ฮ่องเต้ต้องการช่วยระบายความโกรธให้นาง และให้จ้านเป่ยว่าง แต่งงานกับผู้หญิงที่หย่าโดยสันติหลังจากแต่งงานได้หนึ่งปีมันพอดีเลย นางกับจ้านเป่ยว่างก็หย่าหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปีเช่นกันเพียงแต่ว่า คุณหนูสามคนนั้นอาจไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งไว้แล้ว ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้วันนั้นที่นางมาหา นางคงอยากรู้ว่าจ้านเป่ยว่างเป็นคนแบบไหนที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ จะทำให้ซ่งซีซีรู้สึกว่าตนเองอาจทำให้คุณหนูสามเดือดร้อนไปด้วยนี่ไม่ใช่การระบายความโกรธให้นาง แต่เป็นการสร้างศัตรูให้นางมากกว่าดูเหมือนว่า นางต้องการพบกับคุณหนูสามสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อกำจัดความขุ่นเคืองของพวกนาง เพื่อที่จะไม่เป็นศัตรูกับจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อตัวเอง มันไม่ได้สำคัญอะไร ต่อไปรุ่ยเอ๋อร์จะเป็นผู้นำของจวนเสนาบดีกั๋วกง อย่าเพื่อเรื่องนี้ทำให้เกิดความแค้นใจขึ้นมาเมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว เซี่ยหลูโม่จึงกล่าวว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าจากป๋อผิงซีส่งคำเชิญอยากมาเยี่ยม คงอยากถามไถ่เรื่องที่เจ้าหย่ากับจ้านเป่ยว่าง เรื่องนี้ข้างนอกลือกันใหญ่ แต่พวกนางเป็นคนมีเหตุผล รู้ว่าข่าวที่ข้างนอกลือกันนั้นไม่อาจเป็นความจริงท
ฮูหยินผู้เฒ่าสวมเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายลายเมฆสีฟ้า ถือถังทำความร้อนอยู่ในมือ นางดูมีอายุประมาณห้าสิบปี มีผมหงอกบางส่วน ผมของนางหวีเป็นมวยอย่างประณีต และดูสง่างามมากเมื่อมองไปที่คุณหนูสาม นางแต่งตัวเรียบๆ ใต้เสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว นางสวมกระโปรงสีเหลือง อายุยี่สิบกว่า และดูสวยงาน แต่ใบหน้าของนางดูไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย หากมิใช่มีสีเหลืองนี้ ก็คงรู้สึกว่าออร่าของนางดูเชยกว่าท่านแม่ของนางซะอีกหลังจากที่ซ่งซีซีเชิญพวกนางนั่งลง นางก็อธิบายว่า "ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคำเชิญมา ตอนนั้นรุ่ยเอ๋อร์กำลังอยู่ระหว่างช่วงการรักษา ข้าเลยไม่อาจเจียดเวลามาพบแขก กลัวว่าจะเสียมายาทได้ เลยให้คนรับใช้ปฏิเสธไปก่อน ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว เลยอยากจะชวนทั้งสองคนมารวมตัวกันที่จวน ขอบคุณที่พวกเจ้ายังคงคำนึงถึงรุ่ยเอ๋อร์"วันนั้นที่พวกนางออกคำเชิญ โดยบอกว่าจะมาเยี่ยมนายน้อยรุ่ยเอ๋อร์ ซ่งซีซีย่อมต้องพูดเช่นนั้นไปฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า "ตอนนี้นายน้อยเป็นยังไงบ้าง?""ดีขึ้นมากแล้วเจ้าคะ เป็นพรของเขาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วง" ซ่งซีซีกล่าวฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและพูดว่า "ข้ารู้ว่าที่จวนเสนาบดีกั๋วกงของพวกเจ้ามีทุกอย่
หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็ยิ้มอีกครั้ง "แต่เจ้าหย่าแล้วก็ดี บัดนี้ได้แต่งงานกับท่านเป่ยหมิงอ๋อง การเป็นพระชายาจะไม่ดีกว่าฮูหยินของแม่ทัพหรือ"ซ่งซีซีไม่ชอบคำพูดที่ประชดของนาง จึงพูดอย่างใจเย็นว่า "คนเราจะควบคุมโชคชะตาได้อย่างไร เมื่อข้าหย่า ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะแต่งงานท่านเป่ยหมิงอ๋องได้""ชิงเอ๋อร์ เจ้าพูดแบบนี้ได้ยังไง" ฮูหยินผู้เฒ่าทำสีหน้าไม่พอใจ"ขอโทษนะ ข้ามักจะพูดตรงไปตรงมาเสมอ หวังว่าคุณหนูซ่งจะไม่ถือสา" คุณหนูสามระงับรอยยิ้ม แล้วถามอีกครั้ง "แล้วคุณหนูซ่งคิดอย่างไรกับนิสัยใจคอของจ้านเป่ยว่างล่ะ ในเมื่อเจ้าหย่ากับเขาแล้ว เขาต้องมีสภาพแย่มากอยู่ในใจของเจ้าสินะ"ซ่งซีซีรู้สึกตลกสิ้นดี "ในเมื่อคุณหนูสามพูดแบบนี้แล้ว ทำไมถึงมาถามข้าล่ะ"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องเขม็งไปที่หวังชิงหลูอย่างดุเดือด จากนั้นพูดกับ ซ่งซีซีด้วยน้ำเสียงขอโทษ "คุณหนูซ่งอย่าไปถือสาเลย หลายปีมานี้นางอยู่คนเดียวจนชินเป็นนิสัย พูดอะไรไม่ใช้สมอง เจ้าอย่าเก็บไว้ในใจ ที่เรามาครั้งนี้ นอกจากมาเยี่ยมนายน้อยแล้ว ยังอยากรู้ว่าจ้านเป่ยว่างเป็นคนยังไงจากปากของคุณหนู อย่างน้อย มองจากมุมมองของคุณหนูว่าเขาเป็นคนแบบไหน"ซ่งซ
หลังจากส่งฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซี และคุณหนูสามออกไปแล้ว ซ่งซีซีก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นสักพักใหญ่ นางรู้สึกงุนงงเล็กน้อยจ้านเป่ยว่างมีท่าทียังไงกับการแต่งงานครั้งนี้ล่ะ? ไหนบอกว่ารักยี่ฝางคนเดียวเหรอ? เมื่อนึกถึงยี่ฝางที่มาอวดต่อหน้านางอย่างหยิ่งผยอง ไม่คิดว่าจะมีนายหญิงคนใหม่เร็วขนาดนี้ ไม่รู้ว่ายี่ฝางจะคิดยังไง แล้วจะคิดว่าที่ตนเองหยิ่งผยองในตอนแรกนั้นจะตลกน่าขำหรือไม่แม้ว่าคุณหนูสามจะเข้ากันได้ยากนัก แต่ถึงยังไงนางเป็นคุณหนูจากจวนป๋อผิงซี ดังนั้นนางจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ในจวนยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านน่าจะชอบลูกสะใภ้คนนี้มาก ไม่มีเหตุผลอื่นใดหรอก แม้ว่านางจะเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง แต่นางก็จะมีสินเดิมมากมาย และครอบครัวของท่านพ่อแม่ของนางก็แข็งแกร่งด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าชอบลูกสะใภ้ที่มีภูมิหลังเก่งๆยี่ฝางเคยบอกว่านางจะไม่สู้กับผู้หญิง แต่ไม่รู้ว่าคราวนี้นางจะสู้หรือเปล่า?นางอยากใช้ชีวิตแบบคนที่นางเกลียดชังมากที่สุดหรือเปล่าเนี่ย?ซ่งซีซีอยากรู้อยากเห็นก็จริง แต่นางจะไม่ส่งคนไปสอบถามอย่างไรก็ตาม แม้ว่าซ่งซีซีไม่ได้ไปสอบถามเอง ก็มีคนจากต
แม่นมเหลียงเข้ามาพร้อมกับชามรังนกที่ฮูหยินผู้เฒ่ารองชอบ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านฮูหยินผู้เฒ่ารองโชคดีมากนะ ไม่ได้ตุ๋นรังนกมาหลายวันแล้ว เพิ่งบังเอิญตุ๋นมันในวันนี้ ท่านก็มาพอดีเลย"สิ่งที่แม่นมเหลียงพูดนั้นไม่เป็นความจริง ตอนนี้ตุ๋นมันทุกวันและคู่กับยาให้รุ่ยเอ๋อร์ใช้รักษาลำคอของเขานอกจากนี้ มีรังนกมากมายอีกด้วย ตระกูลขงนำรังมาบ้าง หัวหน้าลู่จากจวนเป่ยหมิงอ๋องก็ส่งรังนกมาสองตาชั่ง ส่วนเฉินฟูก็ซื้อเองบ้างฮูหยินผู้เฒ่ารองมองแม่นมเหลียง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ข้าเป็นคนกินเก่ง รู้ว่ามีของดีให้กินก็มาแล้วแหละ ช่วงนี้ข้าไอ และมาที่นี่เพื่อขอชามรังนกสักชามนึง คืนนี้จะหยุดไอแน่นอน"ซ่งซีซีถามด้วยความกังวล "อาการไอของท่านยังไม่หายดีหรือ ครั้งที่แล้วที่ท่านมาเยี่ยมรุ่ยเอ๋อร์ ข้าก็ได้ยินท่านไออยู่เลย""แต่ละวันมีแต่เรื่องวุ่นวาย จะดีขึ้นได้ยังไง" ฮูหยินผู้เฒ่ารองใช้ช้อนคนรังนกในชามกระเบื้องเบาๆ ด้วยสีหน้าโศกเศร้าและรังเกียจ "จ้านเป่ยว่างไม่กลับบ้าน พอกลับบ้านยี่ฝางก็จะทะเลาะกับเขา และยังใช้กำลังด้วย จ้านเป่ยว่างอดทนเก่งจริงๆ ถูกทุบตีก็ไม่สู้กลับ โดนด่าก็ไม่ว่าอะไร ทุกวันนี้ยี่ฝางเหมือนคน
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารองจากไป ซ่งซีซีให้แม่นมเหลียงนำรังนกหนึ่งตาชั่งให้นางเอากลับไปฮูหยินผู้เฒ่ารองมีอาการไอ และจะกำเริบเมื่ออากาศหนาวเย็น ก่อนหน้านี้ซ่งซีซีมักจะให้รังนกนางฮูหยินผู้เฒ่ารองปฏิเสธรับ และซ่งซีซีก็เลียนแบบคำพูดนางว่า "ถ้าท่านไม่รับไว้ก็ถือว่ารังเกียจข้า งั้นข้าก็จะไม่รับของจากท่านเช่นกัน"ขณะที่นางพูดนั้นก็เรียกให้แม่นมเหลียงคืนกำไลทองกลับไป"เฮอะ ข้าจะรับมันไว้ข้ารับไว้" ฮูหยินผู้เฒ่ารีบรับรังนกไว้ในมือ "มักจะเอาของของเจ้าไป และข้านี่น่าอายจริงๆ""ช่วงเวลาที่ข้ายากลำบากนั้น ท่านเป็นคนคอยอยู่ข้างๆ ข้า ข้าจดจำไว้ในใจ" ซ่งซีซีคว้าแขนของนาง แล้วส่งนางออกไปเมื่อตระกูลซ่งถูกสังหารหมู่ แม้ว่าบ้านใหญ่ได้ปลอบใจบ้าง แต่ก็แค่พูดเปล่าๆ มีแต่ฮูหยินผู้เฒ่ารองที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนางอย่างจริงใจเมื่อรู้ว่านางกินไม่ได้และนอนไม่หลับในเวลานั้น นางจึงปรุงยาบรรเทาอาการให้นาง ยาบรรเทาอาการที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้นั้น ส่วนใหญ่เป็นนางต้มให้เองเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารองได้ยินเช่นนี้ นางก็เกือบจะน้ำตาไหล นางรีบปาดจมูกแล้วหันหน้าหนี "ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเป็นลูกสาวของข้า ตราบใดที่เจ้าไม่ร
หมอมหัศจรรย์ดันได้ถูกตามหามา หลังจากได้รับการตรวจร่างกายจากเขาแล้ว เขาชื่นชมการทำงานของหงเชวี่ยก่อน จากนั้นชื่นชมความสามารถในการฟื้นตัวของรุ่ยเอ๋อร์จากนั้นเขาก็แตะปลายจมูกของรุ่ยเอ๋อร์ แล้วพูดว่า "เจ้าหนูน้อย เก่งจริงๆ ท่านปูดันนึกว่าต้องใช้เวลาปีสองปีเสียอีก""แต่ ท่านบอกว่าต้องคายเลือดพิษออกมาคกนึงก่อนจึงจะพูดได้ไม่ใช่หรือ" ซ่งซีซีรีบถามขึ้น"ไม่ใช่เป็นแบบนั้นทั้งหมด ตอนนี้ดูเหมือนว่าสารพิษในร่างกายของเขาเกือบจะหายไปแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้พูดมาสองปี ซึ่งก็จะยากสักหน่อย บวกกับคอของเขายังถูกฝังเข็มไว้ตลอด มักจะได้รับความเสียหายหน่อย ค่อยเป็นค่อยไป แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง"ทุกคนก็ตอบโอ้ แล้วก็มองหน้ากันพลางยิ้มออกมาเพราะก่อนหน้านี้ ทุกคนมักจะกังวลอยู่เสมอว่าเมื่อใดที่เขาจะพ่นเลือดดำออกมาคำนึง แต่โดยไม่คาดคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้ทักษะทางการแพทย์ของหมอมหัศจรรย์ดัน สุดยอดจริงๆซ่งซีซีคุกเข่าลงและคำนับหมอมหัศจรรย์ดัน "ควรให้รุ่ยเอ๋อร์คำนับให้ท่าน แต่ขาและเท้าของเขาไม่สะดวก เมื่อเขาหายดีเมื่อใด จะให้เขาคุกเข่าคำนับท่านอย่างแน่นอน"หมอมหัศจรรย์ดันรับการไหว้ไว้ แล้วพูดว่
ซ่งซีซีกลับไปนอนดึกมาก เป่าจู่มารายงานแต่เช้า โดยบอกว่ายี่ฝางอยู่นอกจวนเพื่อขอพบ นางร้องอาละวาดมาก จะไล่ยังไงก็ไม่ไป เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องมาปลุกนางซ่งซีซีลุกขึ้นจากเตียง มึนงงอย่างงัวเงียอยู่พักหนึ่ง กล้ามาจริงๆนางตื่นได้สติมากขึ้น สงบลงและฟังด้วยกำลังภายในของนาง ข้างนอกเสียงดังจริงๆ เป็นเสียงของยี่ฝางมันยังมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูดังก้อง หากนางยังสร้างโกลาหลเช่นนี้ จะรบกวนรุ่ยเอ๋อร์เข้าแน่ๆ แม้ว่ารุ่ยเอ๋อร์จะดีขึ้นมากแล้ว แต่เขาก็ยังกลัวเสียงอันดุร้ายนี้ปฏิกิริยาแรกของซ่งซีซีคือกระโดดขึ้นและถือหอกดอกท้อไว้พยายามไล่ยี่ฝางออกไปทว่า แถวจวนเสนาบดีกั๋วกงล้วนเป็นตระกูลชั้นสูง ไม่ว่ายี่ฝางจะอาละวาดยังไง นางในตอนนี้ยังเป็นผู้นำของจวนเสนาบดีกั๋วกง ให้ผู้นำออกไปขับไล่เอง มันจะสูญเสียสถานะได้ก็ได้ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจนถึงบัดนี้แล้ว ยังมาหาเรื่องนางถึงบ้าน มีเรื่องอะไรกันแน่?"พานางไปที่ห้องโถงด้านข้างของลานด้านนอก ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็จะไป" ซ่งซีซียืนขึ้นแล้วพูดแม้ว่าเป่าจูจะรู้สึกว่าโชคร้ายมากที่ได้พบกับคนๆ นั้น แต่หากปล่อยให้นางก่อโกลาหลทั้งอย่างนั้นก็ไม่ใช่ทางออกที่ด
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร