공유

บทที่ 7

작가: แมวเหมียวผู้ขยันหมั่นเพียร
ใบหน้าของเฟิ่งชิงหร่านเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม สำนักที่ถูกต้องตามธรรมเนียมไม่มีสิ่งปลูกสร้างเลยสักหลัง นี่มันฟังดูเข้าท่าที่ไหนกัน?

ทว่าเย่เวิ่นเทียนก็ไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก พาเฟิ่งชิงหร่านตรงไปยังยอดเขาโม่จู๋

ทันทีที่ลงสู่พื้น เฟิ่งชิงหร่านก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นพิเศษสามดวงทันที หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าแพรลายเมฆาสีนิล ยิ่งมีรูปโฉมหล่อเหลางดงามหาใดเปรียบ คิ้วตาคมคายดุจภาพวาด ราวกับเป็นเซียนตกสวรรค์

ในสมองของเฟิ่งชิงหร่านปรากฏประโยคหนึ่งขึ้นมา เดินทางไกลสู่โลกหล้าในงานเลี้ยงอันน่าตื่นตา ยลโฉมความงามอันรุ่งเรืองแห่งโลกมนุษย์

เมื่อทั้งสามคนเห็นเย่เวิ่นเทียนและเฟิ่งชิงหร่าน ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามา

เย่เวิ่นเทียนยกมือตบลงบนไหล่ของเด็กหนุ่ม “ศิษย์น้อย นี่คือศิษย์พี่เจ็ดของเจ้าโม่จิงหง ต่อไปภายหน้า เรื่องใดๆ ภายในสำนักก็ไปหาเขาได้เลย อีกทั้งเรื่องบำเพ็ญเพียร หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ถามเขาได้เช่นกัน”

เฟิ่งชิงหร่านได้สติกลับคืนมา จึงโค้งคำนับทักทาย “เฟิ่งชิงหร่านคารวะศิษย์พี่เจ็ด”

โม่จิงหงยกข้อมือขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มเบาๆ นัยน์ตาดุจดวงดาวเป็นประกายลุ่มลึก “โม่จิงหง ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบ”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฟิ่งชิงหร่านก็ชะงักไปครู่หนึ่ง วิธีการทักทายของศิษย์พี่เจ็ดเหตุใดจึงประหลาดนัก?

ไม่ใช่แค่เฟิ่งชิงหร่าน แม้แต่เย่เวิ่นเทียนและอีกสองคนก็ยังเผยสีหน้าประหลาดใจ โม่จิงหงในวันนี้ดูเข้าถึงง่ายอย่างน่าประหลาด ไม่มีท่าทีสูงศักดิ์เย็นชาเหมือนเช่นเคย

“ศิษย์น้องหญิงเล็กกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต อาภรณ์เร้นลับเจ็ดสีผืนนี้ขอมอบให้เจ้า มันสามารถปรับเปลี่ยนสีสันและขนาดได้โดยอัตโนมัติ” โม่จิงหงกล่าวพลางยื่นของให้เฟิ่งชิงหร่าน

“ขอบคุณศิษย์พี่เจ็ดเจ้าค่ะ” เฟิ่งชิงหร่านรับอาภรณ์เร้นลับเจ็ดสีมา ดวงตาที่ก้มต่ำลงฉายแววลึกล้ำ นางหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือของขวัญตอบแทนเจ้าค่ะ”

โม่จิงหงไม่ได้ปฏิเสธ รับของขวัญตอบแทนนั้นไว้

เย่เวิ่นเทียนลูบคาง ที่แท้เวลาพบกันครั้งแรกต้องเตรียมของขวัญแรกพบด้วย เช่นนั้นก่อนหน้านี้เขารับศิษย์มาแล้วโยนให้หลิ่วชางหลานและโม่จิงหงทั้งหมด มิใช่ว่าเขาติดค้างของขวัญแรกพบอยู่ไม่น้อยหรอกหรือ

หากต้องชดเชยของทั้งหมดนี่ ต่อไปเขาจะไม่เหลือหินวิญญาณไว้ซื้อสุราแล้วหรือ?

“ศิษย์น้อย นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า หลิ่วชางหลาน นี่คือศิษย์พี่สี่ของเจ้า มู่เชียนเจวี๋ย พวกเจ้าคุยกันไปก่อน อาจารย์ยังมีธุระ” เย่เวิ่นเทียนแนะนำจบอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาก็หายไปจากยอดเขาโม่จู๋

เฟิ่งชิงหร่าน ? ? ?

จะมีอาจารย์ที่พึ่งพาไม่ได้มากกว่านี้อีกหรือไม่?

“ตาเฒ่าหนีไปเร็วเสียจริง ประหยัดไปได้อีกก้อนแล้วสินะ” มู่เชียนเจวี๋ยโบกพัดในมือไปมา ไม่อาจปิดบังกลิ่นอายสูงศักดิ์เจ้าสำราญได้

ถึงแม้เฟิ่งชิงหร่านจะประหม่าอยู่บ้าง แต่นางก็ยังคงทักทายหลิ่วชางหลานและมู่เชียนเจวี๋ยด้วยท่าทีไม่ต่ำต้อยหรือหยิ่งผยองจนเกินไป

หลิ่วชางหลานสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีเรียบทั้งชุด รูปร่างสูงโปร่งแต่ดูสง่างาม สูงส่งและบริสุทธิ์ คิ้วตาดูอ่อนโยน “ศิษย์น้องหญิงเล็ก นี่คือของขวัญแรกพบที่มอบให้เจ้า แหวนมิติไร้ขีดจำกัด ข้างในมีผลวิญญาณห้าร้อยผล”

เฟิ่งชิงหร่านประสานมือกล่าวขอบคุณ รับแหวนมา ในใจรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ศิษย์พี่ใหญ่ช่างใจกว้างเสียจริง

แหวนมิติถือเป็นมิติเก็บของระดับสูง ในโลกบำเพ็ญเซียน โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงผู้อาวุโสและเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ๆ เท่านั้นจึงจะมีแหวนมิติ อีกทั้งยังเป็นแบบที่มีพื้นที่จำกัด

ส่วนแหวนมิติไร้ขีดจำกัดนั้นยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ มีเพียงบรรพชนของสำนักน้อยแห่งเท่านั้นจึงจะมีไว้ในครอบครอง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในมิตินี้ยังมีผลวิญญาณอีกห้าร้อยผล ผลวิญญาณแตกต่างจากโอสถทิพย์ พลังวิญญาณในผลวิญญาณนั้นบริสุทธิ์ ขณะที่บำรุงเส้นลมปราณวิญญาณ ก็ไม่ทิ้งพิษแดงตกค้างไว้อีกด้วย

“พวกเจ้าสองคนนี่ บีบให้ข้าต้องใช้ไม้ตาย” มู่เชียนเจวี๋ยถือพัดกระดูกหยกขาวอยู่ในมือ ริมฝีปากอมยิ้ม นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นคล้ายยิ้มและไม่ยิ้ม

มู่เชียนเจวี๋ยหยิบสิ่งของรูปร่างคล้ายร่มออกมา ยาวประมาณห้านิ้ว ยื่นมาตรงหน้าเฟิ่งชิงหร่าน เฟิ่งชิงหร่านเห็นแวบเดียวก็จำได้ว่านี่คืออาวุธลับ มิหนำซ้ำยังรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง

“นี่คือเข็มเชียนสวิน หลังจากที่ศิษย์น้องหญิงเล็กทำพันธสัญญาแล้ว ย่อมรู้ถึงประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของมัน” มู่เชียนเจวี๋ยโบกพัดไปมา ไม่อาจปิดบังกลิ่นอายสูงศักดิ์เจ้าสำราญได้

เฟิ่งชิงหร่านเก็บแหวนมิติและอาวุธลับไว้ ก่อนจะหยิบกล่องออกมาสองใบ ยื่นให้ทั้งสองคนละใบ

หลิ่วชางหลานเปิดกล่องออก เห็นโสมสีม่วงต้นหนึ่งนอนอยู่ภายใน นัยน์ตาสีนิลของเขาฉายแววอ่อนโยน กลิ่นอายบนโสมต้นนี้ช่างประหลาดนัก?

ราวกับว่ามีพลังแห่งมรรคสวรรค์อยู่?

มู่เชียนเจวี๋ยเห็นสีหน้าของหลิ่วชางหลาน ก็เปิดกล่องในมือของตนออก พลันเผยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นจึงปิดกล่องลงอย่างระมัดระวัง “ศิษย์น้องหญิงเล็ก เจ้ารู้มูลค่าของมันหรือไม่?”

เฟิ่งชิงหร่านพยักหน้า หลินจือหัวใจเพลิงโลหิตเหมาะกับมู่เชียนเจวี๋ยอย่างยิ่ง แต่นางกลับไม่รู้ว่าเพราะเห็ดหลินจือนี้ ในอีกสามเดือนต่อมา ยอดเขาเชียนเจวี๋ยจะถูกเผาจนโล่งเตียน

“ขอบคุณศิษย์น้องหญิงเล็ก ข้าขอตัวก่อน” มู่เชียนเจวี๋ยกล่าวลาทั้งสามคน แล้วจากไปอย่างรีบร้อน

หลิ่วชางหลานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มู่เชียนเจวี๋ยน้อยครั้งนักที่จะทำอะไรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ดูท่าแล้วของขวัญที่ศิษย์น้องหญิงเล็กมอบให้เขาคงไม่ใช่ของธรรมดาเช่นกัน “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ของขวัญนี่ข้ารับไว้แล้ว แต่ว่านอกจากคนในสำนักแล้ว ห้ามให้คนภายนอกรู้เรื่องเหล่านี้เด็ดขาด”

หลิ่วชางหลานโค้งคำนับกล่าวลา ไม่ได้อยู่ต่อ

หว่างคิ้วของเฟิ่งชิงหร่านเลิกขึ้นเล็กน้อย รีบร้อนไปบำเพ็ญเพียรกันขนาดนี้ จะแข่งขันกันภายในเกินไปหน่อยหรือไม่?

“ศิษย์พี่เจ็ด หอคัมภีร์ของพวกเราอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ?” ในนิยายต้นฉบับนั้นมีหลายเรื่องที่กล่าวไว้อย่างคลุมเครือมาก นางจึงอยากจะไปค้นตำราของที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างละเอียด

“ศิษย์น้องหญิงเล็ก ตามข้ามา”

......

ยอดเขาที่สิบ

หลังจากเฟิ่งชิงหร่านเดินเข้าไปในถ้ำแล้ว ก็แสดงสีหน้าตกตะลึง การอาศัยอยู่ในถ้ำนี่มันแตกต่างจากที่นางคิดไว้อย่างสิ้นเชิง

พื้นที่ภายในถ้ำกว้างขวาง ตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า ดูฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครัน

โม่จิงหงใช้มือกดลงบนหินก้อนหนึ่งบริเวณทางเข้า “นี่คือศิลาค่ายกล หลังจากหยดเลือดเปิดใช้งานแล้ว ภายในถ้ำจะมีเพียงศิษย์น้องหญิงเล็กเท่านั้นที่เข้ามาได้”

โม่จิงหงแนะนำสิ่งของต่างๆ ภายในถ้ำทีละอย่าง เฟิ่งชิงหร่านที่อยู่ด้านข้างได้แต่ประหลาดใจและพยักหน้า สิ่งที่โม่จิงหงพูดมานางล้วนเข้าใจ แต่ยิ่งฟังต่อไป ในใจของเฟิ่งชิงหร่านก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น

นโยบายของสำนักหลิงอวิ๋นคือปล่อยอิสระอย่างสมบูรณ์ ไม่สนใจเลยว่าเจ้าจะบำเพ็ญเพียรหรือไม่ โม่จิงหงถึงกับโยนโอสถระงับความหิวกองหนึ่งให้นางตามสบาย พร้อมทั้งบอกว่าก่อนจะถึงแก่นปราณทองคำ นางมีเพียงของสิ่งนี้ให้กินเท่านั้น

“ศิษย์พี่เจ็ด ถ้าเป็นไปได้ ข้ายังอยากกินอาหารของโลกมนุษย์เจ้าค่ะ” เฟิ่งชิงหร่านลองเอ่ยปากร้องขอดู
이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

관련 챕터

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 8

    “อืม” โม่จิงหงหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งออกมา แล้วเป่าสองสามครั้งแล้วกล่าวต่อไปว่า “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ต่อไปนี้ยอดเขาที่สิบเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าเดินไปมาตามสบายได้ แต่สำหรับสถานที่นอกยอดเขาที่สิบ หากเจ้าต้องการจะไป จะต้องให้หลวนจิ่นพาเจ้ามาหาข้า แล้วข้าจะพาเจ้าไป”“ภายในสำนักค่ายกลและกลไกอยู่มากมาย หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็อาจจะติดอยู่ในนั้นได้ และเป็นอันตรายถึงชีวิต”“ศิษย์พี่เจ็ด หลวนจิ่นคือใครหรือเจ้าคะ?” เฟิ่งชิงหร่านเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างยิ่งท่านอาจารย์บอกว่าหากเห็นเรือนในสำนัก ให้ไปหาศิษย์พี่เจ็ด ศิษย์พี่เจ็ดกลับบอกว่าห้ามออกจากยอดเขาของตนเองตามใจชอบสำนักหลิงอวิ๋นคงไม่ได้ซุกซ่อนความลับอันใดที่เปิดเผยไม่ได้เอาไว้หรอกนะ?อีกอย่าง เหตุใดคนที่ตัดสินใจจึงไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่ แต่กลับเป็นศิษย์พี่เจ็ด?โม่จิงหงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “มันมาแล้ว”เฟิ่งชิงหร่านหันไปก็พบนกกระเรียนวิญญาณตัวหนึ่งบินเข้ามาในถ้ำ ก่อนนกกระเรียนวิญญาณจะหยุดลงนกกระเรียนวิญญาณหันหน้าไปทางเฟิ่งชิงหร่าน พลางจุปากแล้วกล่าวว่า “เจ้าเองหรือ เจ้าหนูน้อยที่อยากกินข้าว เจ้าชอบกินอะไรบ้าง? บอกข้ามาให้หมด ต่อไปข้าจะทำให้

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 9

    สาเหตุที่เฟิ่งชิงหร่านเอ่ยถึงการประลองระหว่างสำนักขึ้นมา ก็เพราะว่ายี่สิบอันดับแรกของการประลอง จะมีโอกาสได้เข้าสู่ดินแดนลับจิ่วยวนนางจำได้ว่าภายในดินแดนลับนั้นซ่อนมรดกของผู้ยิ่งใหญ่ระดับมหายานท่านหนึ่งไว้ หากสามารถช่วยให้ท่านอาจารย์ได้รับมรดกนั้นมา เขาจะต้องเลื่อนระดับได้อย่างแน่นอน“พวกเราไม่เคยเข้าร่วมการประลองเหล่านี้” คำพูดประโยคเดียวของโม่จิงหงก็ทำให้เฟิ่งชิงหร่านรู้สึกหมดกำลังใจคำพูดที่นางเตรียมไว้ก็ติดอยู่ที่ลำคอ “เหตุใดจึงไม่เข้าร่วมหรือเจ้าคะ?”โม่จิงหงยิ้มบางๆ “น่าเบื่อเกินไป ในบรรดาผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ได้”หากคำพูดนี้ออกมาจากปากของผู้อื่น เฟิ่งชิงหร่านคงจะคิดว่าคนผู้นี้หยิ่งยโสอย่างแน่นอนแต่พอออกจากปากของโม่จิงหง นางกลับรู้สึกว่ามันเป็นความจริงอย่างยิ่งในโลกบำเพ็ญเซียน ผู้ที่สามารถทะลวงสู่ระดับแก่นปราณทองคำได้ก่อนอายุหนึ่งร้อยปี ถือเป็นผู้มีพรสวรรค์จากสวรรค์แล้วแต่ศิษย์กลุ่มนี้ของสำนักหลิงอวิ๋น อายุมากที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งร้อยปี กลับมีการบำเพ็ญอยู่ในระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางขึ้นไปกันทั้งหมดแล้วในบรรดาคนเหล่านี้ โม่จิงหงน่าเหลือเชื่อท

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 10

    “ฮ่าๆๆ ...ศิษย์พี่สี่ ท่านถึงกับมาอวดเจ้าโลกต่อหน้าธารกำนัลเชียวหรือ!” เสียงนั้นดังแว่วมาจากไกลๆ ก่อนจะใกล้เข้ามาบุรุษในอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนนกกระเรียนวิญญาณ ร่อนลงบนยอดเขาเชียนเจวี๋ยมู่เชียนเจวี๋ยได้ยินบุรุษผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่สนใจไฟที่ลุกไหม้ทั่วร่าง พรึ่บเดียวก็มุดเข้าถ้ำไปนัยน์ตาดำขลับของหลิ่วชางหลานฉายแววขบขัน พลางมองไปยังผู้มาใหม่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหวินเยว่ เจ้าออกจากด่านแล้วหรือ?”“ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่ ได้ยินว่าพวกเรามีศิษย์น้องหญิงเก้าแล้ว อีกเดี๋ยวศิษย์พี่ใหญ่ต้องพาข้าไปดูนางนะ” ไป๋หลี่เหวินเยว่ร่อนลงสู่พื้นอย่างสง่างาม ร่างสูงโปร่งดุจลำไผ่ ท่วงท่างามสง่างามโดดเด่น ทุกอิริยาบถล้วนแสดงออกถึงความหยิ่งทะนงและความสง่างามอิสระ“ไม่ต้องพาไปหรอก ศิษย์น้องหญิงเล็กมาแล้ว”พอสิ้นเสียงของหลิ่วชางหลาน หลายคนก็มองตามทิศทางที่เขาชี้ไป พลันเห็นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีดำผู้หล่อเหลางดงามราวกับเซียนตกสวรรค์ควบคุมกระบี่เหินเข้ามา ด้านหลังตามมาด้วยแม่หนูน้อยที่ขี่นกกระเรียนวิญญาณอยู่แม่หนูน้อยมีรูปโฉมงดงามจนน่าตกตะลึง ใบหน้าเล็กๆ ดูจิ้มลิ้ม ผิวพรรณขาวเนียนผุดผ่อง แม

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 11

    “นี่คือศิษย์พี่รองตู๋กูเจี้ยนอีกับศิษย์พี่หญิงห้าหนิงซือเยว่ของเจ้า” โม่จิงหงขัดจังหวะความคิดนางด้วยเสียงทุ้มลึกเฟิ่งชิงหร่านล้มเลิกการตามหาเบาะแสของไข่สีดำ คำนับทักทาย “คารวะศิษย์พี่รองกับศิษย์พี่หญิงห้า” “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ของขวัญพบหน้ากันครั้งแรกค่อยชดเชยให้เจ้าทีหลังนะ” ตู๋กูเจี้ยนอีสวมชุดสีดำ รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วคมเหมือนดาบ ดวงตาเปล่งประกายคล้ายดวงดาว สายตาเฉียบคมประดุจอินทรีในยามราตรี“หรือไม่ศิษย์พี่รองตอบตกลงคำขอของข้าหนึ่งข้อ ถือว่ามอบของขวัญพบกันครั้งแรกให้ข้า เป็นอย่างไรเจ้าคะ?” เฟิ่งชิงหรานรู้ว่าตู๋กูเจี้ยนอีไม่มีอะไรจะให้จริงๆตู๋กูเจี้ยนอี ปีศาจกระบี่ที่ผู้คนได้ยินแล้วต้องอกสั่นขวัญผวาบนแผ่นดินใหญ่ในอนาคตในนิยายต้นฉบับเขียนไว้ว่า ตู๋กูเจี้ยนอีไม่มักมากในทรัพย์ เป็นผู้คลั่งไคล้กระบี่ต่อให้ยากจนแสนเข็ญ ก็ไม่เคยรับเงินผู้อื่นต่อมาเขาได้ฆ่าล้างบางตระกูลฉินที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่เพียงลำพัง ก้าวเข้าสู่เส้นทางวิชามาร ท้ายที่สุดตายภายใต้คมกระบี่ของซูเยียนหราน หลังจากซูเยียนหรานค้นแหวนมิติของของเขา รู้สึกขยะแขยงมาก “ศิษย์น้องหญิงเล็กเชิญพูด”“ศิษย์พี่รองสามารถเข้

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 12

    หลิ่วชางหลานยิ้มแต่ไม่พูด แววตาสุกใสอ๊ะ!เสียงกรีดร้องสายหนึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน จากนั้นก็ได้ยินมู่เชียนเจวี๋ยกล่าวอย่างร้อนใจ “รีบไปตามตาเฒ่ากลับมา ถ้ายังไม่กลับมาลูกศิษย์ของเขาเป็นบ้าแน่”ทุกคนต่างมีสีหน้าเป็นกังวล เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่มู่เชียนเจวี๋ยร้อนใจเช่นนี้“ข้าจะส่งเสียงถึงอาจารย์เดี๋ยวนี้ ศิษย์น้องเจ็ดเจ้าไปดูศิษย์น้องสี่ก่อน” หลิ่วชางหลานรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที อาจารย์มักจะหายตัวไปเรื่อย ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง จะกลับมาคงต้องใช้เวลาอีกหลายวันเป็นดังคาด หลิ่วชางหลานเพิ่งใช้ยันต์ส่งเสียงส่งข่าวให้เย่เวิ่นเทียน ทางนั้นก็ตอบกลับทันที“ศิษย์เอกเอ๋ย อาจารย์กำลังอยู่ในแดนดิน…เอ่อ…ลับแห่งหนึ่ง กลับไปไม่ได้…เอ่อ เจ้าไปตามจิงหงมาจัดการก่อน”หลิ่วชางหลานเลิกคิ้ว กลั้นเรอหน่อยเถอะอาจารย์ เขาเกือบจะเชื่อแล้ว!หลิ่วชางหลานกัดฟัน อธิบายกับคนรอบข้าง “ตอนนี้อาจารย์ยังกลับมาไม่ได้ ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าว่าควรทำอย่างไร?”“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ชีวิตของศิษย์พี่สี่ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย แค่เขาได้รับเพลิงพิเศษกะทันหัน ยังไม่สามารถควบคุมได้ รอเขาสามารถควบคุมเพลิงพิเศษได้ก

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 13

    “ข้าอยากให้ศิษย์พี่สี่เข้าร่วมการแข่งของสำนักในอีกสองปีข้างหน้า” เดิมทีเฟิ่งชิงหร่านอยากให้ทุกคนเข้าร่วมแต่หลังจากอ่านบันทึกเกี่ยวกับการแข่งขัน รู้มาว่าการแข่งขันจะจัดขึ้นทุกสิบปี และผู้ที่เข้าร่วมจะต้องมีอายุไม่เกินสองร้อยปีนี่จึงส่งผลให้ในบันทึกการแข่งขัน ไม่มียอดฝีมือระดับกำเนิดวิญญาณแม้แต่คนเดียวอย่างไรก็ตามยอดฝีมือที่สามารถบรรลุระดับกำเนิดวิญญาณตอนอายุสองร้อยปีนั่นมีน้อยยิ่งกว่าน้อยต่อให้มี อัจฉริยะระดับนี้ก็ไม่ลดตัวลงมาเข้าร่วมกันแข่งขันเช่นนี้อีกทั้งนางตัดสินใจเก็บศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่เจ็ดไว้เป็นอาวุธลับ ก่อนที่สองคนนี้จะทะลวงถึงระดับหลอมเทพ จะแสดงความสามารถไม่ได้เด็ดขาดมู่เชียนเจวี๋ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าตอบตกลงแล้วแม้การแข่งขันเช่นนี้น่าเบื่อ แต่ในเมื่อศิษย์น้องหญิงเล็กอยากไป เขาก็ต้องไปเป็นเพื่อน“ศิษย์น้องหญิงเล็ก ข้าก็จะไปด้วย” ดวงตาหนิงซือเยว่แวววาว เสียงสายดุจกระดิ่ง“ข้าก็จะไป!” ดวงตาที่คล้ายตาจิ้งจอกของไป๋หลี่เหวินเยว่เปล่งประกายความสนใจ คนเยอะสนุกดีหนิงซือเยว่กลอกตาหนึ่งรอบ “ต้องเรียกศิษย์พี่หญิงสามกับศิษย์น้องแปดด้วย พวกเขาอยากไปตั้งนานแล้ว แ

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 14

    “ปรมาจารย์เชียนจี! เจ้าแน่ใจนะว่าเขาอยู่เขตหั่วหลิง?” ที่มู่เชียนเจวี๋ยยอมเข้าสำนักหลิงอวิ๋นก็เพราะเย่เวิ่นเทียนบอกเขาว่า สามารถพาเขาไปพบปรมาจารย์เชียนจีแต่ปรากฏว่าหลังจากเขาเข้าสำนักหลิงอวิ๋นหลายสิบปี อย่าว่าแต่ได้พบปรมาจารย์เชียนจีเลยแค่จำนวนครั้งที่ได้พบเย่เวิ่นเทียนก็สามารถนับด้วยนิ้วมือ……ขณะเดียวกันเย่เวิ่นเทียนที่อยู่เขตหั่วหลิงจามติดต่อกันหลายครั้งฉับพลัน เขากล่าวอย่างมึนเมา “เชียนจี เจ้าเรียกข้ามากระทันหันมีเรื่องอะไร?”“เจ้าได้ทำตามสัญญา ไม่รับลูกศิษย์ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีหรือไม่?” ชายสวมชุดสีขาวที่อยู่ด้านข้างกล่าว ดวงตาของเขาแจ่มใส ไม่มีความสุขหรือเศร้า ราวกับว่าสามารถมองทะลุทุกสรรพสิ่ง“เอ่อ…สัญญา? ข้ารักษาสัญญาอยู่แล้ว” เย่เวิ่นเทียนกล่าวพลางกรอกสุราเข้าปากอีกคำ มีความหนาวเย็นที่ไม่สามารถสังเกตเห็นแลบผ่านแววตาฉู่เชียนจี ราวกับหิมะอุ่นที่ยังไม่ละลายในฤดูใบไม้ผลิ “แล้วเฟิ่งชิงหร่านเป็นใคร?”เย่เวิ่นเทียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ลูกศิษย์คนที่เก้าของข้า”“เวิ่นเทียน สัญญาณร้อยปียังไม่ถึง เหตุใดต้องรับลูกศิษย์?”“แต่ข้าไม่ได้รับเฟิ่งชิงหร่านในงานชุมนุมใหญ่ประจำสำนั

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 15

    เขตชิงอวิ๋น เมืองจู้จ้าวเคร้ง เคร้ง เคร้ง!สามารถได้ยินเสียงเคาะตีทั่วทั้งเมือง“ศิษย์น้องหญิงเล็ก คนที่พวกเราตามหาจะปรากฏตัวเมื่อใด?” หน้าตาโม่จิงหงหล่อเหลาอย่างอธิบายไม่ถูก ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแสดงถึงความสูงศักดิ์เขาในชุดสีเงิน สะอาดไร้มลทินท่ามกลางเมืองจู้จ้าวที่มีถ่านไฟลุกโชน “ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว” ดวงตาที่สุกใสราวกับผลึกแก้วของเฟิ่งชิงหร่านกวาดมองโดยรอบ“ถ้าหากข้าจำไม่ผิด เมื่อสามวันก่อนศิษย์น้องหญิงเล็กก็พูดเช่นนี้”เฟิ่งชิงหร่านร้อนตัวเล็กน้อย นางก็ไม่รู้ว่าจะเจอประมุขหอคุนเซวียนวันไหนกันแน่แต่จำได้ว่าคร่าวๆ ว่าช่วงนี้แหละ เฟิ่งชิงหร่านกับซูเยียนหรานมาเที่ยวเมืองจู้จ้าวด้วยกันทั้งสองพบกับชายชราคนหนึ่งบนถนน เฟิ่งชิงหร่านพบว่าบนมือขวาของชายชรามีเส้นสีแดงแปลกๆ ซึ่งคล้ายกับลักษณะของการถูกพิษชนิดหนึ่งที่ได้อธิบายไว้ในตำราโบราณเฟิ่งชิงหร่านจะเข้าไปบอกชายชรา กลับโดนซูเยียนหรานดึงไว้ ไม่ให้นางไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นรอหลังจากทั้งสองกลับถึงสำนักกระบี่สวรรค์ ซูเยียนหรานก็แอบกลับไปหาชายชราที่เมืองจู้จ้าว เล่าเรื่องที่เขาถูกพิษ และบอกว่าสามารถรักษาเขาซูเยียนหรานเอาสูตรยาที่เฟ

최신 챕터

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 40

    หูอวิ๋นเสียงรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่เขาต้องเอากระดานค่ายกลกลับคืนมาให้ได้ “ข้าไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสำนักของท่านไม่ใช่หรือ? ข้าศึกษาค่ายกลที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าของท่านไม่ได้หรือไร? ผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณอย่างท่านควรอับอายที่ถือสากับระดับสร้างฐานปราณอย่างข้าใช่หรือไม่?” “ข้าไม่ถือสาเจ้า ย่อมมีคนถือสาเจ้า” ตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วชางหลานเอาแต่จดจ่ออยู่กับมู่เชียนเจวี๋ยที่อยู่ในค่ายกล เมื่อเห็นลมปราณของอีกฝ่ายมั่นคงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก“ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ระดับสร้างฐานปราณเท่านั้น พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการรังแกผู้อื่นหรือ?” หูอวิ๋นเสียงรู้ว่าทำเช่นนี้จะยั่วโทสะหลิ่วชางหลานได้แต่กระดานค่ายกลก็คือชีวิตของเขา เขาต้องเอากลับมาให้ได้กลิ่นอายของหลิ่วชางหลานเย็นยะเยือกลงโดยสิ้นเชิง “เมื่อเจอคนที่อ่อนแอกว่าเจ้า ก็เรียกร้องว่าผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ก็เรียกความยุติธรรมอีก”องครักษ์เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คุณชายอย่าเอ่ยอีกเลยขอรับ ท่านอยากให้ทุกคนตายไปพร้อมกับท่านหรือ?”ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลัวหูอวิ๋นเสียงยั่วโทสะหลิ่วชางหลานเช

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 39

    “สหายเต๋า หากข้าบอกว่าข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่?” หูอวิ๋นเสียงพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“หากเดินผ่านมาจำเป็นต้องหยิบกระดานค่ายกลระดับห้ามาทำลายค่ายกลด้วยหรือ?” นัยน์ตาอ่อนโยนของหลิ่วชางหลานฉายแววเย็นชา เสียงทุ้มต่ำลง หูอวิ๋นเสียงทำหน้าหวาดหวั่น หลิ่วชางหลานก็เป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วยเหมือนกัน!ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพจำแลงลงไป มองระดับของกระดานค่ายกลออกในแวบเดียวจะต้องเป็นผู้ใช้ค่ายกลอย่างแน่นอน“สหายเต๋า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิดทั้งนั้น ให้โอกาสข้าเถิด ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” หูอวิ๋นเสียงอยากหลบหนีไปมาก ๆ แต่ก็ไม่กล้าผู้คนประหลาดใจกับผู้ใช้ค่ายกลอย่างหูอวิ๋นเสียง คิดไม่ถึงว่าจะหวาดกลัวต่อการปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่“กระดานค่ายกลนี้เป็นกระดานค่ายกลระดับห้าจริง ๆ หรือ?” มีคนที่อยู่ทางด้านข้างพูดคุยกันเสียงเบาทุกคนต่างรู้ว่าระดับของกระดานค่ายกลคล้ายคลึงกับระดับของอาวุธอาคม แบ่งออกเป็น ระดับหนึ่งถึงสิบ ระดับเซียน ระดับศักดิ์สิทธิ์ ระดับจักรพรรดิ และระดับเทวะปัจจุบันนี้วิชาค่ายกลตกต่ำลง วิชาที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลและอาวุธอ

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 38

    “ข้ามั่นใจมากว่านี่คือไม้การบูรทองคำ ตระกูลของเราเคยซื้อมาทำหอเก็บสมบัติ เกือบถลุงสมบัติทั้งตระกูลจนหมดเกลี้ยงแล้ว!”เมื่อได้ยินน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของคนผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็มองหน้ากัน จากนั้นก็มองรั้วไม้การบูรทองคำสุดลูกหูลูกตา แล้วอุทานด้วยความตกตะลึง นี่ลงทุนมากเพียงใดกัน? มีคนผู้หนึ่งมองด้วยแววตาสำรวจ “เหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงใช้ไม้การบูรทองคำได้? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหลิงอวิ๋นมาก่อนเลย? ยิ่งไม่เคยเห็นคนของสำนักหลิงอวิ๋นในงานชุมนุมใหญ่ประจำสำนักด้วย?” “มีแค่ข้าคนเดียวหรือที่สงสัยว่าเหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงไม่กลัวว่าไม้การบูรทองคำจะถูกขโมย?” หูอวิ๋นเสียงที่ยืนอยู่ข้างรั้วถือไม้การบูรทองคำชิ้นหนึ่งไว้ในมือผู้คนเบิกตาโตมองหูอวิ๋นเสียง คนผู้นี้โง่เง่าไปแล้วกระมัง!ไม้การบูรทองคำเหล่านี้มีรอยตราของผู้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด และสาเหตุที่ไม้การบูรทองคำล้ำค่าถึงเพียงนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือรอยตราบนตัวมันลบได้เฉพาะผู้ที่ประทับตราเท่านั้น หากสูญหายย่อมตามหาคืนได้ง่ายอย่างยิ่งดังนั้นจึงไม่มีคนโง่ไปขโมยไม้การบูรทองคำ มีแต่เลือกซื้อจากในมือเจ้าของเท่านั้น

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 37

    “ศิษย์พี่เจ็ด เรื่องสำคัญเช่นนนี้ เหตุใดท่านไม่บอกข้าเลยเจ้าคะ?” เมื่อเฟิ่งชิงหร่านคิดว่าหลวนจิ่นกินหมูร้อยตัวต่อหนึ่งมื้อ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยหดหู่ใจ หลวนจิ่นคงไม่หิวจัดจนกลืนนางลงไปด้วยหรอกใช่หรือไม่? “ศิษย์น้องเล็ก ไม่เคยถามเลยนี่นา”เมื่อได้ยินคำตอบตามหลักเหตุผลของโม่จิงหง ศีรษะของเฟิ่งชิงหร่านก็เต็มไปด้วยขีดดำ ของแบบนี้จำเป็นต้องถามก่อนถึงจะบอกได้หรือ?“ศิษย์น้องเล็กวางใจได้ หลวนจิ่นกินอาหารเพียงเดือนละครั้ง ไม่มีทางเอาเจ้าเข้าปากหรอก” “ศิษย์พี่เจ็ด การวางกลอุบายของท่านยาวไกลยิ่งกว่าเส้นทางบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนเสียอีก!” เฟิ่งชิงหร่านตระหนักได้ในบัดดลว่าไม่อาจโดนดวงหน้าหล่อเหลาหาใดเทียมของศิษย์พี่เจ็ดมาหลอกลวงได้แล้วจริง ๆอาจารย์ให้ศิษย์พี่เจ็ดดูแลสำนัก ช่างเหมาะสมยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายอย่างแท้จริง!โชคดีที่ศิษย์พี่เจ็ดไม่ใช่ศัตรูของนาง ไม่อย่างนั้นนางคงต้องหาถ้ำสักแห่งเพื่ออยู่เอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่ออกมาอีกเลย!โม่จิงหงสบตากับเฟิ่งชิงหร่านที่โกรธกระฟัดกระเฟียด ไอเย็นเยียบบนร่างเลือนหายไปอีกไม่น้อย ก่อนจะลูบศีรษะนาง “ไม่บอกเจ้าก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ วางใจได้ห

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 36

    บรรยากาศในสำนักหลิงอวิ๋นนั้นดีมาก ไม่เคยเกิดเรื่องแก่งแย่งชิงดีกันเลยแต่ผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะมีความโปรดปราน ภายในสำนักหลิงอวิ๋ง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สี่จะสนิทสนมกันมากกว่า ศิษย์พี่หญิงสามกับศิษย์พี่หญิงห้าก็สนิทกันราวกับพี่สาวน้องสาว พูดคุยกันได้ทุกเรื่องศิษย์พี่หกชอบเกาะติดศิษย์พี่หญิงห้ากับศิษย์พี่แปด ศิษย์พี่รองไปไหนมาไหนคนเดียว มักจะหาตัวไม่เจออยู่เป็นประจำ มีเพียงโม่จิงหงเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้กับทุกคน แต่เขากลับคอยรักษาระยะห่างกับทุกคนเสียเองโม่จิงหงดีกับทุกคนในสำนักมาก แหวนสุเมรุบนมือของทุกคนล้วนเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นมา รวมถึงอาวุธป้องกันตัวและยาลูกกลอนต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้โดยอาศัยนามของเย่เวิ่นเทียนอีกทั้งชาที่เตรียมไว้ให้แต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไปหากไม่ใช่เพราะโม่จิงหง นางสงสัยว่าสำนักหลิงอวิ๋นคงจะแยกตัวกันไปนานแล้ว อย่างไรเสียอาจารย์ก็ไม่มีความน่าเชื่อถือมากเกินไป! สองปีแล้ว อย่าว่าแต่อาจารย์ไม่เคยกลับมาที่สำนักหลิงอวิ๋นเลย ยังไม่มีข่าวคราวอีกด้วยเฟิ่งชิงหร่านคิดได้ดังนั้นก็อดรู้สึกปวดใจแทนโม่จิงหงนิดหน่อยไ

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 35

    หลังจากที่เฟิ่งชิงหร่านรู้จากหยวนเป่าว่ากำไลวิญญาณคู่ไม่สามารถต้านทานอัสนีบาตได้ นางก็อดรู้สึกท้อแท้ใจนิดหน่อยไม่ได้อัสนีบาตสายที่สามผ่าลงมา ยันต์อาคมด้านหลังฉินหานเยียนหลุดออกอีกหนึ่งแผ่นฉินหานเยียนกัดฟัน ปรับลมหายใจที่ปั่นป่วน ใบหน้าของนางไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อย เนื้อหนังภายใต้ชุดนักพรตปรากฎรอยปริแตกเป็นสาย ๆ ความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ส่งมาจากทั่วทั้งร่างฉินหานเยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจากในอัสนีบาตสวรรค์ ราวกับว่าอัสนีบาตรสวรรค์ทุกสายต้องการคร่าชีวิตนางให้ดับสิ้นโดยไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียวศิษย์น้องเจ็ดพูดถูกต้องมาก อัสนีบาตสวรรค์ผิดปกติจริง ๆ ด้วยตามบันทึกในตำราโบราณ หลังจากที่อัสนีบาตสวรรค์ผ่าลงมาแล้ว จะช่วยชำระล้างร่างกายให้ผู้บำเพ็ญเพียร ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้นางรู้สึกแค่ว่าอัสนีบาตสวรรค์ต้องการทำลายนางเท่านั้น ไม่ได้ชำระล้างเส้นเอ็นให้นางเลยด่านเคราะห์อัสนีระดับกำเนิดวิญญาณสิบแปดสาย สายแรกชำระล้างร่างกาย สายที่สองซ่อมแซมกล้ามเนื้อเส้นเอ็นขยายเส้นลมปราณ สายที่สามเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก สายที่สี่ชำระล้างรากวิญญาณ

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 34

    หนิงซือเยว่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่สนใจไป๋หลี่เหวินเยว่เวลานี้ฉินหานเยียนสวมชุดบางเบา ชุดกระโปรงพลิ้วไปตามสายลม ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเลยสักนิดเดียว หนิงซือเยว่เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะแปะยันต์อาคมหลายแผ่นไว้ที่แผ่นหลังของฉินหานเยียนจากนั้นก็ขี่กระบี่จากไปอย่างรวดเร็ว แล้วร่อนลงมาเบื้องหน้าไป๋หลี่เหวินเยว่หนิงซือเยว่เดินเข้ามาคว้าหูของไป๋หลี่เหวินเยว่ ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ที่เจ้าตะโกนเมื่อครู่นี้เกือบทำให้ข้าตกใจตายแล้ว!”“เจ็บ ๆๆ ศิษย์พี่หญิงห้า รีบปล่อยมือเถิด ข้าผิดไปแล้ว” ไป๋หลี่เหวินเยว่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงอ้อนวอนไม่หยุด “ฮึ!” หนิงซือเยว่แค่นเสียงเย็น แล้วปล่อยหูไป๋หลี่เหวินเยว่“ข้ามาช้าก็เพราะยันต์อาคมหลายใบนั้น มีพวกมันอยู่ สามารถต้านด่านเคราะห์อัสนีถึงแก่ชีวิตแทนศิษย์พี่หญิงสามได้ในช่วงเวลาสำคัญ ข้าเสี่ยงชีวิตไปติดยันต์ ปรากฏว่าเจ้าดันทำให้ข้าตกใจ หากข้ามือสั่นจนยันต์พังขึ้นมาจะทำอย่างไร?”เมื่อได้ยินหนิงซือเยว่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋หลี่เหวินเยว่ถึงค่อยตระหนักได้ว่าตนทำความผิดมากเพียงใด เฟิ่งชิงหร่านที่อยู่ทางด้านข้างนึกดีใจ ยังดีที่เมื่อค

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 33

    สองปีต่อมาเมฆดำแผ่คลุมท้องฟ้าเหนือสำนักหลิงอวิ๋น ครืน!ครืน!กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักหลิงอวิ๋น ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนที่กำลังปิดด่านฝึกตนตื่นตกใจทั่วทั้งเขตชิงอวิ๋น ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับหลอมเทพขึ้นไปล้วนรู้สึกได้ว่าเมฆเขาสั่นไหว แผ่นดินภูเขาโยกคลอนเฟิ่งชิงหร่านเพิ่งจะคงระดับพลังให้มีเสถียรภาพเสร็จ เมื่อเดินออกจากถ้ำก็ตกใจกับเสียงฟ้าร้องจนสะดุ้งโหยง ดูเหมือนนางยังไม่ถึงเวลาที่จะทะลวงระดับไม่ใช่หรือ? “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที รีบตามข้ามาเร็ว!” บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลยืนอยู่บนกระเรียนเหาะเข้ามา รูปร่างดูสง่างามราวกับต้นไผ่ ดูโดดเด่นมีราศี ดวงหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งทระนง “ศิษย์พี่หก คงไม่ได้เจอปัญหาตอนบำเพ็ญเพียรหรอกกระมัง?” เฟิ่งชิงหร่านถามพลางยิ้มจนดวงตาโค้งไป๋หลี่เหวินเยว่หน้าแข็งทื่อ ช่วงเวลาสองปีมานี้ เขาฝืนบีบคั้นตนเองให้เลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ขั้นปลาย เพื่อไม่ให้ด้อยกว่าคนอื่นในสำนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาสามารถใช้เวลาเพียงแปดปีเลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ระดับแก่นปราณทองคำขั

  • ศิษย์น้องหญิงเล็ก พวกพี่บำเพ็ญเพียรไม่ไหวแล้ว   บทที่ 32

    เขตชิงอวิ๋น เมืองหลักของเขตสำนักประมูลซูม่อ สาขาหลักบุรุษชุดดำเดินเจอไป๋หลี่เยวียนม่อแล้วก็ยื่นกล่องวิจิตรงดงามให้สองกล่องมือขาวเนียนราวหยกของไป๋หลี่เยวียนม่อรับกล่องไว้ จากนั้นเสียงที่ชวนให้หลงใหลก็ดึงขึ้นว่า “คราวนี้เป็นของดีอันใดหรือ? ถึงกับทำให้รองผู้ดูแลต้องลำบากมาด้วยตนเอง?”เสียงเย้ายวนใจลอดเข้ามาในหู บุรุษชุดดำใจสั่นสะท้าน เขารีบตั้งสติทันที “ท่านเจ้าหอกำชับว่า ครั้งนี้นางต้องการส่วนแบ่งร้อนละเก้าสิเก้า”ไป๋หลี่เยวียนม่ออึ้งไปเล็กน้อย ดวงหน้างดงามราวกับหยกประดับกวนฉายแววสนใจขึ้นมา นัยน์ตาสีม่วงพราวเสน่ห์ ความสว่างและความมืดร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แสงเงาไหลเวียนเป็นกระแสไป๋หลี่เยวียนม่อยกมือขึ้นไปปลดยันต์ผนึกบนกล่อง อยากจะเปิดออกบุรุษชุดดำรีบส่งเสียงว่า “ท่านประมุข ไม่ได้นะขอรับ กางเขตอาคมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดความปั่นป่วนได้” ขุมกำลังในเมืองหลักของเขตสลับซับซ้อนมาก อีกทั้งยังมีสำนักใหญ่หลายแห่ง ยอดฝีมือระดับหลอมเทพก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อกลิ่นอายของผลแก่นวิญญาณหลุดรอดออกไปก็จะนำปัญหามาได้นัยน์ตาสีม่วงของไป๋หลี่เยวียนม่อดำทะมึนขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว “

좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status