ความรักวุ่นๆ ระหว่างปิติญาดาและคณิน ที่บิดามารดาของทั้งคู่ เล่นละครฉากใหญ่เพื่อที่จะจับบุตรสาวและบุตรชายของพวกเขาให้ได้แต่งงานกัน แต่การแต่งงานครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะราบรื่น เมื่อมีอุปสรรคจากถ่านไฟเก่าเข้ามาแทรกแซง
더 보기รถยุโรปคันสวย แล่นไปตามถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ความที่บรรยากาศรอบข้างช่างเงียบเชียบจนน่าวังเวงชวนขนหัวลุก มือน้อยๆ ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่จับพวงมาลัยรถอยู่นั้นจึงเอื้อมไปเปิดวิทยุ นิ้วเรียวสวยจิ้มเลือกสถานีมาสักหนึ่งสถานีเพื่อฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่เจาะจง สายตาก็ไม่ได้ละไปจากท้องถนนตรงหน้า ก่อนที่หูจะสะดุดกับเพลงที่กำลังดังขึ้น จนหัวทุยๆ ที่จัดแต่งทรงผมมาอย่างสวยงาม แทบจะทิ่มไปกับพวงมาลัยรถ
‘งานแต่งที่ใด เป็นได้แค่แขกรับเชิญ อยากแต่งกับเขาเหลือเกิน ขัดเขินที่ยังไร้คู่…’ ปิติญาดาอยากจะหักพวงมาลัยในมือชนต้นไม้ข้างทางให้รู้แล้วรู้รอด เพลงอะไรช่างเปิดได้ประจวบเหมาะกับชีวิตเธอตอนนี้เสียเหลือเกิน หญิงสาวละมือจากวิทยุมากำพวงมาลัยทั้งสองข้าง ไม่ได้เปลี่ยนสถานีหนีเพลงที่ดังขึ้นแต่เสียดแทงใจดำคนโสดแต่อย่างใด นั่งฟังไปอย่างนั้น ตอกย้ำคนโสดไร้คู่อย่างเธอให้ถึงที่สุดกันไปข้าง อายุอานามก็จะแตะเลขสามเข้าไปทุกขณะ ก็ยิ่งกลัวว่าคานทองนิเวศที่ไม่ต้องการจะหล่นตุ๊บลงมาบนตัก “เฮ้อ!!” เสียงถอนหายใจของคนโสดดังออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนจะสำรวจตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เธอไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เสียหน่อย สมัยเรียนเป็นถึงอดีตดาวมหาวิทยาลัยเชียวนะ ฐานะทางบ้านก็ดีในระดับหนึ่ง เป็นลูกสาวคนเดียวเสียด้วย แต่ทำไมถึงไร้คู่ก็ไม่รู้ได้ หรือเธอจะต้องห้อยโหนบนคานทองจริงๆ หรือนี่ คิดแบบนั้นคนสวยถึงกับแยกเขี้ยวให้ตัวเองผ่านกระจก ขณะที่คิดเรื่องนี้ สายตาก็เหลือบมองไปเห็นของชำร่วยชิ้นน่ารักกับช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่วางไว้ตรงกระจกหน้ารถ สองชิ้นนี้เธอพึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่ถึงสามชั่วโมงก่อน ในงานแต่งงานของภคมณเพื่อนสนิทกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่ชิ่งตัดหน้า แซงทางโค้ง แต่งงานไปก่อนเธอ ทั้งๆ สมัยละอ่อนเคยสัญญากันไว้เสียดิบดี ว่าจะอยู่โสดๆ ในแบบฉบับสาวสวยๆ รวยๆ เริ่ดๆ ไปจนแก่ แถมงานแต่งงานคราวนี้เธอได้รับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวแบบไม่ตั้งตัว ในงานจึงถูกแซวว่าจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ซึ่งปิติญาดานั้นได้แต่ส่ายหน้าให้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ทางเป็นแบบนั้นได้แน่นอน พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ชวนให้ย้อนคิดถึงอดีต “เราสองคนจะอยู่กันแบบนี้ ถึงไม่มีผู้ชายก็ไม่แคร์” คำพูดและภาพในอดีตตอนที่ภคมณเอ่ยปฏิญาณด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาก็จริงจังประหนึ่งจะไปออกรบฉายเข้ามาในความคิดของปิติญาดา ก่อนที่ทั้งสองคนจะเกี่ยวก้อยสัญญา แต่ภาพต่อมาคือภาพที่ภคมณสวมชุดเจ้าสาวซะอย่างนั้น “คุณเพื่อนขี้จุ๊ ชิชิ” ปิติญาดาทำปากยื่นปากยาวให้ภคมณ วันนี้ที่สวยเปล่งปลั่งสมเป็นเจ้าสาว ถึงจะหวิวๆ แต่ภาพนั้นก็ทำเอาเธอน้ำตาคลอ ปลื้มใจแทนเพื่อนรักที่ต่อไปนี้มีชายหนุ่มผู้แสนดีมาคอยดูแลไปตลอดชีวิต ส่วนเธอต่อไปนี้ก็คงใช้ชีวิตตามประสาคนโสดต่อไป แต่พอคิดแบบนั้นลูกศรของความโสดก็แล่นมาปักอกดังฉึก! ‘ตกลงสาวสวยอย่างเธอคือคนสุดท้ายของกลุ่มที่ยังไม่แต่งงานใช่ไหม’ คิดแล้วแค้นใจ มือสวยบีบพวงมาลัยรถจนแน่นริมฝีปากบางอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนที่จะตั้งสติขับรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ใจนั้นเปลี่ยวเหงา ปีนี้ปิติญาดานั้นอายุย่างเข้ายี่สิบแปดแล้ว เป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวอารายานนท์ ซึ่งมีบิดาที่ชื่อศรชัยเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่หัวหน้าครอบครัวที่แท้จริงดูเหมือนจะเป็นภรรยาที่ชื่อผกามาศมากกว่า ผู้ซึ่งมีตำแหน่งมารดาของเธอพ่วงมาด้วย เพราะดูเหมือนคุณนายผกามาศจะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของบ้าน เพราะสามีของคุณนายผกามาศหรือพ่อของปิติญาดานั้นอยู่สมาคมกลัวเมียมาตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ครอบครัวของปิติญาดาประกอบอาชีพด้านพลังงาน มีปั๊มน้ำมันอยู่หลายแห่งทั่วประเทศไทยเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่งก็ว่าได้ แม้จะไม่ใช่เศรษฐีเก่า แต่เรื่องเงินทองทรัพย์สมบัติเชิดหน้าชูตาก็มีไม่น้อยหน้าใคร การมีลูกสาวคนเดียวแถมยังไม่ได้แต่งงานแต่งการหรือไม่มีข่าวเรื่องคบหาใครเป็นพิเศษ ทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่กลัดกลุ้มไม่น้อย จนต้องปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอยู่เนืองๆ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น สองสามีภรรยานั่งจับเข่าคุยคล้ายปรับทุกข์กันในห้องนอน ต่างมองหน้าและถอนหายใจออกมาเฮือกๆ พวกเขามีแผนไว้ในใจแล้วว่าจะทำยังไงให้ปิติญาดาได้ลงจากคาน เป็นแผนอันบ้าดีเดือดที่ทุกคนคิดไม่ถึงแน่นอน แต่ถ้าแผนไม่สำเร็จ ต่างก็กลัวว่าจะสูญเสียลูกสาวคนเดียวคนนี้ไปเพราะความโกรธเกรี้ยว ถึงจะเสี่ยงก็ต้องยอมเสี่ยงกันสักครั้ง “แน่ใจนะคะคุณว่าจะได้ผล” น้ำเสียงของผกามาศดูหวาดหวั่นชอบกล ชักไม่แน่ใจว่าแผนคลุมถุงชนครั้งนี้จะได้ผลจริงๆ ถ้าพลาดขึ้นมาเธอแทบไม่อยากจะคิด “ได้ผลสิ ถ้ายายน้ำมนต์ของเราได้แต่งงานนะ ไม่เกินปี เราตายายจะได้อุ้มหลานน่ารักน่าชังแน่นอน คุณไม่อยากอุ้มเหรอ” คำพูดของสามีทำเอาผกามาศปฏิเสธไม่ออกแต่ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี “อยากน่ะมันอยากอยู่แล้ว แต่…” “ไม่มีแต่แล้วคุณอ้อย เราต้องเดินหน้าลุยอย่างเดียว” ศรชัยเอ่ยอย่างมั่นใจ งานนี้มีแต่ลุยคำเดียวเท่านั้น สองสามีภรรยาพยักหน้าให้กันและกันอย่างแน่วแน่พร้อมเดินหน้าต่อเต็มกำลัง มั่นใจว่าสายตาผู้ใหญ่สี่คู่มองไม่ผิด ว่าหญิงสาวที่ชื่อปิติญาดาและชายหนุ่มที่ชื่อคณินนั้นต้องมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติเป็นแน่ แม้ตอนเริ่มต้นจะเศร้าสร้อยและไม่ค่อยสวยงามเหมือนในนิยายก็ตามที ศรชัยและผกามาศมีนัดกับมงคลและเพ็ญแข ซึ่งทั้งสี่คนนั้นเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันตั้งแต่สมัยเรียนในวันรุ่งขึ้นเพื่อพูดคุยถึงเรื่องงานแต่งงานของลูกๆ พวกเขาให้เสร็จสิ้นในพรุ่งนี้ ต่างฝ่ายก็ต่างมีแผนไว้จัดการกับคนของตัวเอง เรียกได้ว่าไร้ซึ่งหนทางปฏิเสธได้แน่นอน ใช่ว่าพวกเขาอยากจะใช้วิธีนี้ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะพยายามนัดให้ลูกสาวลูกชายออกมาเจอกัน แต่ก็คลาดกันเสียทุกครั้งไป เหตุที่พวกเขาต้องรีบจัดแจงคลุมถุงชนให้เกิดขึ้นเร็วๆ เพราะวันก่อนคณินเข้ามาเปรยๆ กับเพ็ญแข ถามเรื่องแหวนแต่งงานอะไรทำนองนี้ คนเป็นแม่จึงพอจะเดาได้ว่าลูกชายมีความคิดจะสร้างครอบครัวเสียแล้ว และถ้าเดาไม่ผิดอีกอย่าง หญิงสาวที่ลูกชายเธอจะแต่งงานด้วยนั้นต้องเป็นกิ่งดาวแน่นอน ซึ่งงานนี้เพ็ญแขไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เพราะสะใภ้ตระกูลภูมิภักดีเกียรติต้องเป็นปิติญาดาคนเดียวเท่านั้นเมื่อได้เวลาสามหนุ่มก็มารับคนรักตามคำสั่ง วันนี้พวกเขาเป็นเหมือนคนนอก เพราะสาวๆ อยากคุยกันตามประสาผู้หญิง ส่วนผู้ชายตามสบายเหมือนกัน ขณะนั่งรถกลับบ้านปิติญาดาหันมามองหน้าคณินคล้ายมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดจนเขาต้องถามขึ้น“มีอะไรจะคุยกับพี่หรือเปล่าคะ”“อืม...ไม่มีค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คณินก็ยังถามย้ำ“แน่ใจนะ”“ค่ะ” ปิติญาดาเอ่ยรับ จะให้บอกเขาได้ยังไงว่าเธอรอให้เขาคุกเข่าขอแต่งงานอยู่ ขืนพูดไปแบบนั้นคณินได้หัวเราะแล้วหาว่าเธอเพี้ยนแน่ๆ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้พี่คิงส์ไปไหนมาคะ”“แวะไปหาเพื่อนเก่ามาครับ ไปบอกเขาว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน”“เหรอคะ...แล้วหลังแต่งงานเราจะไปฮันนีมูนที่ไหนดี” หญิงสาวเอ่ยชักแม่น้ำทั้งโลกมาพูดก่อนที่จะพูดเรื่องที่กำลังคิด“พี่ให้น้ำมนต์เลือก”“น้ำมนต์อยากไปสวิชเซอร์แลนด์”“ได้” คณินรับ
“คุณพูดอะไร บัวไม่เข้าใจ”“ไม่ต้องห่วงสเต็กจานนี้ไม่มียาแลนเนจนั่นหรอก”“คิงส์!” คำตอบของคณินทำให้กิ่งดาวนั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้จะหายใจด้วยซ้ำ เหงื่อมากมายแตกพลั่กใบหน้าซีดเผือก นั่งขดตัวหลบหน้าเขา“จำไว้ ว่าผมรู้ทุกอย่าง อย่าแม้แต่จะคิดทำร้ายคนที่ผมรักอีก เพราะครั้งต่อไปผมคงไม่น่านั่งคุยกับคุณอยู่แบบนี้”“คิงส์ บัวขะ…” คำขอโทษของกิ่งดาวหายเข้าไปในลำคอ เมื่อถูกคณินเอ่ยขัดขึ้น“ผมฆ่าคนได้โดยไม่ต้องใช้ยาพิษให้โง่ หวังว่าคุณจะไม่ใช่คนนั้น” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากบ้านกิ่งดาวทันที เจ้าของบ้านนั่งหัวใจเต้นรัวเพราะความกลัวเข้ามากุมหัวใจเธอเสียแล้ว ก่อนจะเริ่มอาการกระสับกระส่ายวิตกจริต มองซ้ายมองขวาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านกิ่งดาวขึ้นไปบนห้องนอนแล้วปิดประตูใส่กลอนแน่นหนา ก่อนจะควานหายานอนหลับมากินหลายสิบเม็ด คิดแต่เพียงว่าเธอต้องนอน เธอต้องหลับจะได้ไม่ต้องคิดมาก ตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะผ่านไปได้ เธอจ
คณินนั่งเฝ้าปิติญาดาในห้องพักฟื้นไม่ยอมลุกไปไหน ชายหนุ่มรั้งมือเธอมากุมไว้ก่อนจะจรดจมูกโด่งลงไปบนหนังมือนุ่มตรงหน้าหนักๆ หมอบอกว่าเธอปลอดภัยแล้วแต่เขายังไม่เชื่อจนกว่าปิติญาดาจะได้สติ โทษตัวเองว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขา ถ้าดูแลเธอมากกว่านี้กิ่งดาวก็คงไม่สามารถวางยาพิษได้“พี่ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขอโทษคนบนเตียงคนไข้ ซึ่งขณะนั้นปิติญาดาก็ค่อยๆ ขยับตัว หญิงสาวลืมตาขึ้นหลังจากนอนยาวมานานหลายชั่วโมง พอเห็นหน้าคณินก็ยิ้มให้“พี่คิงส์”“ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ปวดหัว ปวดท้อง อยากอาเจียนอีกไหม” คณินถามแบบไม่รอให้คนฟังได้มีเวลาตอบ คนฟังยิ้มให้เขาเพราะรู้ว่าเธอทำให้คณินห่วงเข้าให้อีกแล้ว“ไม่แล้วค่ะ” ปิติญาดาส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้วนี่น้ำมนต์เป็นอะไรคะ”“หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษ” ชายหนุ่มขอโกหกสักครั้ง เพราะไม่อยากให้ปิติญาดารู้ว่าความจริงคืออะไร ให้เธอเข้าใจแบบนี้ก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องกิ่งดาวที่หนีความผิดกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วนั้นเขาขอจัดการเอง
“อย่าพึ่งทานค่ะ” แต่เหมือนป้าชื่นจะมาช้าไปหนึ่งก้าว เพราะจังหวะนั้นปิติญาดาก็ถูกกิ่งดาวคะยั้นคะยอให้กินสเต็กเข้าไปแล้วหลายคำ“มีอะไรจ๊ะป้า” ปิติญาดาหันไปมองหน้าป้าชื่นซึ่งบ่งบอกว่าตกอกตกใจมาก“แมว แมวข้างบ้านมันตาย”“ก็แค่แมวตายอย่าแตกตื่นไปนักเลยป้าชื่น” กิ่งดาวเอ่ยเหมือนไม่พอใจที่ป้าชื่นเอะอะโวยวาย พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของปิติญาดา อีกนิดเดียวเท่านั้นแผนเธอก็จะสำเร็จแล้ว“แต่ข้างๆ แมวมีจานสเต็กที่คุณบัวเธอทำวางอยู่ด้วย” ได้ยินแบบนั้นปิติญาดาถึงกับหันมามองหน้ากิ่งดาวทันที“ก็ตอนอยู่ในครัวแมวมันมาร้องอยู่ข้างๆ ฉันสงสารเลยให้สเต็กกิน” หัวใจของกิ่งดาวเต้นรัว พยายามเร่งเวลาให้ยาพิษออกฤทธิ์เร็วๆ และก็จริงอย่างที่เธอต้องการ ส้อมในมือของปิติญาดาร่วงลงพื้น หญิงสาวตัวง้องุ้มเป็นกุ้งกุมหน้าท้องแน่นเพราะรู้สึกเจ็บขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ ลำคอแห้งผาก เหงื่อมากมายผุดขึ้นตามร่างกาย“คุณน้ำมนต์เป็นอะไรไปคะ” ป้าชื่นรีบเข้ามาพยุงตัวปิติญาดาทันที“ฉันอยากอาเจี
กิ่งดาวขับรถตระเวนซื้อของมาทำอาหารเย็นด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ ไม่ได้รู้สึกสำนึกต่อสิ่งที่ได้ก่อแต่อย่างใด ก่อนจะพยายามมองหาสิ่งที่เธอจะนำมากำจัดปิติญาดาจนกระทั่งสายตามองไปเห็นป้ายร้านขายยาปราบศัตรูพืช เธอเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าร้านทันที“ต้องการยาชนิดไหนครับ” เจ้าของร้านเอ่ยถามลูกค้าที่เข้ามา กิ่งดาวหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“คือ…ไม่ทราบว่าที่นี่มียาปราบศัตรูพืชแบบไม่มีกลิ่นแต่ประสิทธิภาพดีบ้างไหม”“มีครับ”“ถึงตายหรือเปล่า” กิ่งดาวถามตรงประเด็น เจ้าของร้านจึงพูดถึงสรรพคุณให้ลูกค้าฟังทันที“อย่าว่าแต่พวกหญ้าเลยคุณ ถ้าคนได้กินเข้าไปก็ไม่รอด”“เหรอ” แทนที่จะรู้สึกผิดแต่กิ่งดาวกลับรู้สึกว่าตนกำลังจะเป็นผู้ชนะ เส้นชัยใกล้มาถึงทุกขณะ ต่อจากนี้เธอก็จะได้อยู่กับ คณินอย่างมีความสุข“แล้วไม่ทราบว่าคุณต้องการมากแค่ไหน”“ขวดเดียวก่อน ฉันอยากรู้ว่าหญ้ารกโลกพวกนั้นจะตายจริงๆ ถ้าดีจะกลับมาซื้ออีก” กิ่งดาวยิ้มเหี้
กิ่งดาวไม่อยากตื่นแต่เช้าก็ต้องตื่นเพราะเธอออกมานั่งรอคณินที่หน้าบ้าน เธอพยายามโทรศัพท์ไปหาชายหนุ่มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกลับติดต่อไม่ได้เลย เพราะขณะนี้คณินและปิติญาดาอยู่กับครอบครัวและบรรดาเพื่อนสนิทอยู่นั่นเอง ทั้งหมดกำลังคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานของทั้งคู่ ซึ่งปิติญาดาอยากจัดงานที่ลำปาง เพราะที่นี่มีรีสอร์ตที่สวยๆ อยู่หลายแห่งวันนี้บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของปิติญาดาและคณินจะกลับกรุงเทพฯ ภคมณและวศินก็ด้วยเนื่องจากภคมณมีนัดกับคุณหมอเพื่อตรวจครรภ์ ส่วนต้องหทัยก็ต้องกลับเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เธอไม่ได้เป็นคนว่างงานจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระอย่างเช่นเมื่อก่อน หญิงสาวเลือกที่จะเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของครอบครัว ทั้งหมดแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เมื่อออกจากรีสอร์ตก็บ่ายแล้วคณินก็หันมองหน้าปิติญาดา“จะกลับบ้านเลยไหม”“ค่ะ…ต่อให้หลบหน้ายังไงก็คงต้องกลับไปเพราะนั่นคือบ้านเรา”“นั่นสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่คุยกับบัวให้รู้เรื่องเอง” ปิติญาดาพยักหน้าให้ชายหนุ่ม ทั้งคู่จึงขับรถตรงกลับบ้าน และ
댓글