เนื่องจากเสิ่นว่านจือกับพวกพักอยู่ที่จวน ฮูหยินซ่งจึงไม่ได้ลงโทษลูกสาวหนักนัก ยอมให้นางพาเหล่าสหายออกไปเที่ยวชมเมืองหลวงปีนี้ พอใกล้ถึงสิ้นปี ทุกบ้านต่างก็ออกมาจับจ่ายของปีใหม่ ม้าศึกตัวหนึ่งวิ่งตรงจากประตูเมืองเข้าสู่เขตพระราชวัง พลทหารป่าวร้องเสียงดังลั่น“ข่าวดี! เป่ยหมิงอ๋องยึดหนานเจียงคืนได้แล้ว! เป่ยหมิงอ๋องยึดหนานเจียงคืนได้แล้ว!”ซ่งซีซีอุ้มม้วนผ้าไหมสองพับ ยืนอยู่หน้าร้านผ้า ได้ยินเสียงร้องตะโกนกับหูตัวเองนางจำได้ว่าหลังจากศิษย์น้องออกไปรบที่หนานเจียง ก็ตีเมืองได้อย่างต่อเนื่องสิบกว่าหัวเมือง ทว่าติดพันอยู่ที่เมืองอีลี่และซีเมิ่งอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งซีจิงเข้ามาแทรกแซง สถานการณ์จึงล่าช้าตามลำดับเวลา ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายน่าจะยังรบกันอยู่ เหตุใดยึดคืนได้หมดแล้ว?นางเชื่อว่าเขาจะชนะ และจะยึดหนานเจียงกลับคืนมาได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้จริงดังคาด หากไม่มีซีจิงเข้ามาแทรกแซง การยึดหนานเจียงคืนก็เป็นไปอย่างราบรื่นนางกลับไปแจ้งข่าวให้มารดาทราบ พร้อมจัดสำรับสุราอาหารเซ่นไหว้บิดาและพี่ชาย การยึดหนานเจียงครั้งนี้ ก็มีบุญคุณของพวกเขาร่วมอยู่ด้วย พวกเขาเคยถ่ายทอดประสบ
กลับถึงชายแดนเฉิงหลิง จ้านเป่ยว่างก็มีไข้สูง ตั้งแต่ระหว่างทางเขาก็แทบจะฝืนตัวไม่ไหว ความเจ็บปวดกัดกินจิตใจเขาจนถึงขั้นยามรู้สึกตัวก็ยังร้องขอให้หมั่นโถวใช้มีดปลิดชีพเสีย จะได้ไม่ต้องทนทรมานอีกหมอทหารเข้ามารับช่วงรักษา ล้างแผล ขูดเนื้อเน่าออก แน่นอนว่าเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะทนไหวอีกครั้งต่อจากนั้นเขาก็ซมไปหลายวัน กินได้แค่น้ำข้าวเล็กน้อย ร่างกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดศพของยี่ฝางไม่ได้ส่งกลับเมืองหลวง แต่ถูกฝังไว้ที่ชายแดนเฉิงหลิง เรื่องคุณความดีหรือความผิดของนาง ผู้บัญชาการเซียวจะเป็นผู้เขียนกราบทูลฝ่าบาทซีจิงในที่สุดก็ถอยทัพไป เพราะไร้ซึ่งเสบียงสนับสนุน กองทัพที่ซูลันซือนำมาก็ถึงจะอยากรบ ก็รบต่อไม่ได้ตามรายงานของสายสืบ ซูลันจีก็กลับเข้ากองทัพแล้ว เดิมทีเขาทราบว่าองค์รัชทายาทซีจิงเสด็จมาชายแดน ระหว่างทางที่มุ่งไปตามหา กลับถูกซุ่มโจมตีจนบาดเจ็บ ซูลันซือจึงฉวยโอกาสลงมือและนี่ก็เป็นแผนของพรรคพวกซูลันซือมาแต่แรก หากไม่มีแผนรองรับอย่างแน่นหนา พวกเขาคงไม่ส่งกำลังพลมายังชายแดนเฉิงหลิงมากเพียงนี้ รวมถึงลักลอบส่งเสบียงสนับสนุนด้วยในครานี้ ซูลันซือบุกโจมตีอย่างรุนแรง ละเมิดดินแดนแค
ยี่ฝางบาดเจ็บสาหัส ขณะกุ้นเอ่อร์แบกนางอยู่ก็รู้สึกได้ว่านางแทบสิ้นลม พูดได้เพียงประโยคขาดห้วงอย่างยากเย็น “ช่วย…ข้า ข้าไม่อยากตาย…”เมื่อพวกเขากลับถึงกระท่อมร้าง ก็เร่งช่วยห้ามเลือดให้จ้านเป่ยว่างก่อน เพราะเขายังมีโอกาสรอดชีวิตทว่าสภาพของยี่ฝางนั้นย่ำแย่ เลือดไหลมากเกินไป แถมยังบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน การฝืนมาถึงตอนนี้นับเป็นปาฏิหาริย์ในดวงตานางเต็มไปด้วยแววสิ้นหวัง มือข้างหนึ่งยังคงพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายยึดแขนเสื้อของซ่งซีซีไว้แน่น ปากอยากจะร้องขอให้ช่วย ทว่ากลับไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ย มีเพียงเลือดที่ไหลทะลักจากปากดวงตานางพร่าเลือนแล้ว แต่ยังคงพยายามมองหาใครบางคน ทุกคนต่างนึกว่านางกำลังมองหาจ้านเป่ยว่าง ทว่าในตอนนั้นหมั่นโถวกำลังช่วยจ้านเป่ยว่างห้ามเลือด เย็บบาดแผล และกดจุดบนบ่าซ้ายเพื่อไม่ให้เลือดไหลออกอีกซ่งซีซีตรวจดูบาดแผลของนาง พร้อมทั้งใช้ผงห้ามเลือด ทว่าก็ไร้ผลในที่สุดดวงตานางก็จับโฟกัสได้ มองไปที่เสิ่นว่านจือ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและไม่ยินยอม ทว่าลมหายใจรวยรินจนเอ่ยคำใดไม่ออกซ่งซีซีรู้ว่านางอยากจะพูดอะไร จึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ไม่มีใครมาช่วย มีเพียงพวกเ
เฉินเฉินกับหมั่นโถวพาพวกเขาออกไปได้แล้ว ก็กลับมาช่วยซ่งซีซีหลบหนียี่ฝางหามิได้อยากมีชีวิต อยู่ดีๆ ยังจะลอบกลับมา หากไม่เกรงว่านางจะทำให้ซ่งซีซีหลบหนีไม่สำเร็จ พวกเขาก็คงไม่ย้อนกลับมาจ้านเป่ยว่างแบกยี่ฝางไว้ พลางวิ่งสะเปะสะปะดั่งแมลงวันไร้หัว ไร้ซึ่งท่วงท่าในการต่อสู้ ยี่ฝางร่วงลงกับพื้น ยังไม่ทันตั้งหลักดี ดาบของทหารก็ฟันลงมาที่ขาของนางเสียงกรีดร้องโหยหวนสะท้านทั่วฟ้าเหนือคลังเสบียง จ้านเป่ยว่างที่รับมืออย่างยากลำบากหันกลับไปมอง เพียงแวบเดียวใบหน้าก็ซีดเผือด ยี่ฝางถูกฟันเข้าที่ขาซ้าย เลือดทะลักไม่หยุด“พี่จ้าน ช่วยข้าด้วย…” ยี่ฝางร้องเรียกเสียงแหลม หน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บหรือเพราะกลัว ทั้งร่างสั่นระริกทหารเหล่านั้นดูท่าจะตั้งใจไว้ชีวิต จึงไม่ลงมือฆ่านางทันทีดาบเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ลำคอของนาง มีคนลากนางลุกขึ้น ทหารที่โกรธเกรี้ยวพูดอะไรบางอย่างไม่ชัดถ้อย ก่อนจะมีคนถือเชือกเข้ามาจะมัดตัวนางในยามนั้นเอง พลทหารคนหนึ่งนำเหล่าทหารไม่กี่นายเดินตรงเข้ามา ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม แม้จะดูอ่อนล้าเพราะเดินทางมาไกล แต่ก็ยังไม่อาจบดบังอากัปกิริยาอันสูงศักดิ์ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่
ซ่งซีซีเห็นว่าทุกคนล้วนหลบหนีออกไปได้แล้ว จึงรอให้เพลิงลุกไหม้อีกครู่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาบินไปยังคลังเสบียงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไปร่วมดับไฟ แต่คลังเสบียงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง จึงยังมีทหารเฝ้าอยู่สิบกว่าคน พวกเขาเห็นซ่งซีซีในคราบชาวเขาก็จะเข้ามาตรวจสอบซ่งซีซีรีบยกถังน้ำมันขึ้น ร้องตะโกนเป็นภาษาซีจิงว่า “ดับไฟ ดับไฟ…”นางร้องตะโกนพลางวิ่งไปยังกองเพลิงด้านตะวันออก ทำทีว่ากำลังจะไปช่วยดับไฟขณะเดียวกัน ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างก็รีบมาช่วยดับไฟ ซ่งซีซีที่วิ่งนำหน้ากลุ่มจึงดูไม่ผิดสังเกตนักบริเวณเพลิงไหม้วุ่นวายไปหมด บ้างใช้ผ้าหนาโบกดับไฟ บ้างหิ้วถังตักน้ำ บ้างใช้พลั่วตักทราย เรียกว่าทุกวิถีทางถูกนำมาใช้แต่เมื่อไม้ติดไฟแล้ว เพลิงก็รุนแรงเกินไป หากจะสกัดไม่ให้ไฟลามไปยังคลังเสบียง คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักซ่งซีซีถือถังน้ำมันวิ่งวนอยู่รอบหนึ่ง แล้วฉวยจังหวะหลบพวกทหาร แอบเข้าไปในคลังเสบียงข้าวสารถูกบรรจุใส่กระสอบป่านวางซ้อนกันจนเต็มเกือบล้นคลัง เห็นได้ชัดว่าซูลันซือตั้งใจจะบุกตีด่านเฉิงหลิงให้แตกซ่งซีซีสาดน้ำมันใส่ แล้วจุดไฟโยนไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง มีคนตะโกนว่า “
ยี่ฝางไม่กล้ารับคำของซ่งซีซี ได้แต่กลืนความไม่พอใจลงคอ แล้วหันไปพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า “พี่จ้าน ข้าไปกับท่านก็แล้วกัน”จ้านเป่ยว่างเหลือบตามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง สีหน้าเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เราฟังคำสั่งก็พอ จะได้ผลงานหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สำคัญคือต้องทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วกลับไปให้รอด”เขาย่อมไม่เชื่อว่าซ่งซีซีจะเข้าไปในคลังเสบียงเพียงคนเดียว เพราะเมื่อไม้รอบคลังถูกจุดไฟเผา คลังเสบียงย่อมกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุด แล้วยังจะต้องจุดไฟข้างในอีก ท่ามกลางเปลวเพลิง นางจะหนีออกมาได้อย่างไร?ฉะนั้นเขาคาดว่า ขณะที่พวกเขากำลังจุดไฟอยู่ด้านนอก ก็ต้องมีคนที่แอบซ่อนตัวอยู่ในคลังเสบียงจุดไฟไว้แล้ว ซ่งซีซีเพียงแค่ทำทีเป็นคนลงมือเท่านั้นแรกเริ่ม จ้านเป่ยว่างรู้สึกไม่ยุติธรรมในใจนัก ยิ่งรู้สึกว่าระบบขุนนางเป็นสิ่งน่าเศร้า ตระกูลขุนนางใหญ่ผลัดกันส่งต่ออำนาจ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ขอเพียงบรรพชนมีผลงาน ก็สามารถไต่เต้าขึ้นไปได้โดยง่าย หรือมีโอกาสสร้างชื่อเสียง สืบทอดเกียรติภูมิของตระกูลต่อไปแต่คิดอีกที บิดาของเขาเองก็ไม่มีความสามารถนัก หากไม่ใช่เพราะท่านปู่มีผลงานในสนามรบ บิดาก็คงไม่ได้เป็นขุนนางด้วยซ้ำ อย่าว่า