ในเมืองหลวง หงเซียวได้รับจดหมายจากชายแดนเฉิงหลิง นางไม่ได้อ่านมัน และยื่นให้กับเสิ่นว่านจือโดยตรง ซึ่งฝากเสิ่นว่านจือมอบให้กับพระชายาข่าวจากชายแดนเฉิงหลิง เสิ่นว่านจือรู้ถึงความสำคัญของมัน ดังนั้นจึงเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านแล้ว นางรีบขี่ม้าตรงไปที่สำนักกองกำลังเมืองหลวง เวลานี้ซีซีน่าจะอยู่ในสำนักกองกำลังเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติที่เสิ่นว่านจือจะเข้าออกสำนักกองกำลังเมืองหลวง ตอนนี้นางเป็นอาจารย์ที่รับจ้างพิเศษ จักรพรรดิ์ซูชิงรู้ว่านางมีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้เก่งมาก แต่ไม่ต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ดังนั้นปล่อยให้นางไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทัพซวนเจียก็เหมาะสมที่สุดแม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์จะแยกออกมาเป็นอิสระแล้ว แต่ทางด้านศิลปะการต่อสู้ยังต้องฝึกฝนด้วย ดังนั้นยังคงต้องมาที่สำนักกองกำลังเมืองหลวงเพื่อตามหาเสิ่นว่านจือซ่งซีซีอ่านเนื้อหาของจดหมายแล้วถอนหายใจลึกๆ นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุดเลยประโยคนี้ หากพูดให้มันมีผลร้ายน้อยสุด อาจกล่าวได้ว่าแม่ทัพติงพูดเหลวไหลไปเรื่อยโดยไม่ใช้สมองคิดในชั่วขณะหนึ่ง ออกพระราชโองการที่ตักเตือนเขาหรือไม่ก็ลงโทษโดยใช้ไม้กระดานตีสักย
หลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป จางเลี่ยเหวินก็มองไปที่พ่อของเขา "ท่านพ่อ ต้องรั้งน้องชีเอาไว้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม"โหวเซวียนผิงพยักหน้า "ไม่ต้องกังวล พ่อจะไม่ปล่อยให้แม่ทัพใหญ่เซียวตกอยู่ในหายนะที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้อีก"สำหรับบางคน ตนเองต้องการปกป้องเขาอย่างสุดใจแม้ว่าจะต้องสละเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองก็ตาม ในบรรดาบรรพบุรุษของโหวเซวียนผิงเองก็เป็นทหาร ที่เขามีตำแหน่งโหวก็เพราะใช้ชีวิตแลกกลับมาในสนามรบ หากถูกปลดตำแหน่งยศเพื่อแม่ทัพใหญ่เซียว โหวเซวียนผิงคิดว่าท่านปู่จะไม่ตำหนิเขาเขาไม่แน่ใจว่าจะโน้มน้าวใจจางฉีเหวินที่เป็นหลานชายของตนเองได้สำเร็จ เขามีคนมีความคิดของตนเองมาตั้งแต่ยังเด็กและรู้วิธีการวางแผนให้อนาคตของตนเองด้วย น่าเสียดายที่เขามักจะโชคไม่ดีตลอด ทุกครั้งที่มีงานสำคัญต้องทำ เขาไม่ได้ป่วยหรือไม่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด และไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานและไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของเขาต่อฝ่าบาทได้ ทำงานในตำหนักบูรพามาเป็นเวลานานก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นหลังจากที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ขึ้นอยู่กับกองทัพซวนเจีย และกลายเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ แต่ไม่มีงา
แต่ความคิดเห็นของสาธารณชนนั้นมันสร้างกระแสรุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฝีมือผู้ใดบางคน จักรพรรดิ์ซูชิงสงสัยว่าจะเป็นจวนเป่ยหมิงอ๋อง แต่หลังจากการสอบสวนแล้วโดยไม่คาดคิดเมื่อตามเบาะแสที่มีก็พบว่าคือเสนาบดีมู่บทความและนักเล่าเรื่องเหล่านั้นในโรงน้ำชาและร้านอาหารถูกจัดโดยเสนาบดีมู่ยิ่งไปกว่านั้น พอสืบสอบเล็กๆ ก็สืบเรื่องได้ เห็นๆ อยู่ว่าเสนาบดีมู่ไม่มีเจตนาปิดบังเรื่องนี้จากเขาเขาเงียบเป็นเวลานานในห้องหนังสือหลวง และพูดกับอู๋เยว่ว่า "แค่แกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับการสอบสวนมา และปิดปากให้มิด"ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคต เสนาบดีมู่ได้วางแผนที่จะเกษียณ ทว่าการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮ่องเต้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันมาก เขาเห็นแก่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เลยกลัวว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งของเขาและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากพูดถึงขุนนางต่างๆ ในราชสำนัก ผู้ใดที่เขาไว้วางใจมากที่สุด งั้นก็ต้องเป็นเสนาบดีมู่และหยานไท่ฟู่สองคนเท่านั้นเมื่อนึกถึงการหารือเรื่องชายแดนเฉิงหลิงกับเสนาบดีในช่วงนี้ เขามักจะทำท่าอยากจะพูดแต่ก็สุดท้ายก็เงียบไป จริงๆ
เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีอยู่ในร้านอาหารที่ไม่ไกลจากประตูเมือง ห้องส่วนตัวบนชั้นสองของร้านอาหารแห่งนี้มีทำเลดีที่สุด เมื่อเปิดหน้าต่างก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์แถวประตูเมืองได้อย่างชัดเจนเนื่องจากตารางงานของพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่เสมอ ดังนั้นเซี่ยหลูโม่จึงจองห้องส่วนตัวนี้ล่วงหน้ามานาน และให้ซีซีได้เห็นแม่ทัพใหญ่เซียวที่นี่ซ่งซีซีไม่เคยละสายตาจากใบหน้าของแม่ทัพใหญ่เซียว เมื่อมองดูเขาอย่างตะกละตะกลาม นางแทบรอไม่ไหวอยากจะวิ่งลงไปและซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านตาเพื่อร้องไห้ เช่นเดียวกับที่นางทำเมื่อตอนเด็ก บอกเขาถึงความคับข้องใจทั้งหมด แล้วท่านตาก็จะลูบหัวของนาง โดยบอกว่าผู้ใดกล้ารังแกซีซีตัวน้อยของตา ตาจะไปสั่งสอนให้เลยแต่ตอนนี้นางทำได้เพียงยืนอยู่บนชั้นสอง มองดูม้าของท่านถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ฟังเสียงสนับสนุนที่ดังก้อง และน้ำตาก็ไหลออกมาท่านตาแก่ขึ้นไม่น้อยจริงๆ แก่แล้วจริงๆในอดีต ขมับของเขามีผมหงอกแต่เขายังทรงพลังและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เมื่อกลับมาเมืองหลวงเพื่อฝึกซ้อมชกมวยกับท่านพ่อสองสามชุด ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแต่ปัจจุบันนี้ ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยผมสีขาว และหาผมดำได้ย
ในที่สุด ปี้หมิงและลู่เจินก็เบียดเสียดเข้าไปโดยนำกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวน และค่อยๆ เปิดทางเพื่อให้แม่ทัพใหญ่เซียวและองครักษ์รักษาพระองค์สามารถเดินทางต่อได้องครักษ์รักษาพระองค์นำแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าวังไปเข้าเฝ้าก่อนหน้านี้ มีคนรายงานความโกลาหลที่เกิดจากประชาชนและเนื้อหาการตะโกนของพวกเขาไปยังจักรพรรดิ์ซูชิงจักรพรรดิ์ซูชิงขมวดคิ้ว และเสียงตะโกนว่า "ฝ่าบาททรงมีพระปัญญา" ก็รวมตัวกันเป็นเชือกและมัดเขาตายเดิมทีเขาวางแผนว่าให้เขาไปอยู่กรมราชทัณฑ์ก่อนหลังจากที่เซียวเฉิงกลับมาถึงเมองหลวง และเตรียมห้องขังที่มีสภาพแวดล้อมเงื่อนค่อนข้างดีเพื่อกักขังเขาไว้ อีกประเดี๋ยวก็ให้คำอธิบายให้กับนักการทูตจากเมืองซีจิงได้ง่าย แต่ตอนนี้เขายังสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?ภายใต้การนำทางของชีกุ้ย แม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่ห้องหนังสือหลวงก่อนคุกเข่าลงและกราบกราบไหว้ "กระหม่อมเซียวเฉิงคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญพะย่ะค่ะ!"ก่อนที่จักรพรรดิ์ซูชิงจะเจอกับเซียวเฉิง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยขั้นตอนในการจัดการเรื่องนี้แต่เมื่อเห็นเขาคุกเข่าต่อหน้าตนเอง เขาก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพอันงดงามและแข้งแกร่งในอดี
ในอดีต เมื่อซ่งซีซีเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพซวนเจีย จะมีขุนนางมากมายคัดค้านและรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่ให้ผู้หญิงมาดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แต่ตอนนี้พอเห็นการกระทำต่างๆ ของฝ่าบาท และรู้ถึงเจนตาของฝ่าบาท พวกเขาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ดีไม่ดี กองทัพซวนเจียในที่สุดก็เหลือแค่ค่ายลาดตระเวนที่รวบรวมผู้คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเอาซะเลยแต่กองทัพซวนเจีย ซึ่งเคยเป็นกำแพงสำหรับเมืองหลวง ได้ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ราวกับว่าอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำลายแน่นอนว่าเป็นเพราะหลังจากที่ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการ กองทัพซวนเจียก็เริ่มมีอิธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น หลายคนที่ไม่พอใจกับซ่งซีซีในตอนแรกนั้น บัดนี้ต่างก็นับถือนางเข้าแล้วเป็นเพราะการที่พวกเขายอมรับซ่งซีซี ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงเร่งฝีเท้าและเปลี่ยนองครักษ์รักษาพระองค์กลายเป็นกองทัพซวนเท่ และการดำเนินการต่อไปอาจจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นเช่นกันแม่ทัพใหญ่เซียวถูกหน่วยฉินหรงส่งตัวกลับไปจวนตระกูลเซียว จวนตระกูลเซียวอยู่ในสภาพรกร้าง หน่วยฉินหรงเข้าไปถอนวัชพืชและทำความสะอาดด้วยตนเอง อู๋ต้าปั้นได้คัดเลือกคนใช้หลายคนเข้าไปรับ
โหวเซวียนผิงมาด้วยคนเดียวโดยไม่มีผู้ติดตามด้วยซ้ำ เขาสวมเสื้อผ้าสีฟ้าและเสื้อคลุมสีดำหนา คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขาเป็นพ่อบ้านจากตระกูลแห่งหนึ่งเสียอีกเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซียืนขึ้นก่อนเพื่อต้อนรับเขา และคนอื่นๆ ก็ทำตาม ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจที่โหวเซวียนผิงยอมออกมือช่วยโดยไม่ลังเลหลังจากถามสารทุกข์สุขดิบเสร็จแล้ว โหวเซวียนผิงก็พูตามตรงว่า "ข้าขอโทษไม่ได้ให้ไอ้หมอนั่นตอบตกลงโดยไม่มีเงื่อนไขได้ เขาตั้งเงื่อนไขไว้ ข้าเลยต้องมาถามพระชายาและคุณหนูเสิ่นก่อน"โหวเซวียนผิงใช้คำว่า "ขอโทษ" ในตอนต้นทำให้ทุกคนตกใจมากจริงๆ จากนั้นก็ใจเย็นลงหลังจากได้ยินคำพูดที่เหลือเสิ่นว่านจือถามแปลกๆ "ทำไมถึงต้องถามข้าด้วย เขาต้องการทำอะไรกัน"โหวเซวียนผิงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา "เขาบอกว่าเขาต้องการไหว้คุณหนูเสิ่นเป็นอาจารย์ของเขา และจะเป็นลูกศิษย์สายตรงเหมือนกับพวกลู่เจิน ปี้หมิงด้วย"“อ๊า? ข้าก็ได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาด้วยนี่" เสิ่นว่านจือไม่เข้าใจว่าจางฉีเหวินต้องการทำอะไร เขาเป็นสมาชิกขององครักษ์รักษาพระองค์ก็สามารถเข้าเรียนร่วมกับทุกคน ทำไมต้องไหว้ครูด้วย? นางบอกไปแล้วว่า แค่รับลูกศิ
จางฉีเหวินคุกเข่าลงกับพื้นและรีบกล่าวว่า "ท่านพ่อสบ่ยใจได้ นี่เป็นโอกาสทองที่หายากในชีวิตนี้ ลูกจะได้เรียนรู้กับอาจารย์อย่างดีแน่นอน และจะไม่มีวันเกียจคร้าน สำหรับสิ่งที่ลูกไม่ควรทำลูกจะไม่ทำเป็นอันขาด"เขาเคยเข้าเรียนกับเสิ่นว่านจือมาสองครั้ง แบบเรียนกับหลายๆ คน แต่เวลาอื่นๆ เนื่องจากต้องเข้าเวรจึงไม่ว่างมา พอเขามีเวลาว่าง เสิ่นว่านจือกลับไม่สอนเขาตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาเสียใจมากหลังจากกลับบ้าน เขาเคยพูดคุยกับพ่อแม่หลายครั้งโดยบอกว่าหากสามารถได้รับการสอนจากอาจารย์เสิ่นแบบตามลำพังก็คงดีแต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้ที่เขาไปชายแดนเฉิงหลิง เขาเป็นผู้โชคร้ายมาโดยตลอดจะมีโชคเข้าข้างเขา เขารู้ว่าเขาดูน่ารังเกียจไปหน่อย แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ด้วยว่าถ้าเขาสูญเสียโอกาสนี้ไป เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกเลยเนื่องจาก องครักษ์รักษาพระองค์ต้องการที่จะแยกออกมาเป็นอิสระและไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพซวนเจีย และที่อาจารย์เสิ่นสอนพวกเขาก็เห็นแก่ใต้เท้าซ่ง หลังจากที่องครักษ์รักษาพระองค์แยกออกไปแล้ว แม้ว่าฝ่าบาทจะให้นางสอนต่อและอนุญาตให้พวกเขาไปเรียนก็ตาม ผลที่ได้ก็จะเป็นเช่นเดิมนานๆ ทีถึงได้มีโอกาสได้เรียนที
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง