“ถูก…สำหรับฉัน นายเองก็น่ากลัวไม่น้อยไปกว่าไอ้เจ้าหนี้หน้าเลือดนั่นสักเท่าไหร่หรอก” ปิติญาดากอดอกยักไหล่ให้ชายหนุ่ม แต่ก็ไม่วายนั่งให้ห่างเขามากที่สุด ด้านซ้ายของลำตัวจึงติดกับประตูเหมือนมีกาวแปะไว้ คำสบประมาทของหญิงสาวทำเอาคนฟังหันขวับมามอง แววตาเอาเรื่องไม่น้อย “น้อยๆ หน่อย อย่าลืมว่านี่คือผู้มีพระคุณที่ขี่ม้าข้าวไปช่วยเธอจากไอ้เฒ่านั่น” คณินชี้นิ้วมายังตัวเอง แต่ปิติญาดากลับย่นจมูกโด่งรั้นนั้นให้เขาแทน การต่อปากต่อคำเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขารู้จักกันและกัน “ไม่ได้ขอ”“อ้อ…งั้นฉันจะพาเธอกลับเข้ากรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้” คนพูดจริงทำจริงอย่างคณินหักพวงมาลัยรถเข้าขวา เมื่อเห็นป้ายบอกให้กลับรถได้เท่านั้นแหละ ปิติญาดาก็เอ่ยตอบเสียงหลง “มะ…ไม่เอา” “งั้นก็นั่งนิ่งๆ ไป อยู่แบบสงบเสงี่ยมหน่อยลูกหนี้” คำว่าลูกหนี้ที่ได้ยิน ทำให้คนฟังแอบจี๊ดในอก น้ำท่วมปากพูดไม่ออกในที่สุด แต่ก็ยังเถียงแบบน้ำขุ่นๆ “อย่ามาว่าฉันเป็นลูกหนี้นายนะ พ่อกับแม่นายเป็นคนช่วยเรื่องเงิน ถ้าให้คิดนั่นคือคนที่เป็นเจ้าหนี้ฉันอย่างแท้จริง ไม่ใช่นาย ขี้ตู่”“อย่าลืม ว่าคนเป็นพ่อแม่ลูกก็คือคนๆ เดีย
“จะว่าไปเธอก็ไม่เห็นมีอะไรให้ฉันแตะต้องได้ เสน่ห์รึก็มองไม่เห็น ตัวแห้งๆ ยังกับกุ้งเสียบ นิสัยก็บ้าๆบอๆ เอาเถอะ ไหนๆ ฉันก็หลวมตัวแต่งงานกับเจ้าสาวกำมะลออย่างเธอแล้วนี่ หวังพันธะข้อนี้ของเราจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ” คำพูดดูถูกของคณินทำให้ปิติญาดาควันออกหู เขาหาว่าเธอไม่มีเสน่ห์อย่างนั้นเหรอ ทีตัวเองล่ะมีเสน่ห์ตายเลย สิ่งที่เธอคิดก่อนหน้าขอถอนคำพูดให้หมด ผู้ชายแบบนี้ต่อให้เหลือคนเดียวบนโลก เธอก็ไม่แล “คนอย่างฉันมีเสน่ห์มากพอที่คนอย่างนายจะมองไม่เห็น ชิ จ๊อกกกก” การสนทนาจบลงอีกครั้ง เมื่อเสียงท้องร้องของปิติญาดาดังขึ้น คณินหัวเราะออกมาแบบไม่เก็บไว้อย่างเช่นครั้งแรกที่ได้ยิน คนหิวข้าวหน้าแดงก่ำ ทั้งอาย ทั้งโกรธที่ถูกคนหัวเราะเยาะ ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าตัวเมืองนครสวรรค์ ก่อนจะไปหยุดลงหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เขาเคยแวะมาบ้าง ไกด์จำเป็นพาเธอไปยังร้านอาหารประจำ ขณะนั่งกินข้าวทั้งคู่ก็ตกอยู่ในสายตาหลายสิบคู่ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใครดึงดูดสายตาคนพวกนั้นถ้าไม่ใช่ปิติญาดา ก็เธอเล่นอยู่ในชุดแต่งงานนี่นา เมื่อกินข้าวอิ่ม คณินก็พาเจ้าสาวกำมะลอไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย พร้อมทั้งให้เธอเ
“เอ่อ…” ผกามาศนิ่งเพราะกำลังใช้ความคิด หันมองหน้าสามีอย่างขอความช่วยเหลือ ก่อนจะนึกอะไรออก “แม่จะไปบวชชีพราหมณ์กับอาเพ็ญแขที่ต่างจังหวัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อสักสองสามเดือน ลูกไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะจ๊ะน้ำมนต์” “เหรอคะ” ปิติญาดาทำเสียงเศร้า แต่ทางผู้ใหญ่ทั้งสี่กลับหายใจหายคอเหมือนกับโล่งอกที่ประเด็นนี้สามารถจบได้อย่างสวยงาม ไม่มีอะไรให้ปลายสายสงสัย แต่ก็ไม่วายที่คนเป็นลูกจะถามอีกประเด็นที่เป็นห่วง “แล้วที่บริษัทละคะแม่ โอเคหรือเปล่า?”“โอเคจ้ะ ลุงมงคลจะเข้าไปดูแลให้ในช่วงนี้ ถ้าเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย แม่จะบอกให้หนูกลับมาสานต่องานของพ่อนะน้ำมนต์” ข่าวนี้ทำให้ปิติญาดายิ้มออกมาได้แม้จะนิดหน่อยก็ตามที อย่างน้อยพนักงานที่บริษัทก็ยังไม่ตกงาน “หนูจะรอวันนั้นค่ะแม่” “จ้ะลูก ไปอยู่บ้านพี่เขาช่วยอะไรได้ก็ช่วยนะน้ำมนต์” “ค่ะแม่” คนเป็นลูกเอ่ยรับอย่างจำยอม เธอจะค้านความตั้งใจของแม่ได้ยังไง ในเมื่อท่านจะไปถือศีลให้พ่อแบบนี้ จะกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะคนพวกนั้นดักซุ่มอยู่ เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เรื่องบริษัทก็วางใจได้ในส่วนหนึ่ง แม้จะไม่มากเพราะเกรงใจที่ต้องให้คนอื่นไปดูแลแทน ถึงจะไว้ใจแล
“ยายน้ำเน่า” คำเรียกครั้งที่สองของคณินที่ห้วนและดังกว่าเดิมทำเอาปิติญาดาสะดุ้งรู้สึกตัว นั่งตัวตรงแด่วกันเลยทีเดียว ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ไล่ความง่วง แต่ก็ยังมึนๆ อยู่ “หลับเป็นตาย จับส่งขายซะดีไหม” “ถึงแล้วเหรอ” คนขี้เซาถามก่อนจะมองไปมารอบๆ อย่างสำรวจ สมองส่วนการตอบโต้ของปิติญาดายังทำงานไม่เต็มที่นัก เธอจึงไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขาให้สาสม “อืม...ตื่นได้แล้ว” พูดจบเขาก็เดินนำหน้าเธอเข้าไปในบ้าน แต่จังหวะที่ปิติญาดากำลังจะก้าวลงจากรถ ลมแรงๆ มาจากไหนก็ไม่รู้พัดไปมาอยู่รอบๆ ตัวเธอจนต้องหลับหูหลับตา ข้าวของในรถที่น้ำหนักเบาก็ปลิวเต็มไปหมด สักพักก็หยุด ทำเอาคนแปลกถิ่นออกแนวขนลุก เพราะคิดว่าถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ เข้าแล้ว จึงรีบขยับตามคณินเข้าไปในบ้าน แต่เท้าของเธอกลับเหยียบการ์ดสีชมพูที่หล่นอยู่บนพื้นเข้าแบบไม่ตั้งใจ“อะไร” ปิติญาดาก้มไปหยิบขึ้นมาถือไว้ ที่หน้าการ์ดมีคำว่า ‘เรียนเชิญ คุณคณิน ภูมิภักดีเกียรติ’ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าคือการ์ดแต่งงาน ไม่รู้ปลิวมาจากที่ไหน เธอจึงหยิบติดมือเพื่อจะเอาไปคืนให้เจ้าของ ขณะที่เดินเข้าบ้านปิติญาดาก็ขอสำรวจไปด้วย บ้านทั้งหลังถูกออกแบบไว้อย่างสวยงาม ม
เกือบเที่ยงคืน พ่อแม่ของปิติญาดาและคณินกำลังจะรอขึ้นเครื่องบินเพื่อไปท่องเที่ยวยุโรป ทั้งสี่คนมีสีหน้าของความเป็นสุขที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้วางแผนไว้แม้แต่น้อย กลับเออออห่อหมกบอกว่ากลับจากเที่ยวครั้งนี้อาจจะได้ข่าวดีเรื่องหลานก็เป็นได้ ทั้งสี่คนจึงพากันหัวเราะชอบใจ ผกามาศนั้นเตี้ยมกับคนที่บ้านไว้แล้วว่าถ้าปิติญาดาโทรถามถึงตนให้บอกไปแบบไม่ต้องคิดว่าออกไปวัดป่า บวชชีพราหมณ์ ส่วนเรื่องที่บริษัทศรชัยก็จัดการไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนกัน ไม่ให้ทุกอย่างสะดุดและถึงหูของลูกสาวเป็นอันขาด ผิดกับคนเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่รักแกซึ่งตอนนี้ยังคงนอนกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง สลับกับถอนหายใจเฮือกๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเต็มสมองไปหมด เธอจะอยู่ที่นี่ยังไง จะเดินหน้าถอยหลัง หาเงินมาใช้หนี้วิธีไหน คิดแล้วน้ำตาก็พานจะไหล“พ่อจ๋า แม่จ๋า น้ำมนต์จะเดินทางไหนดี” ปิติญาดาเพ้อถึงพ่อแม่ ความสงสารตัวเองเกิดขึ้นทันที คราวนี้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลอาบแก้ม เธอปิดหน้าร้องไห้ ใจนั้นไม่อยากร้องออกมา เพราะนั่นแสดงว่าเธอกำลังอ่อนแอ แต่เวลานี้หญิงสาวกลับอยากร้องไห้กับตัวเองสักครั้ง ร้องให้สาแก่ใจ และต่อจากนี้เ
“คิดจะทำอะไรต่อไป”“อืม…อย่างแรกที่อยากทำคือหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อนายให้เร็วที่สุด” แม้จะยาก เพราะเงินมากมายแบบนั้นเธอจะหามาได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ปิติญาดาก็ยังหวัง เพราะไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบริษัท แม้คนอื่นที่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ของพ่อก็ตามที “วิธีหาเงินล่ะ ยังไง” คณินขมวดคิ้วยุ่งถามขึ้น พูดน่ะมันง่ายแต่ทำนะมันยาก ต้องวางแผนให้ดี หนึ่งสองสามสี่ จะเดินไปทางไหน แต่จะว่าไปพ่อแม่เขาไม่เห็นพูดเลยนี่น่าว่าอยากได้เงินคืน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บอกปิติญาดาให้รู้เรื่องนี้ ปล่อยให้หญิงสาวทำตามที่ต้องการไปแล้วกัน “ตอนนี้ยังมึนๆ อยู่ ก็เลยยังคิดอะไรดีๆ ไม่ออก”“อืม” คนฟังเอ่ยรับสั้นๆ อย่างเข้าใจ เพราะถ้าเกิดเรื่องกับเขา พ่อเสียชีวิต เจ้าหนี้โผล่มาบอกว่าเป็นหนี้หลายร้อยล้าน ต้องแต่งงานใช้หนี้ แต่สุดท้ายเธอกับเขากลับต้องแต่งงานบังหน้า แต่ละเรื่องที่พบเจอ ถ้าไม่เกิดกับตัวเองใครจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง นั่งเงียบอยู่สักพัก ปิติญาดาก็เอ่ยขึ้น“อ้อ…ขอถามอะไรหน่อยสิ” “ว่ามา” ชายหนุ่มวางช้อนลงเพราะเขากินข้าวไข่เจียวหมดจานแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองปิติญาดา รอฟังว่าเธอจะถามอะไรอีก “ที่ลำปางขึ้นชื่อเรื่
“อ้าว! ป้าชื่น มาส่งปิ่นโตให้คุณคิงส์เหรอครับ” จามรผู้จัดการโรงงานเอ่ยทักป้าชื่นอย่างสนิทสนม เพราะรู้จักกันมานานหลายปี “เปล่าจ้ะ พอดีพาคุณน้ำมนต์มาดูโรงงาน”“ว่าอยู่ เพราะคุณคิงส์กลับออกไปแล้ว” คนถามเอ่ยรับ ก่อนจะเอ่ยต่อเพราะมีบางสิ่งสงสัย “แล้วคุณน้ำมนต์นี่ ใครกันป้า” ขณะพูดสายตาของจามรก็มองไปยังหญิงสาวหน้าตาสวยที่มาพร้อมกับป้าชื่น เห็นครั้งแรกเธอก็ออร่าออกซะขนาดนั้น มีใครบ้างไม่สนใจ “ญาติคุณคิงส์” ป้าชื่นเอ่ยบอกอย่างให้เกียรติหญิงสาว เพราะเมื่อเช้าได้ถามเจ้านายหนุ่มแล้วว่าปิติญาดาที่มาด้วยนั้นเป็นใคร ซึ่งได้คำตอบว่าเป็นญาติ แต่เหตุผลที่มาด้วยนั้นคณินไม่ได้บอก และป้าชื่นก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องถามให้มากความ “อ๋อ…” ผู้จัดการโรงงานเอ่ยรับเสียงสูง เขานั้นไม่ได้คิดอะไร ที่ถามเพราะแค่อยากรู้ ก่อนจะเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับป้าชื่น พออยู่ตรงหน้า ป้าชื่นก็แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการ “คุณน้ำมนต์ค่ะ นี่คุณจามร ผู้จัดการโรงงานค่ะ” “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทัก พร้อมส่งยิ้มให้ การมาของ ปิติญาดา ทำให้พนักงานหลายคนในโรงงานต่างพากันสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่ไม่นานก็ได้รู้ว่าหญ
“อ้อ...ค่ะ น้ำมนต์กับ เอ่อ...พี่คิงส์เราเป็นญาติห่างๆ กัน” ไหนๆ ก็ไหนๆ ปิติญาดาก็ปล่อยเลยตามเลยลอยตามน้ำไปแล้วกัน แต่การเรียกชายหนุ่มว่าพี่อย่างสนิทสนมแบบนั้น สำหรับเธอไม่ชินปากเลยจริงๆ ต่อไปอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็คงต้องเรียกแบบนี้ละมั้ง “เหรอครับ ถ้ารู้ เราคงได้ทำความรู้จักกันเร็วกว่านี้ก็เป็นได้” เขตไทยรุกหนักแบบไม่ปกปิด ถึงจะพึ่งพบหน้ากันครั้งแรก แต่ชายหนุ่มนั้นขอปักธง หวังจีบปิติญาดาเต็มที่ เพราะหญิงสาวตรงสเปคเขาไปเสียทุกอย่าง หน้าตาน่ารักสวยเลยก็ว่าได้ ผิวก็สวย หุ่นยังดี เป็นนางแบบได้สบายๆ แถมตาคู่สวยของเธอ ยามที่เขาสบตามองด้วยก็ยิ่งมีเสน่ห์น่าค้นหา “ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ถึงจะยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยมีผู้ชายมาขายขนมจีบ ก็เลยพอจะมองท่าทางและแววตาของเขตไทยออก ส่วนจามรนั้นส่ายหน้าให้เพราะดูท่าเขตไทยจะเอาจริง“แล้วน้องน้ำมนต์มาทำอะไรที่นี่ครับ เที่ยวเหรอ” เขตไทยเอ่ยเรียกปิติญาดาอย่างสนิทสนม ซึ่งคนถูกเรียกก็เหมือนจะขัดอะไรไม่ได้เสียด้วย “เปล่าค่ะ น้ำมนต์มาเรียนรู้งานที่นี่ เผื่อมีอะไรน่าสนใจทำ” สถานการณ์ของเธอตอนนี้ เรื่องเที่ยวไม่มีในสมอ
“พี่ธร!” ภรรยาตามกฏหมายถึงขั้นอึ้ง เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าตอบแบบนี้กลับมา โยนความผิดไปยังผู้หญิงที่ยืนหลบหลังชายหนุ่มทันทีว่าคือตัวต้นเหตุในการเปลี่ยนไปครั้งนี้ของพงศธร“บัวก็รู้ว่าพี่อยากมีลูก แต่บัวก็กลัวหุ่นจะเสีย กลัวจะไม่สวยและอีกสารพัดข้ออ้าง”“แต่เราคุยกันอีกครั้งก็ได้ บัวอาจจะเปลี่ยนใจยอมมีลูกกับพี่ก็ได้” กิ่งดาวเริ่งอ่อนลง ไม่คิดว่าการที่เธอไม่ยอมมีลูกจะทำให้ผู้ชายที่เธอคิดว่าเขารักเธอมากยอมทำได้ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้“อาจจะเปลี่ยนใจงั้นเหรอ” พงศธรยิ้มเหยียดออกมา ถึงขั้นนี้กิ่งดาวก็ยังใช้คำว่าอาจจะ แทนที่จะพูดว่าเธอยอมมีลูกกับเขา“ใช่...แต่นังนี่กลับปล่อยให้ตัวเองท้อง ฉันจะฆ่าแกนังสารเลว แย่งผัวชาวบ้าน” คำแต่ละคำที่กิ่งดาวพูดออกมาช่างไม่เหมือนกิ่งดาวคนที่พงศธรรู้จักสักนิด“หยุด...ต่อให้บัวพูดยังไง ตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว”“เพราะนังเมียน้อยนี่ใช่ไหม เพราะมัน พี่ถึงเป็นแบบนี้” สติของกิ่งดาวเริ่มหลุด เธอไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่นอน ปลายฟ้านั้นไ
“นิดหน่อยค่ะ” มือหนาของเขตไทยยกขึ้นสัมผัสแก้มนวลของต้องหทัยเบาๆ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงเป็นบ้า“งั้นเราไปหาอะไรกินข้าวกันก่อนดีกว่า อาหารเหนือที่นี่อร่อยมาก”“ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไป เขตไทยกระชับมือบางที่เขากุมอยู่แน่น ก่อนจะหันมาขโมยหอมแก้มเธอหนักๆ ให้ได้หายคิดถึง ต้องหทัยจึงฟ้อนเล็บตอบแทนเขาไปชุดใหญ่กับการทำอะไรประเจิดประเจ้อจนส่งผลต่อใบหน้าเธอให้รู้สึกร้อนผ่าวๆ อยู่ขณะนี้เขตไทยสั่งอาหารขึ้นชื่อของทางรีสอร์ตให้ต้องหทัยได้ลองชิม หญิงสาวนั่งมองหน้าเขานิ่ง มือทั้งสองคนยังคงกุมกันอยู่ คล้ายจะกลัวว่าถ้าปล่อยคนใดคนหนึ่งจะหายตัวไปแบบนั้น แม้จะอยากถามเขาว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างเธอก็ไม่ถาม กลับชวนคุยเรื่องอื่นรอให้ทานอิ่มค่อยถามก็ได้แต่ขณะทานข้าวอยู่นั้นชายหนุ่มกลับถามเธอขึ้นมาก่อน เพราะรู้ว่าเธอเองก็มีเรื่องให้กังวลอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะถ้าต้องหทัยบอกชื่อว่าเพื่อนคนที่เธอตามหาว่าเป็นใคร เขตไทยคงช่วยได้นานแล้ว“แล้วหมวยตามหาเพื่อนพบหรือยังครับ”“
“ปล่อยเธอได้แล้วเสี่ย” เสียงของคณินดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเสี่ยโกศลลงเรือไปแล้ว“เออ...” เสี่ยโกศลยอมทำตามสัญญาของลูกผู้ชาย แม้ลึกๆ ยังอยากได้ตัวประกันไว้กับตัว เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะรอดจากตำรวจได้จริงๆ แต่พอมาคิดดูปิติญาดาจะเป็นภาระในการหนีเสียมากกว่า และมั่นใจว่าวิธีหนีทางน้ำของตนนั้นต้องได้ผลแน่ เนื่องจากมีจุดลับขึ้นฝั่งไว้ในใจ ซึ่งทางตำรวจต้องคิดไม่ถึงเสี่ยโกศลใช้ปลายปืนแตะหลังของปิติญาดาให้เดินกลับขึ้นไป หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าหาฝั่ง เมื่อถึงคณินก็ยื่นมือมารับ ทั้งคู่กอดกันกลม หัวใจของปิติญาดาเต้นแรงพอๆ กับหัวใจของคณิน เขาโล่งอกที่เธอปลอดภัยแต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเสียโกศลเลือกที่จะเอาคืนปิติญาดาให้หายเจ็บใจ จังหวะที่บังคับเรือเพื่อจะหลบหนีกลับเล็งปลายกระบอกปืนมายังหญิงสาว หวังจะยิงแก้แค้นที่กล้าสมรู้ร่วมคิดกับตำรวจซ้อนแผนจับเขาแบบนี้ปัง!เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ปิติญาดาสะดุ้งเพราะเมื่อครู่เธอถูกเหวี่ยงให้มาหลบอยู่ในอ้อมกอดของคณิน ชายหนุ่มรับกระสุนปืนนัดนี้แทนเธอ ร่างหนาถึงกับทรุด&ld
ปัง!เสียงปืนที่ดังขึ้นหนึ่งนัด ทำให้เสี่ยโกศลไหวตัว เพราะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ส่งของวันนี้ก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก จะหมุนตัวกลับแต่รถก็อยู่ไกลเกินไป ถ้าถูกจับได้จะไม่คุ้มเสี่ยง จึงต้องหาตัวประกัน ซึ่งจะมีใครเหมาะกับตำแหน่งนั้นไปเสียไม่ได้ นอกเสียจากปิติญาดาเมื่อคิดแบบนั้น จึงตรงเข้าไปหาเป้าหมายซึ่งเธอยืนนิ่งอย่างไม่รู้ตัว คณินเห็นว่าเสี่ยโกศลเดินตรงไปหาปิติญาดาแล้วและรู้ว่าต้องมีแผนไม่ดีแน่แต่เขากลับขยับตัวช้าไป เพราะตอนนี้เสี่ยโกศลถึงตัวหญิงสาวเสียแล้ว พร้อมกับปืนที่นำมาจ่อข้างขมับเธอ“พี่คิงส์”“ทำอะไรนะเสี่ย...ปล่อยเธอ!” สีหน้าของคณินบ่งบอกว่าชายหนุ่มโกรธมากที่เสี่ยโกศลเลือกใช้วิธีนี้ แต่มีหรือคนถูกสั่งจะยอมทำตามง่ายๆ ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป แต่ถ้ามีขึ้นมาเขาต้องไม่ถูกจับ ต้องรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ สิ่งที่เสี่ยโกศลทำในตอนนี้เหมือนย้ำในความผิดของตนให้ชัดขึ้น ถ้าไม่ร้อนตัวก็คงไม่หาทางออก“ปล่อยให้โง่น่ะสิวะ พวกมึงคิดจะจับกูเหรอ ไม่มีทาง”“จับอะไร ผมไม่รู้เร
งานด้านนอกที่ได้รับหมอบหมายนั้นเหมือนจะไม่มีอะไรมาก ก็แค่การจัดเตรียมของใส่สายพานให้เคลื่อนเข้าไปภายในเท่านั้น แม้จะถามคนที่ทำงานด้วยว่าด้านในมีอะไรแต่ก็ไม่มีใครพอจะให้คำตอบอนุภพได้เลยสักคน ขณะทำงานก็คอยสังเกตรอบๆ ตัวไปด้วย แต่ก็นึกอะไรขึ้นได้ ร้อยตำรวจเอกอนุภพถือวิสาสะเดินเข้าไปภายในส่วนต้องห้ามทันที พอเห็นว่าด้านในทำอะไรอยู่เขาถึงกับตะลึง เพราะตรงหน้าคือขั้นตอนการลักลอบนำเฮโรอีนใส่ไว้ใต้ฐานเซรามิคที่จะส่งออก ในที่สุดเขาก็รู้จนได้“เอ็งเข้ามาทำอะไรในนี้ รีบออกไป” ดำเอ่ยสั่งเสียงห้วน เพราะไม่อยากให้เสี่ยโกศลมาเห็น เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนที่เข้ามาในนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นตายมานักต่อนักแล้ว“ขอโทษทีพี่ดำ ฉันลืมเอาเงินค่าส่งยานี่ให้พี่”“เออๆ เสร็จแล้วเอ็งก็ออกไป ไป!” ขณะพูดก็ดันหลังอนุภพให้กลับออกไปด้วย นายตำรวจหนุ่มก็ยอมทำตามอย่างไม่อิดออด อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ขั้นตอนที่สำคัญเข้าให้แล้ว ที่เหลือก็แค่จับกุมเสี่ยโกศลในวันส่งของให้ได้คาหนังคาเขา คล้อยหลังที่อนุภพเดินกลับออกไปเสี่ยโกศลก็เดินออกมา“ใครดำ”
หลังจากสร้างข่าวและทำตัวให้เป็นที่น่าสนใจนานพอสมควรหมิงต้าก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง โดยเริ่มจากการรับนัดมิสเตอร์จางเป็นคนแรก การพูดเริ่มต้นแบบไม่มีอ้อมค้อม เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างทำอะไรในธุรกิจมืด ฟังผิวเผินจะเหมือนการต่อรองธุรกิจทั่วๆ ไป แต่สินค้าที่พวกเขาหมายถึงนั่นคือเฮโรอีน ด้วยความที่มิสเตอร์จางอยากได้หมิงต้าคนนี้เข้าร่วมกลุ่มด้วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเจรจาซื้อขายจึงดูจะง่ายสำหรับนายตำรวจนอกเครื่องแบบมาก“แล้วนี่คุณจะนำของจากไทยเข้าจีนได้ยังไงกัน” แม้จะรู้ช่องทางแต่หมิงต้าก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ มิสเตอร์จางคลี่ยิ้มก่อนจะยอมบอกเพราะเห็นว่าเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน“ง่ายจะตายไป วิธีง่ายๆ ที่ใครก็คิดไม่ถึง”“อืม…ผมชักอยากจะเห็นกับตาแล้วสิว่าวิธีที่ว่านั่นคืออะไร” หมิงต้าอมยิ้ม สบตามิสเตอร์จางให้เห็นว่าเขาเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู“วันรับของก็รู้เองครับ”“ผมจะรอวันนั้น” มิสเตอร์จางพยักหน้ารับ คิดไม่ผิดที่ขอพบหมิงต้า เพราะเขาสั่งซื้อในจำนวนมหาศาลจริงๆ ลูกค้าเก่าเทียบไม่ได้สักคน ถ้าได้ทำงานด้วยหลายคร
“แน่ใจเหรอครับ”“คิงส์!” เพ็ญแขผุดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แทบจะทันที ก่อนจะมองหน้าสามีเลิ่กลัก มงคงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยถาม หวังให้ลูกชายไม่ได้ยินการสนทนาของเขากับภรรยาเมื่อครู่ แต่เหมือนจะไม่เป็นผล“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก”“ก็นานพอที่จะได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องคลุมถุงชนอะไรนั่น ตกลงแล้วพ่อของน้ำมนต์ยังไม่เสียชีวิตใช่ไหมครับ เจ้าหนี้บ้าๆ นั่นก็คงไม่มี เรื่องทั้งหมดก็แค่การจัดฉากให้ผมกับเธอแต่งงานกัน” คณินมองพ่อและแม่สลับกันไปมา ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงคิดทำเรื่องใหญ่โตแบบนั้นได้ ในเมื่อความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป มงคลจึงเอ่ยตามความจริง“ที่พ่อกับแม่ทำก็เพราะหวังดีทั้งนั้น ถ้าไม่ทำแบบนี้ลูกกับหนูน้ำมนต์ก็คงไม่ได้แต่งงานกัน”“ความหวังดีมีอีกตั้งมากที่จะแสดงออก แล้วที่สำคัญพ่อกับแม่รู้ได้ยังไงว่าผมกับเธอจะไปด้วยกันได้จริงๆ”“แต่ตอนนี้พ่อกับแม่ก็คิดไม่ผิดไม่ใช่เหรอ แกกับหนูน้ำมนต์กำลังรักกันอยู่” คำพูดของพ่อคณินไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าผลที่
“ได้ข่าวน้ำมนต์หรือยังค่ะพี่วศิน” นี่คือประโยคที่ภคมณมักจะถามสามีของเธอเป็นประจำ“ยังเลยครับ แต่ไม่มีข่าวร้ายเข้ามา เราก็คงโล่งอกไปได้บ้าง” วศินโอบรอบเอวภรรยา ที่พักนี้ดูจะมีน้ำมีนวลมากขึ้น แต่ก็ไม่กล้าทักเพราะกลัวภคมณจะงอน ตีความหมายคำว่ามีน้ำมีนวลของเขาเป็นว่าเธออ้วน งานได้เข้าแน่ๆ“เฮ้อ!” ภคมณถอนหายใจออกมาเพราะกลุ้มใจเรื่องนี้ ทุกวันที่ผ่านไปหญิงสาวกังวลแต่เรื่องของปิติญาดาจนลืมสังเกตความผิดปกติที่เกิดกับร่างกายของตัวเอง เมื่อเธอเข้าไปนั่งในห้องรับแขกเด็กรับใช้ที่บ้านก็ถือถาดมะม่วง มะยมและอีกสารพัดของเปรี้ยวของมาให้นายสาวตามคำสั่งคนท้องซึ่งยังไม่รู้ตัวหยิบผลไม้รสเปรี้ยวเข้าปาก ขณะเคี้ยวสีหน้าไม่ได้แสดงอาการว่าเปรี้ยวแต่อย่างใด แต่คนมองอย่างวศินกลับรู้สึกเสียวฟันเสียเอง แต่สักพักก็ตาโตก่อนจะวิ่งขึ้นไปห้องนอนที่อยู่ชั้นบน ควานหากล่องอะไรสักอย่างในลิ้นชัก เมื่อพบก็รีบวิ่งลงมาหาภคมณที่ชั้นล่างซึ่งยังไม่ละมือจากของเปรี้ยวตรงหน้า“เข้าห้องน้ำ” เสียงตื่นเต้นของวศินเอ่ยบอก หัวใจเข้าเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
หลังจากถูกจับตัวมานานหลายชั่วโมง ปิติญาดาก็ถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านได้ เธอตั้งมั่นในใจว่านี่ต้องเป็นการถูกตำรวจจับครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของเธอ แต่ก่อนจะเข้าบ้านคณินแวะไปดูความเรียบร้อยที่โรงงาน แต่สั่งให้หญิงสาวนั่งรออยู่ในรถเท่านั้น จามรถูกเรียกตัวเข้าพบก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะสั่งการอะไรบางอย่าง แม้จะไม่รู้อะไรมาก แต่จามรก็พยักหน้ารับหลังจากเสร็จธุระที่โรงงาน คณินก็ขับรถพาปิติญาดากลับบ้าน แต่ก็มาพบอีกหนึ่งหนุ่มที่นั่งรอหน้าเครียดอยู่ คณินดุนหลัง ปิติญาดาให้เข้าไปในบ้านก่อน หญิงสาวก็ยอมทำตามเพราะรู้สึกเหนื่อยมากแล้วนั่นเอง เขตไทยได้แต่มองตาม เพราะรู้ว่าเขาจะถามเอาความจริงจากเพื่อนได้“วันนี้เกิดอะไรขึ้นวะไอ้คิงส์”“เปล่า”“เปล่าอะไร ป้าชื่นบอกข้าว่าวันนี้ตำรวจไปจับน้องน้ำมนต์ถึงโรงงาน เรื่องบ้าอะไร ถ้ายังเห็นว่าข้าเป็นเพื่อนรักอยู่ละก็ เล่ามาให้หมด”“ข่าววงในจริงนะเอ็ง” คณินส่ายหน้า เขาอุตส่าห์กำชับคนทั้งโรงงานว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้อย่าพูดเด็ดขาดหรือถ้าจะพูดก็ให้พูดในเรื่องที่เขาแต่งขึ