เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง องค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกหมั่นไส้จากก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้านี้คล้ายกับหน้าแม่ของนางไม่มีผิดเลยล้วนเป็นผู้หญิต่ำช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งซีซียังยิ้มกว้าง "เรามาตรวจบัญชีอย่างเปิดเผย ไม่ทราบว่าทำไมท่านป้าต้องใช้กำลังเช่นนี้ หรือว่าในนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆ หรือ รอตรวจสอบบัญชีที่จวนโหวผิงหยางแล้ว เสด็จแม่ ท่านต้องจัดงานเลี้ยงสักหน่อย เพื่อเชิญชวนทุกคนมาพิจารณาเรื่องนี้"เจียอี้ตะเบ็ง "เจ้าเอาแต่พูดพล่อยๆ จะมีเรื่องแอบแฝงอะไร ที่ผ่านมาไม่ได้ส่งสมุดบัญชีให้สนมฮุ่ยไทเฟยดูหรือไง""ช่างบังเอิญจริงๆ สมุดบัญชีที่เจ้าส่งไปที่พระราชวังแตกต่างไปจากสมุดบัญชีที่ข้าพบในร้านจินโดยสิ้นเชิง" ซ่งซีซีมองดูเจียอี้ และเสียงของนางก็เข้มงวด "สมุดบัญชีที่เจ้าส่งไปนั้นขาดทุน แต่สมุดบัญชีที่ร้านจินกลับทำกำไร เจ้าว่ามันไม่มีอะไรแอบแฝงหรือ?"เจียอี้รู้สึกหงุดหงิดมาก "เจ้าส่งเสียงดังโวยวายทำไม ที่นี่คือจวนองค์หญิง มิใช่จวนจวนเสนาบดีกั๋วกงหรือจวนอ๋องของเจ้า"ใบหน้าของซ่งซีซีเต็มไปด้วยความเย็นชา "จวนองค์หญิงแล้วทำไม หรือว่าจวนองค์หญิงไม่ใช้เหตุผลเหรอ ในเมื่อเช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่จำเ
สองชั่วยามเต็มๆ พอดีเลย ข้างนอกมืดมากแล้ว และอากาศก็ยิ่งหนาวเย็นลงอีกนักบัญชีที่มีเคราเข้ามารายงานว่า "ทูลองค์หญิงใหญ่ ได้ตรวจสอบบัญชีหมดแล้ว ยอดที่ทำออกมานั้นตรงกับยอดของพระชายาไม่มีผิดขอรับ""ช่างบังอาจ!" องค์หญิงใหญ่ทุบถ้วยอีกใบ ส่งเสียงดังกราวซึ่งทำให้สนมฮุ่ยไทเฟยตกใจและตื่นขึ้นมาทันที มองดูเจ้าองค์หญิงใหญ่ที่โกรธแค้นด้วยสายตาที่ลุกลี้ลุกลนองค์หญิงใหญ่พูดอย่างปรี๊ดแตก "คนใช้ชั่ว กลับรายงานบัญชีเท็จและยักยอกเงินของสนมฮุ่ยไทเฟยและท่านหญิงเจียอี้ ข้าจะลงโทษเขาอย่างหนักแน่นอน"ซ่งซีซีปล่อยสนมฮุ่ยไทเฟย แล้วพูดว่า "ตรวจชัดเจนแล้วก็ดี ในเมื่อหัวหน้าจ้าวทุจริต เรื่องนี้ก็ไม่ต้องให้องค์หญิงใหญ่ออกหน้าแล้ว ข้าจะส่งเขาไปที่หอต้าหลี่ และให้เขาคายเงินที่เขาโกงออกมาทั้งหมด""ซีซี!" น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่อ่อนโยนกว่ามาก และนางก็ถอนหายใจ "ท่านพี่ของเจ้าก็มีส่วนผิดเช่นกัน นางดูแลคนได้ไม่ดีนัก และมีคนยักยอกเงินไปมากมายขนาดนี้นางยังไม่รู้เรื่อง หัวหน้าจ้าวก็เป็นคนของจวนโหวผิงหยาง หากเรื่องนี้ไปกันใหญ่ มันจะเป็นผลเสียต่อทั้งจวนโหวผิงหยางและท่านพี่เจ้านะ เอาอย่างนี้ เจ้าเอาคนนั้นมาให้ข้า ข้าจะให
ท่ามกลางแสงสว่างจ้า ซ่งซีซีนับตัวเงิน เป็นยอดที่ร้านจินทำกำไรมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่มีผิด แม้แต่เศษเงินก็ให้ครบเมื่อเห็นว่าท่าทีที่นางนับเงินอย่างจริงจังนั้น ท่านหญิงเจียอี้เกลียดชังจนกัดฟันกรอดแต่เมื่อคิดว่ามันจบเรื่องแล้ว ก็ยังถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ใครจะรู้ว่า ซ่งซีซีกล่าวเสริมว่า "พรุ่งนี้ข้าจะขายร้านนี้ต่อ และข้าจะเผยข่าวว่าร้านนี้เป็นท่านป้าและท่านพี่เป็นคนดำเนินกิจการ ด้วยชื่อเสียงของทั้งสองท่าน คนที่มาดูร้านเพราะได้ยินชื่อของพวกท่านต้องเยอะแน่นอน ข้าจะกำหนดราคาพื้นฐานไว้สองแสนห้าหมื่นตำลึง เป็นยังไงบ้าง?"ใบหน้าของเจียอี้เปลี่ยนไปทันที "อะไรนะ เจ้าจะบอกคนนอกว่าข้ากับท่านแม่เป็นเจ้าของร้านหรือ ไม่ได้การ"ชื่อเสียงร้านจินจะเป็นยังไงบ้าง? ประการแรก ร้านจินคัดลอกรูปแบบจากร้านอื่น และประการที่สอง วัสดุที่ใช้นั้นหยาบกระด้าง หากแพร่กระจายไป มันจะทำลายชื่อเสียงของนางและท่านแม่ด้วย นางแค่ต้องการหาเงิน และนางไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าร้านจินเป็นของนางซ่งซีซีอุทานว่า "ก็จริง ท่านพี่ไม่ได้เป็นคนดำเนินกิจการจริงๆ งั้นหัวหน้าจ้าวเป็นคนของจวนโหวผิงหยาง งั้นบอกคนนอกว่าเป็นร้านของจ
ซ่งซีซีเอนหลังเก้าอี้ นางตัวสูงและขายาว ดังนั้นจึงดูมีออร่าเป็นพิเศษเมื่อนั่งแบบนี้รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของนาง และดวงตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางดีใจมากที่สนมฮุ่ยไทเฟยไม่ได้ถูกองค์หญิงใหญ่หลอก แม้ว่าคำพูดของนางจะฟังดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจมากนักก็ตามองค์หญิงใหญ่ใช้วิธียั่วยุไม่ได้ผล จึงยิ้ม "คนใดมีความสามารถคนๆ นั้นก็ดูแลบ้าย ไม่มีผิด ทำไมข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่ารังเกียจนางที่เป็นผู้หญิงที่เคยแต่งงานมาล่ะ บอกว่าไม่คู่ควรกับโม่เอ๋อ นี่แค่กี่วังเอง ก็ถูกนางซื้อเป็นพวกแล้ว มีฝีมือจริงๆ สนมฮุ่ยไทเฟย ข้ากังวลว่าต่อไปเจ้าอยู่จวนอ๋อง จะโดนนางหลอกเอาได้"ซ่งซีซีพูดอย่างเย็นชาออกมา "จบกันแค่นี้แหละ ที่เหลือจะทำตามที่ข้าพูด ขอตัวก่อน""เดี๋ยวก่อน!" องค์หญิงใหญ่ตะโกนอย่างเฉียบขาด "ซ่งซีซี อย่ามากเกินไป"ทันทีที่นางตะโกนนั้น สนมฮุ่ยไทเฟยตัวสั่นโดยสัญชาตญาณจู่ๆ ซ่งซีซีก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง "จะมากเกินไปอะไร เรื่องบางเรื่องข้าไม่อยากพูดให้ชัดเจน เพราะไม่อยากให้เจ้าต้องหน้าแตกจนไม่น่าดู ในเมื่อเจ้าไม่กลัวโดนฉีกหน้า งั้นผู้หญิงที่เคยหย่ามาอย่างข้าจะกลัวทำไม หัวหน้าจ้าวไม่ได
นับเงินอีกแล้ว ตัวเงินไม่พอ ก็ใช้แท่งทองคำมาแทนดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะมีเงินเก็บเยอะอยู่ การหาเงินมากกว่าสองแสนตำลึงนั้นจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องยากก่อนหน้านี้ก็ประเมินนางต่ำเกินไปแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางได้เลี้ยงดูทหารประจำจวนและคนรับใช้หลายร้อยคน ยังมักจะจัดงานเลี้ยงด้วย สวมเสื้อผ้าที่หรูหรา เครื่องประดับราคาแพง และของกินของใช้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้นเพียงเห็นท่าทางที่นางออกเงินนั้นราวกับหัวใจของนางกำลังจะมีเลือดไหลอยู่ ซ่งซีซีคิดว่าเงินก้อนนี้คงเข้าถึงจุดอ่อนของนางแล้วครั้งนี้พวกนางแตกคอกันจริงๆแต่ได้คืนสิ่งที่สมควรได้รับและเงินที่ถูกโกงนั้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียเปรียบ ส่วนเรื่องที่แตกคอกับนาง มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว ความสามัคคีอันเสแสร้งนี้เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาต่อกลับจวน!เมื่อสองแม่ลูกองค์หญิงใหญ่เฝ้าดูการจากไปของนาง ไม่มีความสุภาพเหมือนตอนที่นางมาแม้แต่น้อย และหลังตรงของนางก็แสดงความรู้สึกครอบงำ"ซ่งซีซี!" องค์หญิงใหญ่กัดฟันกรอด เวลานี้ตนเองทำอะไรไม่ได้นางเลยเจียอี้ยังรู้สึกเจ็บปวดใจมาก "น้ำพักน้ำแรงที่นางพยายามมาหลายมีนี้เสียเปล่าไปหมด ทั้งหมดเป็นเพราะนั
เซี่ยหลูโม่และจางต้าจ้วงเป็นผู้นำทาง และรถม้าก็ตามอยู่ข้างหลังอย่างช้าๆสนมฮุ่ยไทเฟยจับมือซ่งซีซี และมีความสุขมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไง "ข้าไม่คาดคิดจริงๆ ว่าเจ้าจะทำให้พวกนางคืนเงินทั้งหมดได้ คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ข้ารู้จักองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างดี นางดูใจดีกับทุกคน แต่จริงๆ แล้วเนางกลับเป็นคนเผด็จการมาก"ซ่งซีซีค่อยๆ ดึงมือของนางออกแล้วพูดว่า "ถ้ารู้ว่านางเป็นคนยังไงต่อไปก็สุงสิงกับนางให้น้อยลงก็ได้"สนมฮุ่ยไทเฟยตอบกลับว่าอืม หลังจากคิดดูอีกทีแล้วก็รู้สึกเป็นห่วง "แค่กังวลว่าหลังจากแตกคอกับนางแล้ว ต่อไปนางจะพูดจาให้ร้ายเราเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกฮูหยิน เพื่อทำลายชื่อเสียงของเรา""แค่นี้มีอะไรต้องกังวล" ซ่งซีซีกล่าวอย่างใจเย็น"แน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องห่วง ชื่อเสียงของเจ้าเสียตั้งแต่แรกแล้ว แต่ข้าเพิ่งออกจากวัง จะเสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ได้"ซ่งซีซีชายตาแลดูนางแวบหนึ่ง เมื่อพูดคุยกับคนของตนเองก็พูดแทงใจดำทุกคำเลยสนมฮุ่ยไทเฟยตระหนักได้ว่านางพูดอะไรผิด และรีบแก้ตัวว่า "นั่นไม่ใช่อย่างนั้นนะ นี่ไง เซียนหนิงกำลังหาคู่ครองอยู่ องค์หญิงใหญ่ได้ไปมาหาสู่กับตระกูลชั้นสูงมากมายอย่างใกล้ชิด กลัวว่า
คิอไปคิดมา บวกกับอากาศหนาวจัด สมองก็เริ่มสับสนขึ้นมา และกระดูกก็เจ็บเหมื่อยเล็กน้อยเมื่อกลับมาถึงจวน ซ่งซีซีช่วยพยุงนางลง และสั่งให้คนใช้ทันทีว่า "ทำน้ำขิงร้อนๆ หม้อหนึ่ง ทุกคนต่างก็หนาวจัด มาดื่มน้ำขิงร้อนๆ สักชามเพื่อคลายความหนาวเย็นออกไป"สนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกละอายใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซ่งซีซีมีน้ำใจจริงๆ นางยังจำได้ว่านางได้ทนความหนาวเย็นในจวนองค์หญิง ความกตัญญูกตเวทีและความเอาใจใส่ของนางมีผู้ใดสามารถเทียบได้ล่ะนางไม่เคยคิดซ่งซีซีไม่ได้ทำเพื่อนาง แต่เพราะเซี่ยหลูโม่โดนลมหนาวพัดอยู่ข้างนอก นางห่วงใยสามีของตนเองห้องครังต้มน้ำขิงมาให้ และแต่ละคนก็หยิบถ้วยหนึ่งขึ้น ซ่งซีซีจ้องมองที่เซี่ยหลูโม่ได้ดื่มไปสองถ้วยก่อนที่จะปล่อยเขาไป จากนั้นก็หันกลับมาเห็นแม่สามีกำลังจิบช้าๆ อยู่ นางก็พูดว่า "เสด็จแม่ดื่มถ้วยหนึงก่อนแล้วกินอาหารร้อนๆ อีกที"วันนี้ไปที่นั่นก็ตกเย็นแล้ว จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบบัญชี ทางจวนองค์หญิงไม่แม้แต่จะให้น้ำกินเลย นับประสาให้อาหารด้วย"อืม รู้แล้ว" สนมฮุ่ยไทเฟยตอบด้วยเสียงแหบแห้ง นางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างอธิบายไม่ถูก "ข้าจะดื่มให้หมด""ก็ได้ งั้นข้าจะกลับเรือนแช
จะอายไม่อายนั้น สุดท้ายทั้งสองคนก็แช่น้ำด้วยกันหลังจากแช่น้ำเสร็จแล้ว ภายในม่านสีแดงก็ยังคงนัวเนียกันอยู่ ดีที่ทั้งคู่เป็นผู้ฝึกทักษะการต่อสู้มา แม้ว่าพวกเขาจะนอนแค่หนึ่งหรือสองชั่วยาม แต่ก็ยังทนได้เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นหญิงวัยกลางแปลกหน้าสองคนเดินเข้ามารับใช้เซี่ยหลูโม่นี่คือหัวหน้าลู่จัดให้ เดิมทีป้าสองคนนี้ทำงานในห้องเย็บผ้า เนื่องจากตอนนี้ข้างกายท่านอ๋องไม่มีคนใช้ และก็ไม่เหมาะที่จะให้ชายรับใช้เข้าเรือนคอยดูแลเรื่องการแต่งกายในส่วนของสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างพระชายา รุ่ยจูและตูงจูไปรับใช้คุณชายรุ่ยเอ๋อร์ ในขณะที่เป่าจู เสวียจูและหมิงจูอยู่เคียงข้างกับพระชายาเพื่อรับใช้นางอย่างใกล้ชิดแม่นมเหลียงดูแลเรื่องเรือนดอกบ๊วยทั้งหมด ย่อมไม่สามารถรบกวนนางมาดูแลหากส่งสาวน้อยไปดูแล เกรงว่าพวกนางอาจมีความคิดอื่นแอบแฝง สู้ไม่ได้ที่จะให้ป้าหยินและป้าฉงจากห้องปักเย็บมาเพื่อรับใช้ท่านอ๋อง ทั้งคู่มีอายุประมาณสี่สิบปี ทำงานจริงจังและละเอียด ไม่เกิดความคิดอื่นฝดได้จะว่าไป ป้าทั้งสองคนนี้ก็ได้รับพระราชทานจากไทเฮาตอนที่ท่านอ๋องสร้างจวนอ๋อง ก่อนหน้านี้รับใช้ไทเฮาอยู่ ดังนั้นจึงคอยไ
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา