เมื่อวันที่สิบก้าวมิถุนายน หวังเบียวส่งฝางเทียนสวีและฉีหลินพร้อมทหารสามพันคนไปที่ภูเขานอกเมืองซีม่อน เพื่อรอรับเป่ยหมิงอ๋องและชีซื่อเขาไม่สนใจว่าสถานการณ์การช่วยตัวประกันที่ทางนุ้นจะเป็นอย่างไร แต่การส่งกลุ่มคนไปรับเขาต้องทำทุกสิ่งจะต้องทำอย่างไม่มีที่ติเพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการของเขาจะมั่นคงหากเป่ยหมิงอ๋องล้มเหลวในการช่วยตัวประกันและตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวแคว้นซา งั้นก็เป็นกรรมของเขาเอง เขาไม่มีทางส่งคนไปที่ชายแดนของแคว้นซาได้ฉีหลินและฝางเทียนสวีได้นำทหารและม้าของพวกเขาไปยังภูเขาที่สูงที่สุดนอกเมืองซีม่อน หลังจากทิ้งคนหนึ่งพันคนเตรียมพร้อมรับคำสั่งกับที่ พวกเขาก็นำคนสองพันคนและเดินหน้าต่อไปโดยหวังว่าจะได้พบท่านอ๋องโดยเร็วที่สุดแต่หลังจากข้ามภูเขาหนึ่งลูกแล้ว พวกเขาไม่ได้เดินต่อไปอีก ข้างหน้ามีชนเผ่าทุ่งหญ้าอยู่ หากไปกันแค่กี่คนมันก็ได้อยู่ แต่พากลุ่มทหารสองพันนาย นี่เท่ากับจะสร้างสงครามเลยที่จริงแล้วขอแค่ท่านอ๋องมาถึงทุ่งหญ้า ชาวแคว้นซาจะไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ พวกเขาได้แต่ส่งนักรบเก่งๆ หลายๆ คนไล่ตามเขาไป แต่ถ้าจำนวนคนไม่มาก ในกรณีที่ท่านอ๋องไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาก็สามารถจัดก
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ตัดสินใจจะไปด้วยกัน เพราะทหารและม้าก็อยู่ที่นี่และไม่ได้บุกรุกชายแดนของคนอื่น ไม่ได้ก้าวเข้าไปในชนเผ่าทุ่งหญ้า เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทยอยไปเป็นอย่างที่คาดไว้ พวกเขาเดินทางเป็นกลุ่มและไม่ได้ทำให้ทหารรักษาการณ์ประจำทุ่งหญ้าสังเกตเห็น พวกเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาหวู่เหิง และรออยู่ที่ยอดเขา แม้ว่าภูเขาหวู่เหิงจะใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ยืนอยู่จุดสูงสุดได้ หากที่นั่นมีการเคลื่อนไหวอะไรพวกเขาล้วนจะเห็นหมดจะลงไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ภูเขาหวู่เหิงครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยแคว้นซา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยทุ่งหญ้า หากไม่ระวังไว้จะเกิดความขัดแย้งได้จะว่าไปอย่างนั้น แต่ยังคงเหลือบางคนไว้ที่นี่ โดยบอกว่าหากพวกเขาพบสถานการณ์ใดๆ ให้แจ้งทันที ส่วนพวกยังคงเดินลงไปพร้อมกับคนมากกว่าสิบคนเซี่ยหลูโม่และคนอื่นๆ มาถึงเชิงเขาภูเขาหวู่เหิง ตราบใดที่ข้ามภูเขาหวู่เหิงพวกไปก็ถึงทุ่งหญ้าแล้วพวกเขามีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่เข้ามาในทุ่งหญ้า ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่วิกเตอร์จะไม่กล้าไล่ตามมาอย่างแน่นอนแต่การเดินวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เขาไหว คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่
จะรอช้าไม่ได้อีก ผู้ไล่ตามกำลังเข้าใกล้แล้วดังนั้นอูโซเว่ยและเซี่ยหลูโม่จึงสบตากัน และใช้วิธีที่งุ่มง่ามที่สุดและเป็นทางเดียวก็คือให้พวกเขาขี่หลังตนเองแล้วบินขึ้นไปอย่างไรก็ตาม นอกจากจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูแล้ว มีคนตั้งสิบเอ็ดคน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องไปมาอย่างน้อยห้าหกครั้งด้วยความเหนื่อยล้าและหมดพลัง...มันช่างยากเหลือเกิน"อาจารย์ลำบากท่านแล้ว" สายตาของเซี่ยหลูโม่เต็มไปด้วยความขอโทษอูโซเว่ยถอนหายใจและพูดว่า "เจ้าเป็นศิษย์คนเดียวของข้า ต้องให้เจ้าทนทุกข์ที่แต่งงานกับแม่นางที่ซนจนน่าปวดหัวที่สุดในภูเขาเหม่ยชาน ข้าจะไม่เห็นใจได้อย่างไร?"เซี่ยหลูโม่อยากจะบอกว่าเขามีความสุขมาก แต่ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชของอาจารย์ เขากลืนคำพูดของเขากลับ นำคนบินขึ้นไปหมดค่อยว่ากัน อาจารย์เป็นคนหัวดื้อ หากไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเขา เขาต้องโกรธแน่จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เซี่ยหลูโม่อุ้มฉีฟางก่อน และอูโซเว่ยก็อุ้มเจ้าสิบเอ็ด และคนที่เหลือดูแลจางเลี่ยเหวินไว้ รอให้พวกเขาลงมาเซี่ยหลูโม่พูดกับฉีฟางว่า "จับไว้ให้แน่น นอกจากหายใจแล้วอย่าเคลื่อนไหวใดๆ"ฉีฟางตอบรับอืม สอดแขนโอบคอของท่านอ๋องด้
ทุกคนปิดปากและมองดูฉากนี้ด้วยความสยดสยอง คุณพระ หากตกลงไปแบบนี้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ อูโซเว่ยและจางต้าจ้วงรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกัน จับมือของเซี่ยหลูโม่คนละข้างในขณะที่อีกมือหนึ่งคว้าต้นไม้เล็กไว้ อย่างไรก็ตาม ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ห่างไกลกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ลากเซี่ยหลูโม่ไว้ ไม่สามารถพาเขาขึ้นไปได้นอกจากนี้ต้นไม้เล็กๆ สองต้นยังรับน้ำหนักคนได้สี่คนซึ่งเป็นอันตรายเช่นกันในขณะนี้ เจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยตะขอและเชือกลงอย่างรวดเร็ว และความยาวก็มาถึงมือขวาของเซี่ยหลูโม่พอดีจางต้าจ้วงสบตากับเขา และในขณะที่พวกเขาพยักหน้า จางต้าจ้วงก็ปล่อยมือ และเซี่ยหลูโม่ก็รีบคว้าเชือกด้วยมือขวาแล้วอูโซเว่ยค่อยปล่อยมือ เขาก็คว้าเชือกด้วยมือซ้ายอีกด้วยมือทั้งสองข้างพันอยู่กับเชือก ซึ่งหมายความว่าได้แต่ให้ลากพวกเขาสองคนขึ้นไปเท่านั้นความยาวของเชือกไม่ยาวพอที่จะพันรอบต้นไม้ด้านบน และเมื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยมันลงนั้นได้ปล่อยด้านที่มีตะขอเหล็กลงแล้ว ซึ่งมันหมดหนทางจริงๆ หากไม่ปล่อยด้านตะขอเหล็กไป เชือกก็จะปลิวไปมา ไม่สามารถไปอยู่ข้างๆ ท่านอ๋องอย่างมั่นคงเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพันรอบต้นไม้ได้ จ
ฉีหลินผลักเขาออกไปทันทีและมองดูเขาอย่างใกล้ชิด เขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก แต่ยังจำเขาได้เขาทั้งร้องไห้และหัวเราะ "แก่แล้วและขี้เหร่ด้วย ทำไมถึงขี้เหร่ขนาดนี้?""ไม่มัวแต่ถามสารทุกข์สุขดิบ มาดูพี่น้องคนอื่นๆ บ้าง" เซี่ยหลูโม่หายใจไม่ออก และมือของเขาก็สั่นเทา หลังจากที่ปล่อยวางจางเลี่ยเหวินลงจากหลังเขาแล้ว เขานอนอยู่กับพื้น หลังจากเรียกอยู่หลายคำก็ไม่มีการตอบสนองฉีหลินและฝางเทียนสวีมองไปที่คนทั้งสิบเอ็ดคนและหลั่งน้ำตา เยี่ยมมากจริงๆ ที่คนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่แต่สถานการณ์ของจางเลี่ยเหวินเป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ และคนในนั้นก็ไม่มีใครรู้ทักษะทางการแพทย์ ดังนั้นจึงทำได้แค่บดยาและยัดมันลงไปเท่านั้นอูโซเว่ยก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะถนัดในการนองเลือด แต่เห็นๆ อยู่ว่าจางเลี่ยเหวินก็ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่แผลแต่ละที่ล้วนเป็นหนองจนเป็นไข้ได้ อาการตกอยู่ในอันตรายมาก"ขึ้นไปเลย" เสียงคำรามดังมาจากด้านล่าง คือวิกเตอร์ เขานำคนมาถึงแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าผา พวกเขาสามารถขึ้นไปกี่คนได้ก็ไม่แน่ "นี่มันอาณาจักรของแคว้นซา ใครที่บุกรุกเข้าแคว้นซาโดยไม่ได้รับอนุญาตล้วนต้องตาย""ไป"
เจ้าสิบเอ็ดฝางมองไปที่แผ่นหลังของหวังเบียว และสงสัยว่าเขาจำเขาไม่ได้จริงๆ หรือไม่ได้ยินชื่อของเขาด้วยซ้ำ หรือเขาจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขากันแน่ช่างเถอะ อาจารย์หยูพูดถูก การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเหล่าจางหลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัย ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ขอดูยาที่เซี่ยหลูโม่ให้กับจางเลี่ยเหวิน "โชคดีที่มียานี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงอยู่ไม่ถึงวันนี้"กองทัพมียารักษาแผลและมันเป็นยาดีที่สุด แต่หลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัยแล้ว ก็ยังส่ายหัวและขอให้เซี่ยหลูโม่ออกไปพูดคุยด้วย"ที่ผู้บัญ... ท่านอ๋อง ข้าน้อยพยายามอย่างเต็มที่แล้ว มากสูดก็ยื้อเวลาเจ็ดแปดวัน แต่บอกยากจริงๆ ตัวร่างของเขาไม่มีเนื้อชิ้นดีๆ สักชิ้นเลย และยังมีรอยแดงและมีหนองเต็มไปหมด ถ้าไม่ได้เพราะท่านให้ยาดีๆ กับเขา เขาคงจากไปนานแล้ว""ยานั้นข้ายังมีอยู่ ถ้าให้เขากินตลอดทาง สามารถถ่วงเวลาเป็นหนึ่งเดือนได้ไหม?"หมอทหารส่ายหัว "ไม่ได้ขอรับ ยานี้รักษาหัวใจ สามารถรักษาให้จนถึงวันนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ่วงอีกหนึ่งเดือนย่อมไม่ได้เลย"เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว "เจ้าติดตามข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะไปบอก
เซี่ยหลูโม่ไปหาหวังเบียวโดยบอกว่าจะให้หมอทหารมาติดตามเขาไป หวังเบียวตอบรับทันที เพราะมีหมอทหารหลายคนอยู่ในกองทัพจดหมายของหวังเบียวได้ส่งออกไปแล้ว หลังจากคิดหาทางให้ตนเองได้สร้างผลงานมากที่สุดเสร็จแล้ว เขามองดูคนทั้งสิบเอ็ด ก็รู้สึกน่าชื่นชมจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินว่าเหล่าจางไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ดี เขาก็เริ่มกังวลมากไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นทหารเช่นกัน แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะตัดทิ้งชีซื่อไป แต่ได้เห็นพวกเขากลับมา เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกันไม่มีใครจะไม่ชื่นชมวีรบุรุษ เว้นแต่วีรบุรุษนั้นจะส่งผลต่อสถานะของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าการกลับมาอย่างปลอดภัยของทั้งสิบเอ็ดคนนี้ค มีผลงานของเซี่ยหลูโม่ แต่เขาก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน เพราะถึงยังไงเขาได้ส่งฉีหลินและฝางเทียนสวีไปให้แล้วการที่เขาอยากจะช่วยจางเลี่ยเหวินกลับมามีชีวิต แน่นอนว่ามีแผนแอบแฝงบ้าง จางเลี่ยเหวินเป็นคุณชายรองของจวโหวเซวียนผิง สถานะของเขาในกองทัพยังไม่มั่นคง และต้องการการสนับสนุนจากตะกูลใหญ่ๆ พวกนั้นด้วยแต่เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางจะเป็นสมาชิกของชีซื่อด้วยน้องสาวสามได้ถูกปล่อยตัวกลับบ้านและแต่งงานใหม่แล้ว ท่านพี่ชา
ทันทีที่แม่นมเดินออกไป ซ่งซีซีกล่าวว่า "ท่านอ๋องไปเมืองซีม่อนเพื่อเจรจาหาเรื่องสายลับคนที่ชื่อชีซื่อกับชาวแคว้นซา ชีซื่อเป็นสายลับกองทัพของเราที่หลบหนีจากการถูกจับตัว ในช่วงสงครามเขตหนานเจียง เขาได้ส่งข่าวกรองไปยังกองทัพของเราตลอด แต่เขาถูกจับตัวไปเมื่อไม่นานก่อน ชาวแคว้นซาอยากใช้เขามาแลกเมืองซีม่อน"เมื่อซ่งซีซีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็หายใจถี่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงรอให้นางพูดต่อ"ดังนั้นฮ่องเต้จึงส่งท่านอ๋องไปซีม่อน เมื่อพูดต่อหน้าคือไปเจรจาบน แต่จริงๆ แล้วไปช่วยตัวประกันลับหลัง ตอนนี้ได้ช่วยชีซื่อกลับถึงซีม่อน และทางนั้นบอกว่าเขาก็คือจางเลี่ยเหวิน คุณชายรองของพวกเจ้า แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านอ๋องใช้นกพิราบบินส่งจดหมายให้นำหมอมหัศจรรย์ดันและฮูหยินน้อยรองไป จะออกเดินทางคืนนี้ รอช้าไม่ได้เลย""แม่เจ้า คุณพระช่วย" ฮูหยินโหวเซวียนผิงตัวสั่นไปหมด นางได้ยินมาว่าบุตรชายของตนเองยังไม่ตายแต่ก็กำลังจะตาย นางก็ทุกข์ใจมาก "ข้าไป ข้าขอไปด้วย"ซื่อจื่อโหวเซวียนผิงพยุงแม่ของเขาไว้ "ท่านแม่อย่าไป ข้าไป ข้าจะติดตามน้องสะใภ้ไป"เสียงของเขาสำลัก"ข้าก็ไปด้วย" เสียงของโหวเซวียนผิงสั่นเล็กน้อย เขายิ้ม
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา