอข้อมูลไปเป็นหลักฐานก่อนจากนั้นก็หาพยานบุคคลอีกที เรื่องนี้คงไม่ยากเท่าไหร่เพราะถ้าถึงตาจนแล้วคนที่อยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่นี้ก็จะต้องรับแสดงตัวเพราะกลัวความผิด”
“ผมขอให้คุณจัดการปัญหาภายในได้นะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ผมขอถามหน่อยเถอะคุณภาคิน ว่าคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“บ้านในโครงการมีปัญหานิดหน่อย ผมเลยให้เลขารวบรวมข้อมูลพวกวัสดุอุกรณ์ที่ใช้แล้วเธอก็สังเกตเห็นความผิดปกติ”
“เลขาคุณช่างสังเกตจริงๆ” คุณอลงกรณ์เอ่ยชมอย่างจริงใจ
“ขอบคุณค่ะ” พลอยลลินณ์ยกมือไว้
“คุณกรณ์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะครับ ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ไม่ว่าจะบริษัทคุณหรือบริษัทผม”
“ได้สิครับไม่มีปัญหา
“ผมขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล วันนี้ผมขอตัวก่อน”
“ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดนะครับ”
ภาคินออกจากบริษัทของคุณอลงกรณ์ก็ตรงไปยังโครงการหมู่บ้านจัดสรรทันที หัวหน้าวิศวกรตกใจอย่างมากที่จู่ๆ ผู้บริหารระดับสูงก็เดินทางมาเยี่ยมชมโคงการโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า”
“สวัสดีครับคุณภาคิน จะมาชมโครงการก็น่าจะติดต่อมาก่อนผมจะได้เตรียมต้อนรับ”
“ไม่ต้องทำให้ยุ่งยากหรอกครับ ผมแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นเอง”
“เชิญนั่งด้านในก่อนครับ”
“ผมว่าจะเดินดูรอบสักหน่อย ดูเหมือนว่าจะสร้างเกือบเสร็จแล้วนะครับ”
“เหลืออีกไม่ถึง 20 % ก็จะส่งมอบให้ลูกค้าได้ทั้งหมดครับ”
“เสร็จเร็วดีเหมือนกันนะ”
“ครับน่าจะเสร็จก่อนกำหนดนิดหน่อย”
“แบบนี้โครงการหน้าเราคงได้ร่วมงานกันอีกนะคุณปรีชา”
“ยินดีเลยครับ”
“แล้วบ้านที่นี่มีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่มีครับ”
“ผมโชคดีจริงๆ ที่มีคุณอยู่ในบริษัทเรา”
“ผมต่างหากละครับที่โชคดีได้ทำงานกับบริษัทใหญ่โต”
“ผมจะกลับแล้วคุณไปทำงานของคุณต่อเถอะนะ”
“ครับคุณภาคิน”
ภาคินกลับขึ้นมานั่งบนรถอีกครั้งพลอยลลินณ์ก็รีบส่งผ้าเย็นที่เธอเตรียมให้กับเขาอย่างรู้ใจ
“เราจะเอายังไงกันต่อคะ เขาไม่บอกปัญหาที่เจอแล้วถ้าจู่ๆ เราขอไปดูบ้านมัดหมี่กลัวว่าพี่รปภ.จะเดือดร้อน”
“ผมว่าจะวนไปด้านหลังโครงการ”
“ค่ะ ทางนั้นต้องออกไปหน้าโครงการแล้ววนเข้ามาอีกที แถวนั้นมีบ้านคนอยู่ด้วยค่ะ บางทีเราอาจจะถามว่าเขาได้ยินเสียงอะไรผิดปกติไหม”
“คุณรู้ใช่ไหมบ้านหลังที่เกิดปัญหาอยู่ตรงไหน”
“รู้ค่ะค่ะพี่รปภ. บอกแล้ว”
ภาคินและพลอยลลินณ์มาถึงบ้านหลังที่รปภ. แจ้งไปเมื่อคืน ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบ้าน ส่วนพลอยลลินณ์เดินไปถามชาวบ้านแถวนั้นว่าได้ยินเสียงอะไรไหมก่อนจะกลับมาอีก
“ได้เรื่องไหม”
“ชาวบ้านบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนอะไรลั่น มันดังขึ้นหลายครั้ง มัดหมี่ได้คลิปเสียงที่ชาวบ้านอัดไว้ด้วยค่ะ บวกกับคลิปที่พี่รปภ.ถ่ายไว้ก็น่าจะพอเป็นหลักฐานได้
“คุณดีนี่สิ” เขาชี้ไปบนกระเบื้องที่แตกซึ่งไม่ใช่แค่แผ่นสองแผ่นแต่มันแตกเป็นแนวยาว
“เยอะเหมือนกันนะคะ แล้วเป็นแบบนี้ทุกหลังไหมคะ” เธอมองไปตามที่เขาชี้และก็ต้องตกใจเพราะมันเยอะกว่าที่คิดไว้
“เป็นสี่หลังริมอย่างที่ได้รับแจ้งนั่นแหละ ดูเหมือนจะทำไว้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ภาคินหยิบกระเบื้องแผ่นที่แตกขึ้นมาดูก็พบว่าทางด้านล่างมีกาวซีเมนต์ติดอยู่แผ่นละไม่มากซึ่งปกติแล้วจะต้องทากาวให้เต็มแผ่นและยาแนวจะต้องห่างกว่านี้เพื่อป้องกันการแตกกะเทาะของกระเบื้องเวลาที่อุณหภูมิเปลี่ยน
“คุณว่ากระเบื้องหนาถึง 8 มิลไหม”
“ไหนคะ อุ๊ย...” พลอยลลินณ์ตกใจจนสะดุ้งเมื่อเศษกระเบื้องที่เขายื่นให้บาดปลายนิ้วชี้
งานแต่งงานของพลอยลลินณ์และภาคินผ่านไปได้ด้วยดีตอนนี้หญิงสาวย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของภาคินเนื่องจากเรือนหอยังสร้างไม่เสร็จ แต่พลอยลลินณ์ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเลยเพราะบิดามารดาของเขาก็ดีกับเธอทุกอย่างเธอคิดเคยว่าการแต่งงานกับเขามันคือการแต่งงานเพื่อขัดดอกแต่พอถึงเวลาจริงๆ แล้วมันกลับเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนภาคินบอกให้หญิงสาวอย่าคิดมากเรื่องที่เธอเป็นหนี้เขาเพราะชายหนุ่มตั้งใจแล้วว่าจะให้พลอยลลินณ์ขัดดอกไปจนกว่าจะไม่มีลมหายใจ“ไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้มัดหมี่ขัดดอกหมดเลยเหรอคะพี่คิน” สรรพนามที่หญิงสาวใช้เรียกชายหนุ่มเปลี่ยนไปหลังจากแต่งงานเพราะขอร้องแหละเธอก็รู้สึกว่าการเรียกแบบนี้มันดูเป็นครอบครัวมากกว่าเรียกว่าบอสอย่างเคย“ไม่มีทางหรอกยังไงมัดหมี่ก็ต้องอยู่กับพี่แบบนี้ไปตลอด”“แล้วถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งมัดหมี่ถูกล็อตเตอร์รี่แล้วเอาเงินมาใช้หนี้พี่คินได้หมดล่ะคะ”“เงินที่เอามาใช้กับเงินที่เอาไปมันคนละส่วนกัน”“พี่คินขี้โกงแบบนี้มัดหมี่ฟ้องเอาได้นะคะ”“จะไปฟ้องที่ไหนล่ะ เราเป็นสามีภรรยากันแบบนี้พี่ว่าศาลก็ต้องยกฟ้อง”“แบบนี้มัดหมี่คงต้องขัดดอกไ
เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วภาคินและพลอยลลินณ์ก็ไปหาซื้อของใช้ที่จำเป็นและเสื้อผ้าอีกคนละนิดหน่อยจากนั้นก็เข้าพักที่วิลลาที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะพากันออกไปไหว้พระและนั่งชมวิวทะเลระหว่างทานอาหารที่ร้านริมทะเล “มัดหมี่เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมถึงเงียบไป” “เปล่าค่ะ มัดหมี่แค่คิดอะไรเพลินๆ” “ยังคิดมากเรื่องเมื่อวานอีกเหรอ” “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ มัดหมี่แค่กำลังคิดว่าเรามากินข้าวร้านนี้หลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยได้นั่งมองทะเลแบบนี้เลย” “นั่นสินะ แต่ก่อนเราสองคนแต่ทำงานจนลืมมองสิ่งรอบตัวว่ามันสวยงามมากแค่ไหน แล้วมัดหมี่ชอบที่นี่ไหม” “ชอบค่ะ” พลอยลลินณ์ชอบทะเลมากแต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้นั่งมองแบบนี้บ่อยนัก “เราไปเที่ยวมัลดีฟส์กันดีไหม” “มัดหมี่ก็อยากไปนะคะ แต่ตอนนี้ตารางงานของบอสแน่นมากจนถึงวันแต่งงานเลยค่ะ” “เราไปฮันนีมูนที่มัลดีฟส์กันไหมส่วนญี่ปุ่นก็ค่อยไปช่วงที่หิมะตก” เดิมทีทั้งสองคนวางแผนกันเอาไว้แล้วว่าจะไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นแต่พอเขารู้ว่าพลอยลลินณ์ชอบทะเลก็เลยลองถามเธอดูเผื่อว่าหญิงสาวจะเปลี
ภาคินขับรถไปส่งเพื่อนที่ผับแห่งหนึ่งจากนั้นเขารีบมาที่โรงพยาบาลซึ่งตอนนี้พลอยลลินณ์ยังนอนหลับอยู่บนเตียง “ขอบคุณมากครับคุณพยาบาล” ภาคินกล่าวขอบคุณพยาบาลที่อยู่เป็นเพื่อนพลอยลลินณ์ขณะที่เขาออกไปจัดการกับคนที่ทำร้ายเธอ “ไม่เป็นไรค่ะเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปรอข้างนอกถ้าคนไข้ตื่นหรือคุณต้องการความช่วยเหลือก็กดปุ่มฉุกเฉินตรงนี้นะคะ”“ได้ครับขอบคุณครับ”เมื่อพยาบาลเดินออกจากห้องไปแล้วภาคินก็ขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆ พลอยลลินณ์“มัดหมี่ผมขอโทษนะ ถ้าวันนี้ผมอยู่กับคุณเรื่องก็คงไม่เกิด”เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณสุวิจักขณ์ร่วมมือกับวาริสาแล้ววางแผนทำร้ายพลอยลลินณ์แบบนี้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่ที่เขาตามมาช่วยได้ทันภาคินรู้ดีว่าสาเหตุมันน่าจะมาจากที่เขาและพลอยลลินณ์จับได้ว่าคุณสุวิจักขณ์ลักลอบเปลี่ยนสเปกสินค้าและต้องหาเงินมาชดใช้บริษัทหลายล้าน แต่ภาคินไม่คิดเลยว่าวาริสาจะร่วมมือกับเขาด้วยชายหนุ่มจับมือหญิงสาวแน่นและสัญญากับตัวเองว่าจากนี้จะไม่ยอมปล่อยให้พลอยลลินณ์คลาดสายตาอีกเป็นอันขาด เขารู้แล้วว่าตัวเองรักผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน รักจนยอมแลกได้ทุกอย่า
ขับรถมาได้สักระยะภาคินก็ได้รับสายจากตำรวจท้องที่ซึ่งแจ้งว่าตอนนี้พวกเขามารออยู่บ้านพักของคุณสุวิจักขณ์แล้วแต่รถตู้สีดำที่ชายหนุ่มแจ้งยังมาไม่ถึงเมื่อได้ยินแบบนั้นภาคินก็อุ่นใจขึ้นแต่เขาก็ยังรีบร้อนที่จะไปที่นั่นอยู่ดี ระยะเวลาชั่วโมงกว่าบนรถเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดและทรมานใจเป็นอย่างมากภาคินไม่รู้เลยว่าพลอยลลินณ์จะเป็นยังไงบ้างและคนร้ายจะพาเธอไปยังบ้านพักที่ตามตนเองคิดไว้หรือเปล่าแต่เท่าที่เคยรู้มาคุณสุวิจักขณ์มีบ้านพักอยู่ที่หัวหินเพียงแค่หลังเดียวเท่านั้นเมื่อไปถึงบ้านพักของคุณสุวิจักขณ์ภาคินก็ต้องแปลกใจเพราะรถของคนร้ายน่าจะมาถึงที่นี่แล้วแต่ทั้งบ้านกับว่างเปล่ามีเพียงรถของตำรวจที่จอดซุ่มอยู่ไกลๆ เท่านั้น“คุณภาคินใช่ไหมครับ” ตำรวจรายหนึ่งเดินมาถามเมื่อเห็นเขาจอดรถลงที่หน้าบ้าน“ใช่ครับคุณตำรวจ นี่พวกมันยังมาไม่ถึงอีกเหรอ”“ผมว่าไม่น่าจะใช่ที่นี่แล้วนะ คุณลองดูพิกัดในมือถืออีกทีสิ”ภาคินรีบร้อนและคิดว่าจะต้องเป็นบ้านหลังนี้เขาจึงลืมเรื่องพิกัดมือถือไปจนสนิท และตอนนี้พิกัดหายไปแล้วแต่จุดสุดท้ายที่จับสัญญาณได้ก็ไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่“สัญญาณหายไปแล้วหรือพวกมันจะรู้แล้วว่าพ
“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดีล่ะปราง” น้ำฝนถามหลังจากที่ได้ฟังมะปรางเล่าเรื่องของพลอยลลินณ์“นั่นสิฝน นิวว่าเราไปขอดูกล้องจากร้านดีไหม”“หรือเราจะแจ้งตำรวจ” เพื่อนอีกคนก็เสนอขึ้น“ปรางสับสนไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงก่อนดี”“แต่เราว่าต้องบอกแฟนของมัดหมี่ก่อนดีไหม มีใครในนี้ติดต่อแฟนของมันมีบ้างได้ไหมเราต้องบอกเขาให้รู้เรื่อง”“เดี๋ยวปรางจะไปขอดูกล้องวงจรปิดนะ คนที่เหลือลองหาทางติดต่อคุณภาคินดูนะ เขาเป็นคนมีชื่อเสียงแบบนั้นน่าจะติดต่อได้ไม่ยาก”“เดี๋ยวนิวจะลองถามเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานเป็นเลขาผู้บริหารดูเผื่อเขาจะมีคอนแทคของคุณภาคินบ้างมะปรางรีบไปดูกล้องวงจรปิดเถอะ” นิวรีบบอกจากนั้นตัวเองก็พยายามติดต่อกับเพื่อนอีกคนที่ทำงานเป็นเลขาเหมือนกับพลอยลลินณ์มะปรางกับน้ำฝนไปขอทางร้านดูกล้องวงจรแต่โดยให้เหตุผลที่ว่าเพื่อนของเธอถูกจับตัวไป ทางร้านก็รีบอำนวยความสะดวกเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้วทางร้านจะมีความผิดไปด้วยภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นชัดว่าพลอยลลินณ์เดินไปกับวาริสาและเธอก็ขึ้นไปบนรถตู้จากนั้นวาริสาก็ปิดประตูรถก่อนที่รถจะถูกขับออกไปจากบริเวณลานจอดรถ มะปรางถ่ายรูปทะเบียนรถพร้อมทั้งข
ภาคินและพลอยลลินณ์กลับมาถึงเมืองไทยได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทั้งสองคนยังทำตัวเป็นเจ้านายและลูกน้องที่ดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นแต่พอได้อยู่กันตามลำพังแล้วภาคินก็จะกลายร่างเป็นผู้ชายอบอุ่นขณะที่พลอยลลินณ์ก็จะกลายเป็นคนช่างอ้อน “อีกตั้งสองเดือนเลยนะมัดหมี่ที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ผมว่าเราไม่ต้องรอฤกษ์ดีไหม” ภาคินบ่นหลังจากที่มารดาของเขาเป็นคนไปหาฤกษ์แต่งงานมาให้ “มัดหมี่ว่าเร็วไปด้วยซ้ำนะคะ เรายังไม่รู้จักกันดีเลย” “เรารู้จักกันมาสามปีกว่าแล้วนะมัดหมี่ ผมว่าเวลามันนานมาก” “บอสจะนับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันไม่ได้นะคะ เราต้องนับวันที่เราตกลงคบกันสิคะถึงจะถูก” “ก็ผมจะนับแบบนี้” “เฮ้อ...มัดหมี่อยากให้ลูกน้องในบริษัทเห็นบอสเวลาที่งอแงเป็นเด็กแบบนี้จัง” “อยู่ต่อหน้าลูกน้องผมต้องวางมาดกันหน่อยสิ แต่เวลาอยู่กับมัดหมี่ผมเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด” ภาคินพูดขณะที่กอดเธอไว้อย่างหลวมๆ แล้วเกยปลายคงบนไหล่มน “แล้วจะกอดแบบนี้อีกนานไหมคะ” “ก็กอดจนกว่าจะหมดเวลาพัก” ตั้งแต่ประกาศเรื่องแต่งงานออกไปเวลาทานอาหารกลางวันพล