คลื่นแผ่วบางในใจข้าที่เคยพัดผ่าน ก็หาได้แผ่ขยายในทะเลสาบใจข้าไม่ ข้ายังคงใช้ชีวิตไปตามครรลองเช่นเดิมบางคนก็เปรียบได้กับแสงตะวันอุ่นในชีวิต นำพาความอบอุ่นมาเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นตะวันก็ตกดิน แล้วก็หายไปจนกระทั่งผ่านไปหลายเดือน พี่สาวมาหาข้า บอกว่าเหลียงเส้าไปแจ้งความที่จวนผู้ตรวจการประจำเมืองหลวง บอกว่ามีคนติดตามเขาตลอด จวนผู้ตรวจการตรวจสอบแล้วจึงทราบว่าเป็นคนของหยุนฮั่นหลินที่ส่งไปติดตามนางจึงไปพบหยุนฮั่นหลิน และเขาก็บอกว่า เป็นห่วงว่าเหลียงเส้าจะมาก่อกวนข้าอีก จึงส่งคนไปเฝ้าดูไว้แน่นอนว่า ยังได้รู้เรื่องอื่นอีกด้วยเดิมที ก่อนที่หยุนฮั่นหลินจะได้เป็นจอหงวน ปีหนึ่ง เขาเคยพามารดาเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบ ตอนนั้นมารดาของเขามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนสิ้นใจอยากเห็นเขาสอบได้จึงฝืนมาแต่พอมาถึงเมืองหลวง เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง โรคจึงกำเริบหนัก ถึงขั้นเป็นลมหมดสติในโรงเตี๊ยมตอนนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมกลัวว่านางจะสิ้นใจในโรงเตี๊ยม จึงขับไล่แม่ลูกคู่นี้ออกมาเขาแบกมารดาไปขอพักที่อื่น แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับ ต้องนอนข้างถนนอยู่สองคืนติดอากาศในฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มเย็น ทำให
เหลียงเส้าไม่กล้ามาอีกแล้ว แต่กลับเป็นหยุนฮั่นหลินที่มักจะปรากฏตัวตรงหน้าข้าเสมอหลายครั้งที่เขาพาคนมาที่ร้านของโรงงานที่ข้าจัดตั้งไว้ ร้านนี้ขายงานปักที่พวกสาวช่างปักทำขึ้น ตลอดหลายปีมานี้ก็สะสมลูกค้าสตรีจากตระกูลใหญ่และภรรยาเหล่าขุนนางไว้มากมาย ข้าบางคราก็มาเยี่ยมเยือนสังสรรค์บ้างแท้จริงแล้ว งานปักมิได้ขายยากนัก ทั่วทั้งเมืองหลวงแทบไม่มีใครเทียบฝีมือของแม่นางม่อได้ เพียงแต่หากจะขายให้แขกชั้นสูง ก็จะตั้งราคาสูงขึ้นบ้างบัดนี้ราชสำนักอนุญาตให้หญิงตั้งบ้านเป็นของตนเองได้ พวกนางต่างหวังว่าจะหาเงินได้มากพอเพื่อซื้อเรือนเล็กๆ สักหลัง แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขข้าเป็นถึงฮูหยินเสนาบดี อีกทั้งยังเป็นญาติฝ่ายแม่ของพระชายาเนี่ยเจิ้งอ๋อง สตรีเหล่านั้นย่อมยินดีจะสนิทสนมกับข้าทีแรกหยุนฮั่นหลินเพียงพาคนผ่านหน้าร้าน บังเอิญหันตามองเข้ามาคราหนึ่งแล้วก็จากไปครั้นทำเช่นนั้นหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มเข้ามาซื้อของในร้านเสียเลยในร้านนอกจากเสื้อผ้าชุดคลุมแล้ว ยังมีงานปักเล็กๆ เช่น พัด ผ้าเช็ดหน้า ฉากกั้นเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นของใช้สำหรับสตรีเขามิได้ซื้อเสื้อผ้าเลย ซื้อแต่พัดพับเท่านั้นแท้จริงพัดพับม
ข้าเงยหน้ามอง บุรุษผู้นั้นกลับเป็นหยุนอิ่งหยางเขารีบยืนขวางระหว่างข้ากับเหลียงเส้า ข้าหันหลังให้เขา จึงไม่เห็นสีหน้า ได้ยินเพียงเสียงเคร่งขรึมของเขาว่า “ถอยไป”ชัดเจนว่าเหลียงเส้าตกใจ ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แล้วมองสำรวจหยุนฮั่นหลิน “เจ้าคือผู้ใด? ข้ามาหาฮูหยินของข้า เกี่ยวอันใดกับเจ้า”เมื่อได้ยินคำว่าฮูหยิน ข้าก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างยากจะทานทน เรื่องราวในอดีตถาโถมเข้ามา ทำให้ข้าโมโหยิ่งนัก จึงกล่าวเย็นชา “ข้าไม่มีสามี มิใช่ฮูหยินของผู้ใด โปรดอย่าร้องเรียกมั่วซั่วให้เสียชื่อข้า”เหลียงเส้ารีบร้อนเอ่ยว่า “หลานเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าข้าผิดแล้ว เจ้าจะลงโทษหรือด่าทออย่างไรข้าก็ยอม แต่พวกเรา…”“พวกเจ้าไม่ใช่สามีภรรยากัน” หยุนฮั่นหลินเห็นท่าทีของข้าก็ขัดจังหวะเขาทันที แล้วหันไปโบกมือเรียกคน “ใครก็ได้ มานี่ นำตัวคุณชายจวนเฉิงเอินป๋อกลับไปเสีย”ทันใดนั้นก็มีชายสองคนเข้ามา จับตัวเหลียงเส้าไว้ข้างละข้างเหลียงเส้าตกใจร้องลั่นใส่หยุนฮั่นหลิน “เจ้าคือใคร? ข้ามาหาเมียข้า มันเกี่ยวอันใดกับเจ้า!”“ข้าเป็นใครก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า นำตัวไป!” หยุนฮั่นหลินออกคำสั่ง หนึ่งคำ สองคนนั้นก็ลากตัวเหลียงเส้าออ
พวกเขามีเรื่องขึ้นมาจริงๆข้ามิเคยแม้แต่จะฝัน ว่าเสด็จพ่อผู้ขี้ขลาดหวาดกลัวของข้า จะกล้าร่วมมือก่อกบฏเสด็จพ่อกับพี่ชายถูกตัดศีรษะ เสด็จแม่ถูกคุมขัง เรื่องราวครั้งนี้หาได้พัวพันถึงข้าไม่ เพราะพวกเขาตัดขาดกับข้ามาแต่เนิ่นๆ ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนรู้กันทั้งนั้นเมื่อก่อนข้าเคยสาบานไว้ว่า ต่อให้พวกเขาเป็นอะไรไป ข้าก็จะไม่ข้องเกี่ยวอีกทว่า สายใยเลือดเนื้อกลับตัดไม่ขาด แม้ในใจจะโกรธเกลียดเพียงใด แต่ก็ยังปวดร้าว ยากจะกินได้นอนหลับข้าจึงไปขอร้องลูกพี่ลูกน้อง ให้ข้าได้นำเสื้อผ้าอาหารเข้าไปส่งให้ในเวลาที่เหมาะสมเมื่อเสด็จแม่เห็นข้า ก็ร่ำไห้คร่ำครวญ ขอร้องให้ข้าช่วยนางออกมาข้ายังแก้นิสัยร้องไห้ง่ายไม่หาย เพียงแต่ใจแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน ข้าจึงพูดว่า “เมื่อข้าติดอยู่ในโคลนตมของตระกูลเหลียง ขอร้องพวกท่านช่วยเหลือ พวกท่านกลับบอกว่าต่อให้ติดหล่มก็ยังมีลมหายใจ ให้ข้าอยู่เฉยๆ อย่างว่าง่าย คำพูดนี้วันนี้ก็ขอคืนให้ท่าน แม้ตอนนี้ท่านจะถูกจองจำ แต่ตราบใดที่ยังหายใจได้ ก็ถือว่ารอดแล้ว”ข้าพูดจบก็หันหลังจากไป ปล่อยให้นางร้องไห้โวยวายสารภาพผิดอยู่เบื้องหลัง ข้าก็ไม่ได้หันกลับไปเมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ
ข้าชื่อเซี่ยหลันชีวิตของข้า ก่อนจะหย่าร้างก็เป็นเรื่องตลกทั้งสิ้นตั้งแต่เล็ก เสด็จพ่อและเสด็จแม่สอนข้าว่า คนเราควรถ่อมตน อย่าอวดเด่น อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน ต้องรักษาชื่อเสียง อย่านำปัญหามาสู่ตนทุกคนต่างพูดว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้านั้นใจกว้าง ถ่อมตน เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งข้าก็คิดว่าเป็นคำพูดจากใจจริงอย่างไรเสีย เสด็จพ่อก็เป็นถึงอ๋องฮวย เสด็จแม่ก็เป็นบุตรีตระกูลเซียว มีฐานะสูงศักดิ์ แต่ไม่เคยหาเรื่องใคร ไม่ทะเลาะกับใคร ต่อให้เสียเปรียบเล็กน้อยก็ยังยิ้มรับแต่พอข้าโตขึ้น พอรู้แยกแยะถูกผิดได้ ก็พบว่า คำชมเหล่านั้น แท้จริงคือการเสียดสี เย้ยหยันในสายตาของพวกเขา เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าคือคนขี้ขลาดที่น่ากลัวคือ ข้าได้รับการอบรมมาแบบนี้ตั้งแต่เล็ก จนกลายเป็นคนขี้ขลาดโดยไม่รู้ตัว เข้าใจผิดว่าความอ่อนแอของตนคือความอ่อนโยนความผิดพลาดนี้ ต่อให้หลังจากแต่งกับเหลียงเส้าแล้ว ข้าก็ยังไม่รู้ตัวชัดเจนข้ายังคิดว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่เป็นเพียงคนใจดี บางทีอาจแค่ห่วงชื่อเสียง ไม่อยากมีปากเสียงกับผู้คนแต่ข้าเป็นถึงท่านหญิงหยงอัน กลับถูกทางบ้านสามีรังแก ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ความอ่อนแอของครอบครัวเรา
กระบวนการคลอดไม่ราบรื่นนัก เด็กคนนี้ทำให้แม่ของเขาทรมานถึงห้าชั่วยาม กว่าจะคลอดออกมาได้ออกมาแล้วยังไม่ร้อง ผู้ผดุงครรภ์ต้องตีก้นเขาอยู่หลายที ถึงจะร้องออกมาดังลั่นเมื่อเขาร้องขึ้นมา ใจของทุกคนจึงได้กลับเข้าที่เข้าทางเจ้าสิบเอ็ดฝางเพราะกังวลมากเกินไป อารมณ์ตึงเครียด พอคลายลงกลับหน้ามืดเป็นลมล้มไปเซี่ยเจิงได้ยินถึงตรงนี้ก็ร้องอ้อออกมา “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน ลุงหยูเคยเล่าให้ข้าฟัง ว่าลุงฝางเคยเป็นลมอยู่ในห้องคลอด ถูกผู้คนหัวเราะเยาะอยู่ตั้งนาน”หยานหรูอวี้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว เรื่องนี้เขาถูกล้ออยู่พักใหญ่ เด็กคนนี้ก็คือพี่ใหญ่ฝางของเจ้านี่แหละ”นางกล่าวต่อถึงเรื่องหลังเด็กกำเนิดออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ร่างกายจึงอ่อนแอ เมื่อตอนเป็นทารกก็มักจะป่วยบ่อย จำนวนครั้งที่กินยา แทบจะเป็นรองจากการกินนมโชคดีที่พออายุสามขวบ ทุกอย่างก็เริ่มคงที่ เริ่มฝึกวรยุทธ์เพื่อเสริมสร้างร่างกายลูกคนที่สองมาเหมือนกับเซี่ยเจิง เป็นเรื่องของโชคชะตา หลังจากให้กำเนิดบุตรชายคนโต เจ้าสิบเอ็ดฝางก็ไปขอยาคุมกำเนิดจากหมอเทวดาตันมากินเอง บอกว่ายานี้มีผลห้าปี หากต้องการไม่ให้มีลูกอีกเลย
“ช่วงเวลานั้น หากมิใช่มีเขาอยู่เคียงข้าง ข้าคงมิอาจอดทนต่อไปได้แน่” หยานหรูอวี้เอ่ยพลางถอนหายใจ “เจิงเออร์ หากเจ้าจะแต่งงาน ต้องหาใครสักคนที่รักเจ้าจริงๆ เขารักเจ้า ถึงจะคอยปกป้องเจ้าฝ่าฟันพายุฝนแห่งชีวิตไปด้วยกันได้”เซี่ยเจิงกล่าวว่า “ข้าเชื่อในความรัก ท่านพ่อท่านแม่ก็รักกัน”บ้านของนางเปี่ยมไปด้วยความรัก นางเชื่อในความรัก เชื่อในสายใยครอบครัว และเชื่อในมิตรภาพชีวิตของนางจึงเต็มไปด้วยสิ่งงดงามหยานหรูอวี้ยิ้มอ่อนโยน “ใช่แล้ว พ่อแม่เจ้ารักกันมากจริงๆ”เซี่ยเจิงอยากฟังเรื่องราวต่อ รีบถามว่า “แล้วเด็กในครรภ์รอดหรือไม่? ท่านผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร?”ต้องฝังเข็มทุกวัน กินยา ดื่มน้ำแกงบำรุง อาเจียนเสียจนโลกหมุนคว้าง มืดฟ้ามัวดินนางไม่อาจลุกจากเตียงได้ แม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่มีแรงเด็กในครรภ์ดูดซับสารอาหารจากนาง แต่ตัวนางเองกลับกินอะไรไม่ลงจนในที่สุดพออาเจียนมากเข้า ก็เลิกกินยารักษาครรภ์เสียเลย ท่านย่าคิดว่า รอให้เด็กหลุดไปเอง หากหลุดไม่หมด ค่อยใช้ยาขับครรภ์ตามที จะได้ใช้ในปริมาณเบาลง ร่างกายของนางจะได้ทนรับไหวเรื่องนี้ก็เป็นการพิจารณาและเห็นชอบจากหมอมหัศจรรย์ดันเช่
นี่คือบททดสอบแรกในชีวิตแต่งงานของพวกเขาชีวิตที่หวานชื่น กลับถูกย้อมด้วยรสขมของยาเรื่องเช่นนี้ ย่อมต้องให้เขากลับมาเป็นผู้ตัดสินใจเขาได้รับข่าวรีบร้อนกลับมา ไม่แม้แต่ไปคารวะแม่ก่อน ก็ตรงดิ่งกลับเข้าห้องทันทีเขานำไอหนาวกลับมาทั้งตัว หิมะเกาะไหล่ยังไม่ละลาย ยืนสั่นอยู่นอกห้องสักครู่ แล้วจึงให้คนเอากะละมังไฟมาผิงอุ่นมือ ก่อนจะกล้าก้าวเข้าไปกอดนางเขากล่าวเสียงสั่นเครือ “ป่วยแล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้า ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากไม่สบาย ต้องรีบบอกข้าโดยพลัน”เมื่อเขากลับมา นางก็รู้สึกเหมือนมีหลักยึด จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากเพียงเห็นนางซูบผอมเช่นนี้ เขาก็เสียใจจนหลั่งน้ำตา “ทำให้เจ้าทรมาน เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่ดูแลเจ้าให้ดี”นางซบหน้าลงบนอกเขา ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะมั่นคง ความไม่สบายใจตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็จางหายไปมาก นางกล่าวว่า “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าลำบาก เจ้าก็ยุ่งอยู่ แล้วยังต้องกลับมาอีก”“ในกองทัพ แม้ข้ายุ่ง ก็ยังมีผู้แทนแทนข้าได้ แต่ข้างกายเจ้า ไม่มีผู้ใดแทนข้าได้” เขาลูบแผ่นหลังนางเบาๆ “ข้าเข้าใจเรื่องราวแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปปรึกษาหมอมหัศจรรย์ดันอีกครั้ง แล้วเราค่อยตัดสิน
เขามิได้ให้คำสัญญาใดว่าจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร เพียงกล่าวว่าเมื่อแต่งแล้วเป็นสามีภรรยา ย่อมต้องร่วมใจกันใช้ชีวิตให้ดีคืนส่งตัวเข้าหอ นางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ครั้นผ้าม่านห้องหอถูกปล่อยลง นางก็พลันตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุก่อนออกเรือน แม่นมเคยสั่งสอนนางถึงวิธีปรนนิบัติสามีในคืนแรก แม้นางจะรู้สึกเขินอาย ทว่าก็ฟังจนจบทุกถ้อยคำ นับว่าพอเข้าใจถ่องแท้ทว่าเมื่อถึงคราแห่งความจริง นางกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเช่นไร ทั้งร่างจึงสั่นเทิ้มด้วยความประหม่าโชคดีที่เขาอ่อนโยนยิ่งแม่นมเคยบอกไว้ว่า คืนส่งตัวเข้าหอสำหรับสตรีนั้น ไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพิสมัย ทว่าหากอดทนผ่านพ้นไปได้สองสามวัน ทุกสิ่งย่อมดีขึ้นแต่นางกลับรู้สึกว่า คำของแม่นมก็ใช่จะถูกไปเสียทั้งหมด ความแนบชิดของร่างกาย การหลอมรวมของจิตวิญญาณ ทำให้นางรู้สึกว่าสิ่งนี้ช่างงดงามนักแน่นอนว่า เรื่องพวกนี้นางเก็บไว้ในใจ ไม่ได้กล่าวแก่เซี่ยเจิงชีวิตหลังแต่งงาน หวานชื่นเกินความคาดหมายของนางเดิมนึกว่าเขาเป็นบุรุษเคร่งขรึม เจ้าระเบียบ น่าจะจืดชืดสักหน่อย ทว่าเขากลับเอาใจใส่ละเมียดละไม ย่อมสังเกตอารมณ์ของนาง รับรู้ความรู้สึกของนาง วันหยุด