ทั้งสองคุยกันทั้งคืน หลังจากประสบสงครามในสนามรบเขตหนานเจียงแล้ว เสิ่นว่านจือคิดอะไรดูผู้ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงในช่วงนี้ และรับรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวที่มีอำนาจ นางคิดว่าโลกไม่ได้ง่ายอย่างที่นางอยู่ในภูเขาเหม่ยชานที่เห็นจริงๆชีวิตในภูเขาเหม่ยชานเรียบง่ายมาก ทุกๆ วันเอาแต่สร้างปัญหาให้คนอื่น เล่นกันแมวหมา ขุดดินเพื่อหางู ไล่ล่าหมูป่า และสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือการถูกทุบตีโดยลูกศิษย์จากนิกายอื่นขณะพูดคุยไปเรื่อยๆ นางก็เริ่งง่วงนอน เสิ่นว่านจือพลิกตัว เอาเท้าด้านข้างไปทับบนร่างของซ่งซีซี และหาวว่า "ข้าค่อนข้างอิจฉาเจ้าที่มีแม่สามีที่ดี จริงๆ แล้วไทเฟยปกป้องเจ้ามาก""ข้ารู้""ไม่งั้นให้ข้าแต่งงานกับผู้บังคับบัญชาเช่นกัน และให้นางเป็นแม่สามีของ…"ก่อนที่เสิ่นว่านจือจะพูดจบ นางก็ถูกเตะออกจากเตียงแล้ว นางก็กระโดดขึ้นและทุบตีซ่งซีซียกใหญ่ "ข้าแค่พูดไปเรื่อย เจ้าเอาจริงหรือ ไทเฟยได้บอกว่าจะรับข้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมมานานแล้ว ข้าแค่เล่นตัวเลยไม่ได้รับปากนาง นางชอบข้ามากเลยนะ"ซ่งซีซีใช้ข้อศอกขวางนาง จากนั้นยกเท้าขึ้นกดคอของนาง แล้วทับหัวของนางลงบนเตียง "ง่วงแล
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมองไปที่ซ่งซีซี และมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้ในตัวของนางเต็มไปด้วยความสูงส่งและความสง่างามที่ไม่อาจพรรณนาได้ นางแตกต่างออกไปแล้วจริงๆดวงตาของนางปะปนไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ ความไม่พอใจ และไม่ยอม และซับซ้อนมากจนเหงือกของนางเริ่มเจ็บจ้านเส้าฮวนอยู่ในอารมณ์เดียวกับนาง แต่จ้านเส้าฮวนจะมีความเกลียดชังและความอิจฉามากกว่าอีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวนางก็เกือบจะกลายเป็นชายารอง ของเป่ยหมิงอ๋องได้แล้ว"โชคร้าย!" เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชาซ่งซีซีเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งจากนั้นก็ละสายตาออกไป เมื่อเห็นลูกเถ้าแก่ที่ยิ้มแย้มอยู่ตรงหน้าตน โดยแอบคิดว่าดวงตาของนักธุรกิจนี่เฉียบคมจริงๆ วันนั้นนางอยู่ในสภาพเลอะเทอะอย่างนั้นเขายังคงจำนางได้โอ้ แต่ก็ไม่แปลกใจเลย เมื่อก่อนนางและท่านแม่เคยมาร้านจินจิงมาก่อน ได้พบกับลูกเถ้าแก่คนนี้นางยิ้มและพูดว่า "นายน้อย ไม่ต้องสุภาพเช่นนั้น เราอยากจะขึ้นไปชั้นสามเพื่อเลือกเครื่องประดับ ไม่ทราบว่าจะสะดวกไหม?""สะดวก สะดวกมาก" นายน้อยพูดอย่างตื่นเต้น "พระชายาและคุณหนูทั้งสองท่านโปรดตามข้าน้อยมาด้วย และข้าน้อยจะดูแลทั้งสามท่านเองขอรับ"มีแขกผู้
เครื่องประดับไข่มุกหนานจู? เครื่องประดับบนชั้นสามนางสามารถเลือกซื้อตามอำเภอใจงั้นหรือ?ในอดีต ซ่งซีซีจะให้เครื่องประดับและเสื้อผ้าทุกฤดูกาลให้นางนางมือเติบมาก นางเคยสัญญาว่าจะจัดสินเดิมชุดใหญ่ให้นางเวลานางออกเรือนแต่ตอนนี้ นางกลับไปจัดสินเดิมให้คนอื่นและวันนี้นางพาหวังชิงหลูมาเลือกสินเดิม หวังชิงหลูแค่เลือกซื้อของในชั้นนี้เท่านั้น แม้แต่ชั้นสองก็ไม่ขึ้นไป นับประสาอะไรสินค้าพิเศษที่ชั้นสามล่ะเหตุใดความแตกต่างระหว่างผู้คนจึงใหญ่มาก?เมื่อนางเห็นสายตาที่แขกในนั้นกำลังจ้องมองนางเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน นางรู้สึกอับอายขึ้นมา จากนั้นหันกลับไปและคว้าแขนของหวังชิงหลูพลางพูดว่า "พี่สะใภ้รอง ข้าก็อยากจะขึ้นไปชั้นสามด้วย"หวังชิงหลูหัวเสียขึ้นทันที เดิมทีให้นาออกเงินจัดสินเดิมให้กับน้องสามีนางก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ในฐานะพี่สะใภ้นางสามารถออกให้ชุดหนึ่ง แต่บัดนี้กลายเป็นว่าให้นางออกให้หมดตอนแรกนางไม่ต้องการมาร้านจินจิง เครื่องประดับที่นี่ค่อนข้างแพง นางคิดว่าไปที่ร้านขายทองหรือร้านขายเครื่องประดับแห่งไหนก็ได้แค่ซื้อสักหน่อยให้นางก็พอ แต่แม่สามีบอกว่านางต้องแต่งเข้าจวนโหวผิงหยาง ดังนั้นให้ดู
เด็กน้อยตอบด้วยรอยยิ้ม "ขอรับ คุณหนูรอสักครู่ นั่งดื่มน้ำชาและกินขนมก่อน แล้วข้าจะไปห่อให้ท่านเดี๋ยวนี้"เขาไม่ได้บอกราคา เพราะลูกค้าที่มาชั้นสามจะไม่ถามราคาเสมอ หลังจากห่อเสร็จก็แค่แจ้งตัวเลขไปก็พอฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมองไปที่ชุดเครื่องประดับบนศีรษะทับทิมนั้นก็ใจเต้นแรงด้วย นางเคยเจอมาก่อน เลยรู้ว่าชุดเครื่องประดับบนศีรษะทับทิมชุดนี้ต้องมีราคาไม่น้อย และทับทิมก็คุณภาพที่แตกต่างกันเช่นกัน เม็ดเล็กๆ ที่ปกติซื้อนั้นมันเทียบกับทับทิมในวันนี้ไม่ติดเลยนางมองไปที่หวังชิงหลู และพูดเบาๆ "ในเมื่อนางต้องการ ก็ซื้อให้นาง เจ้าว่าอย่างไร?"หวังชิงหลูหัวเราะด้วยความโกรธ ว่าอย่างไรงั้นหรือ? นางมีทางเลือกไหม? เด็กน้อยคนนั้นได้นำกล่องเครื่องประดับที่สวยงามออกมาแล้วเริ่มบรรจุมันกล่องเครื่องประดับนั้นก็มองออกว่ามันมีค่าไม่น้อยด้วย ไม้จันทน์ฝังด้วยกระดองเต่าและอัญมณีเล็กๆ เรียงเป็นแถว และขอบแนวตั้งแกะสลักด้วยลวดลายเมฆนำโชค ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเช่นนี้ ชุดเครื่องประดับนี้จะถูกได้อย่างไรหลังจากที่เด็กน้อยบรรจุอย่างชำนาญและเรียบร้อย เขาก็ยื่นให้ด้วยความเคารพ "ฮูหยิน นอกจากชุดเครื่องประดับบนศีรษะนี้แล
หวังชิงหลูน้ำตาคลอเบ้า และเสียงของนางก็สั่น "ไม่ เราไปเลือกที่ชั้นหนึ่ง ค่อยเลือกหลายๆ ชิ้นหน่อยก็พอ"นางเป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนป๋อผิงซี นางไม่สามารถพูดเสียงดังกับแม่สามีของตนได้ที่นี่ นางทำได้เพียงอ่อนข้อและขอให้พวกเขาตกลงที่จะลงไปชั้นล่างเพื่อเลือกของต่อ ของชั้นหนึ่งก็หาใช่ถูก เครื่องประดับในร้านจินจิงล้วนราคาไม่ใช่น้อยเลยจ้านเส้าฮวนถือมันไว้แน่น "ไม่ ข้าต้องการชุดนี้"หวังชิงหลูตัวสั่นไปทั้งตัว และมีคนมองออกจากห้องส่วนตัวมาดขึ้นเรื่อยๆ พวกนางต่างมองด้วยความประหลาดใจ ซึ่งทำให้ความรู้สึกอับอายของหวังชิงหลูรุนแรงยิ่งขึ้นแต่เงินตั้งสามสี่หมื่นตำลึงนี้จะให้นางออกให้อย่างไร? ขายสินเดิมหมดบวกกับเงินทำขวัญของเจ้าสิบเอ็ดล้วนเอาออกมาให้พวกนางหมดหรือ เป็นไปได้ยังไง?นางยืนตัวสั่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่เคยประสบกับช่วงเวลาที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้เลยนางหันหลังกลับและต้องการจะจากไป แต่แม่สามีรีบคว้าแขนเสื้อของนาง นางตัวแข็งทื่อและสบตาเย็นชาของแม่สามีเข้าน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าจ้านแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แต่ดวงตาของนางบ่งบอกการกดขี่ "จะเดินรีบร้อนออกไปทำไม รอเด็กบริการไปด้วยส
หัวหน้าร้านมองไปที่จ้านเส้าฮวน แล้วพูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส "คุณหนู แน่นอนว่ามันได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าชุดเครื่องประดับทับทิมบนศีรษะ ร้านของเรามีหลายรูปแบบ ท่านเพิ่งดูมารูปแบบเดียว ไม่งั้นให้ข้าจัดมาหลายๆ ชุดให้ท่านเลือกดูดีไหม"จ้านเส้าฮวนเงยหน้าขึ้นและเห็นเด็กบริการเดินเข้ามาพร้อมถาดไม้พะยูง พอนางเห็นมันก็รู้ว่ามันกับชุดที่ตนเองถืออยู่นั้นมันคนละระดับเลย ย่อมเอามาจากชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง นางก็เรียกหยุดขึ้นมาทันที "ไม่ ข้าจะเอาชุดนี้"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็โกรธขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "จะเลือกอะไรนักหนาอีก บอกว่าเอาชุดนี้แล้ว ร้านจินจิงของพวกเจ้าเป็นอะไรกันแน่ แค่ตามพวกเรากลับจวนรับเงินก็พอ พูดอะไรไร้สาระมากความ"หัวหน้าร้านเป็นคนผ่านโลกมมาเยอะ ลูกค้าแบบนี้ที่ร้านจินจิงมี แต่ไม่เคยพบที่ชั้นสามเท่านั้นแค่มองดูคร่าวๆ ก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกสองคนอยากให้ลูกสะใภ้ออกเงินมาซื้อสินเดิม แต่ครอบครัวนี้ดูแปลกๆ ไปหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่าดูอายุไม่ได้มาก ตามหลักแล้วน่าจะเป็นนายหญิงดูแลเรื่องราวของจวน งั้นคนที่ออกเงินก็ควรเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ออกให้นี่ แต่ทำไมฮูหยินที่มีอายุน้อยกว่าที่อยู่ข้างๆ ถึงทำท่าอยากจะร้องไห้
ประโยคคำว่ารับความนับถือและการระลึกได้บ่งบอกข้อมูลมากมายสามีต่างก็เสียชีวิตในสนามรบเช่นกัน และเป็นคนหัวอกเดียวกัน ดังนั้นฮูหยินน้อยจึงต้องการช่วยหวังชิงหลูด้วยความเมตตา แต่ไม่คาดคิดว่าหวังชิงหลูจะไม่รับน้ำใจ ดังนั้นทำให้ฮูหยินน้อยเช่นกัน เขินอายมากพอซ่งซีซีได้ยินตัวตนของอีกฝ่ายก็รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแล้วแต่นางไม่ได้พูดที่นี่ แต่เปลี่ยนเรื่องหัวข้อและถามเซียนหนิงว่าได้เลือกอะไรไปบ้าง และนางต้องการซื้อของขวัญให้แม่สามีที่ซื่อๆ อีกชิ้นหนึ่งด้วย วันนี้ไม่ได้พานางออกมาคงต้องโกรธแน่เหตุผลที่ไม่พานางมาที่นี่ก็เพราะว่าแม่สามีเคยเปิดร้านจินร่วมกับท่านหญิงเจียอี้มาก่อน และรูปแบบก็คัดลอกมาจากที่นี่หมด เพื่อป้องกันไม่ให้แม่สามีต้องร้อนตัวและกระดากใจชุดเครื่องประดับบนศีรษะไข่มุกหนานจูได้ระบุบรูปแบบแล้ว ยังเลือกสิ่งของโปรดหลายชิ้น เซียนหนิงกอดพี่สะใภ้และตะโกนว่าชอบพี่สะใภ้มากที่สุดเถ้าแก่น้อยยิ้มอยู่ข้างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับพี่สะใภ้และน้องสามีคู่เมื่อกี้ที่อยู่ข้างนอกนั้น สองพี่น้องนี้รักกันมากจริงๆแม้ว่าเขาจะเป็นนักธุรกิจ แต่เขาก็ยังชื่นชมทหารผู้จงรักภักดีต่อประเทศ ครอบครัวของเส
เมื่อไทเฟยกลับมาจากวัง นางก็เดินตรงผ่านห้องโถงดอกไม้ เงยหน้าขึ้นและไม่มองดูสตรีที่กำลังพูดอยู่ข้างในสตรีคนหนึ่งถึงกับตะโกนว่า "เสด็จแม่ ท่านกลับมาแล้วเหรอ?"นางเพิกเฉยและเดินต่อไปโดยเชิดหัวขึ้นสตรีอีกคนวิ่งไปคว้าของนาง "เสด็จแม่ ดูสิว่าข้ากับพี่สะใภ้ซื้ออะไรมาให้ท่านบ้าง มาเลย!""ฮึ" สนมฮุ่ยไทเฟยเหลือบมองเซียนหนิงอย่างเย็นชา "คิดว่าข้าจะสนใจหรือ?"เซียนหนิงแสดงสีหน้าผิดหวังขึ้นมา "อ๊ะ? ท่านไม่สนใจเหรอ? พี่สะใภ้อุตส่าห์เลือกให้ตั้งนานเลย""ฮึ่ม อุตส่าห์เลือกให้ตั้งนาน" สนมฮุ่ยไทเฟยมองซ่งซีซีอย่างเย็นชาซึ่งยืนอยู่ที่ประตู ภายใต้การจ้องมองที่ยิ้มแย้มของซ่งซีซี นางเงยคางขึ้น "ดูหน่อยก็ได้ แต่ข้าจู้จี้จุกจิกมาก"ซ่งซีซียิ้มแล้วพูดว่า "เสด็จแม่ มาเร็วเข้า"เสิ่นว่านจือรีบให้คนใช้ไปเตรียมชาผลไม้ และในขณะที่นางรับชมเครื่องประดับนั้นก็เล่าเรื่องสนุกของวันนี้ให้นางฟังด้วยไทเฟยเอาปิ่นระย้าพู่ปะการังสีแดงปักเข้าไปทรงผม จากนั้นเขย่ามันเล็กน้อย นางได้ยินเสียงพู่ รู้สึกไพเราะมาก นางรู้สึกปลื้มใจมาก ต้องยอมรับว่าซีซีเก่งจริงๆ ที่รู้รสนิยมของนางแต่เรื่องสนุกนี้นางแค่ฟังเฉยๆ ก็พอ หากอยู่ใน
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง