หลังจากส่งคนไปตามหาเซี่ยหลูโม่แล้ว นางหนานก็พูดว่า "ข้าได้ยินมาว่าสนมฮุ่ยไทเฟยอาศัยอยู่ในจวนอ๋อง ช่วยพาป้าไปพบไทเฟยด้วย"ซ่งซีซีถึงนึกขึ้นมาได้ว่า "ได้ ไปเดี๋ยวนี้เลย"เมื่อนางหนานเข้าไปในจวน สนมฮุ่ยไทเฟยก็ได้ยินแม่นมเกาพูดถึงแล้ว แต่คิดว่านางกับซ่งซีซีคงมีอะไรจะพูดมากมายหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน นางจึงสั่งออกไปว่าคืนนี้จะไม่ออกไปทานอาหารเพื่อให้พวกนางได้คุยตามลำพังให้ดีๆหลังจากนั้นไม่นาน ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือก็พานางหนานมาพบ สนมฮุ่ยไทเฟยพอใจมาก สมเป็นลูกสาวของตระกูลหนานจริงๆ และรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดีหลังจากที่นางหนานทำการไหว้เสร็จ สนมฮุ่ยไทเฟยก็ให้นางนั่งคุยกัน "เดินทางเหนื่อยมากสินะ?"นางหนานเหลือบมองซีซี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเอ็นดูรักใคร่ "ทูลไทเฟยเจ้าค่ะ อยากกลับมามาก เลยไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใดเจ้าค่ะ"เมื่อเห็นนางเผยสีหน้าที่อ่อนโยน ไทเฟยก็รู้ว่านางห่วงใยซีซีมาก ดังนั้นจึงถอนหายใจ "เจ้ากลับมาก็ดี พระชายาอ๋องฮวยเป็นน้องสาวของสามีเจ้า เจ้าที่เป็นพี่สะใภ้คงต้องว่านางให้ดีๆ นางช่างไม่เอาไหนจริงๆ"เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของนางหนาน แม่นมเกาก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเลวร้
ของขวัญถูกส่งไปยังเรือนดอกบ๊วยแล้ว เซี่ยหลูโม่ช่วยนางจัดเรียงของเหล่านั้นที่ละชิ้นๆ อย่างเป็นระเบียบเขาอาบน้ำแล้ว และกำลังรอให้ซ่งซีซีกลับมาอยู่ที่ห้องของเขา วันนี้เขาไปที่กรมราชทัณฑ์ และอ่านคำสารภาพของยี่ฝาง เดิมทีเขาอยากเห็นพวกเขาสอบปากคำยี่ฝางอีกครั้ง เขาจะไม่กลับมารับประทานอาหารเย็น แต่ผลปรากฏว่าเฉินยีส่งคนมารายงานว่ามีคนจากจวนอ๋อง เชิญให้เขากลับไปโดยบอกว่า พระชายามีญาติกลับมาที่เมืองหลวง เขาจึงขี่ม้ากลับทันทีภายในใจเขามีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อป้าสะใภ้สามกลับมายังเมืองหลวง เมื่อการเจรจาเริ่มต้นขึ้น ไม่สนว่าฮ่องเต้จะอนุญาตให้เขาเข้าร่วมหรือไม่ เขาก็จะเข้าร่วมอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นไม่สามารถดูแลซีซีได้ มีเสิ่นว่านจือและป้าอยู่เป็นเพื่อนนางเขาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้นหากเป็นเมื่อก่อน เขาเชื่อว่าซีซีไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถฝันฝ่ามันไปได้ แต่คราวนี้การเจรจาเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งถูกสังหารทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในใจนาง ดังนั้นช่วงเวลานี้นางนั้นยากลำบากเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เลิกมองอย่างเคร่งขรึม เปลี่ยนเป็นยิ้มขึ้นมาอย่างหล่อเหลา และยืนขึ้นเพื่อทัก
หลังจากอาบน้ำแล้ว ซ่งซีซีก็สั่งให้ทุกคนออกไปแล้วนอนซบบนไหล่ของเซี่ยหลูโม่ราวกับแมวขี้เซาแมว "ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ว่าท่านได้ไปที่กรมราชทัณฑ์ ""ใช่ พวกเขากำลังสอบปากคำยี่ฝาง แต่ข้าอ่านคำสารภาพแล้วและมันก็วกไปวนมาอยู่แต่พวกเดิมๆ พวกเขาจะสอบปากคำต่อในคืนนี้""ที่ควรสารภาพต่างก็สารภาพมาหมดแล้ว?""ทั้งหมดที่เรารู้นั้น นางต่างก็สารภาพแล้ว แต่คำสารภาพของนางนั้นไม่เป็นผลดีต่อท่านตา นางกล่าวเป็นเสียงเดียวว่าได้รับคำสั่งจากท่านตาถึงได้ทำการสังหารหมู่ทั้งหมู่บ้าน"ดวงตาของซ่งซีซีนั้นเย็นชา "ดังนั้นตอนนี้ต้องการให้นางกลับคำให้การ แต่ไม่ใช่การให้นางรับสารภาพแล้ว"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ข้าขอร้องให้กรมราชทัณฑ์ให้ความร่วมมือ"ซ่งซีซีกล่าวว่า "เมื่อนางแว้งกัดท่านตา เป็นเพราะทำตามคำสั่ง คนบงการเรื่องนี้ไม่ใช่นาง"เซี่ยหลูโม่กล่าวอย่างเย็นชา "นางคิดว่าตราบใดที่นางไม่ใช่ผู้บงการ นางก็สามารถรอดพ้นจากความตายได้ แต่ไม่ต้องกังวลข้าจะไม่ปล่อยให้นางได้สมปรารถนาอย่างที่นางตั้งใจเสียหรอก คำให้การนางเพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถยื่นยันได้ เมื่อพวกเขาเข้าไปยังสนามรบ ชายแดนเฉิงหลิง ท่านตาถูกลธนูโจมตีสองครั้ง ครั้งแร
เมื่อกลับมาถึงจวน เสิ่นว่านจือกับเป่าจูก็ได้รับรุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังพูดคุยกับท่านป้าสะใภ้ซ่งซีซีสั่งให้คนเตรียมรถม้า จากนั้นก็สั่งให้คนยกผ้าห่ม เสื้อผ้า ถ่าน เงิน และยารักษาขึ้นไปบนรถม้าแม่นมเหลียงก็ได้ทำขนมหลายชนิด บอกว่าท่านแม่ทัพใหญ่ทำสงครามกลับมาจากชายแดนเฉิงหลิงทุกครั้งก็จะกิน แม่นมเหลียงทำไว้มากมาย ใส่เต็มปิ่นโตอาหารสามชั้นเนื่องจากมีพระราชโองการของไทเฮา นางหนานก็เดินทางไปด้วยกันรถม้าของฝูฉิวอันกับของจวนอ๋องแทบจะมาถึงพร้อมกัน เขาสั่งให้หน่วยฉินหรงขนของเข้าไป เสื้อผ้าบางส่วนในนั้นเป็นของเขาเอง เขาจะอยู่ที่นี่สองสามวันเขาเองก็มีไหวพริบ ไม่มีทางไปรบกวนการเจอกันของพวกเขา แต่เขามาแล้วก็สามารถมีคำอธิบายให้กับฝ่าบาท เพราะยังเขาก็เป็นคนของไทเฮา จับตาอยู่ที่นี่ใครจะกล้าไม่วางใจ?แม่ทัพใหญ่เซียวเห็นรุ่ยเอ๋อร์ก็มีความสุขมาก หลังจากรุ่ยเอ๋อร์คุกเข่าลงทำความเคารพแล้ว เขาก็ก้มลงอุ้มรุ่ยเอ๋อร์ ขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า "หนักมาก เห็นได้ชัดว่ากินเก่งมาก"“รุ่ยเอ๋อร์กินเก่งมาก และสูงขึ้นไม่น้อย” รุ่ยเอ๋อร์แสร้งทำเป็นไร้เดียงสามีความสุข ตอนที่อยู่บนรถม้า ท่านป้าก็ได้บอกเขาใ
เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "คำสารภาพที่ไม่ใช่ความจริงถวายให้กับฝ่าบาททำอะไรกัน? ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็ฉีกมันทิ้งเหมือนกัน"หลี่ลี่ถอนหายใจ "แต่ตอนนี้ได้สอบปากคำมาหลายวันแล้ว ทรมานแล้วก็ยังไม่ปริปาก อีกทั้งก็ไม่สามารถใช้เครื่องทรมานรุนแรง กลัวว่าจะอันตรายต่อชีวิตของนาง ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าสืบสวนต่อไปก็เหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ"เซี่ยหลูโม่พูดขึ้นว่า "ถ้าอย่างนั้นก็สอบสวนต่อไป ใต้เท้าหลี่ก็เข้าใจดี นางต้องเปลี่ยนคำรับสารภาพ แม่ทัพใหญ่เซียวไม่ใช่ผู้รับผิดชอบหลัก นางต่างหากที่ใช่ ถ้าไม่ยอมเปิดปากจริงๆ ก็เชิญจ้านเป่ยว่างมาสอบปากคำสักหน่อย"หลี่ลี่ตกใจมาก "นี่... ฝ่าบาททรงไม่มีพระราชโองการสอบปากคำใต้เท้าจ้าน และฝ่าบาทก็ไม่มีพระประสงค์จะดึงเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้"“แม่ทัพใหญ่เซียวก็มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ทำไมมันถึงไม่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย? ฝ่าบาทไม่มีพระราชโองการให้เจ้าสอบสวน แล้วฝ่าบาทเคยมีพระราชโองการไม่ให้ให้เจ้าสอบสวนไหม? "หลี่ลี่พูดขึ้นว่า "แม้จะไม่มีพระราชโองการไม่ให้สอบสวน แต่ก็ไม่ได้ทรงตรัสว่าจะจับตัวเขา"เซี่ยหลูโม่มองเขา "ไม่ได้ให้เจ้าจับตัว แต่ให้เจ้าไปเชิญ ภารกิจเมืองลู่เปินเอ่อร์เขาเ
ณ ห้องทรงพระอักษรจักรพรรดิ์ซูชิงถือถ้วยชา และใช้ฝาถ้วยชากวาดฟองชาเบาๆ หลังจากจิบคำหนึ่งแล้วจึงจะเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยหลูโม่ "ข้าก็ไม่รู้เลยว่าหอต้าหลี่ก็กำลังสืบสวนคดีนี้ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ด้วย? ข้าราชโองการแบบนี้ด้วยหรือ? หรือว่าคดีกบฏของเซี่ยอวี้น ศาลต้าหลี่ของพวกเจ้าสืบจนไม่มีอะไรจะสืบแล้ว เลยใจดีไปช่วยกรมราชทัณฑ์ทำคดีหรือ? "ในคำพูดก็แฝงไปด้วยการตั้งคำถาม และความไม่พอพระทัยจาก "ความเข้าใจกัน" ระหว่างพี่น้องในอดีต ในเวลานี้เซี่ยหลูโม่ก็ควรสารภาพผิด จากนั้นถอยออกไป แสดงสันติภาพต่อไป รักษาความสามัคคีระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางสองพี่น้องไว้ดังนั้นหลังจากจักรพรรดิ์ซูชิงตรัสคำพูดเหล่านี้จบแล้ว ก็ดื่มชาต่ออย่างช้าๆ รอดูเขาคุกเข่าสารภาพผิด ที่จริงแล้วในใจของเขาก็รู้ดีว่าเซี่ยหลูโม่อดทนและหลีกทางให้มาโดยตลอด และเขาก็เคยชินแล้วแต่ครั้งนี้เซี่ยหลูโม่กลับไม่ได้คุกเข่าลงเพื่อสารภาพผิด แต่กลับพูดประโยคหนึ่งขึ้น "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ จ้านเป่ยว่างคือแม่ทัพของเมืองลู่เปินเอ่อร์ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้"จักรพรรดิ์ซูชิงตกพระทัยเล็กน้อย และถ้วยชาก็วางลงบนโต๊ะพิจาร
เซี่ยหลูโม่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แต่ท่าทีของเขายังคงแน่วแน่ "เพื่อแสดงความเป็นธรรม ของฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้กรมราชทัณฑ์สอบปากคำจ้านเป่ยว่าง ใช้คำสารภาพของเขาเปรียบเทียบกับคำสารภาพของคนอื่น เพื่อมอบความจริงให้กับชาวซีจิง ขอฝ่าบาทโปรดทรงเชื่อว่าที่หม่อมฉันทำไม่ได้มีเจตนาทำเพื่อตัวเองแม้แต่นิดเดียว ชาวซีจิงก็รู้เรื่องเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในหมู่บ้านดีกว่าพวกเรา พวกเราวางแผนกำจัดผู้นำปฏิบัติการจ้านเป่ยว่างออกไป ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาโกรธมากขึ้นและคิดว่าพวกเราไม่มีความจริงใจในการเจรจาพ่ะย่ะค่ะ"เขาเงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่จักรพรรดิ์ซูชิง และพูดขึ้นอย่างอาจเอื้อมว่า "มันจะยิ่งทำให้ทหารและราษฎรชายแดนเฉิงหลิงรู้สึกสิ้นหวัง คิดว่าฝ่าบาททรงมีเจตนาคนของพระองค์เอง และโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับเหล่าทหารที่รักษาชายแดนมาตลอดชีวิต""เพล้ง! "แก้วกระแทกกับพื้น หน้าอกของจักรพรรดิ์ซูชิงกระเพื่อมขึ้นลง ในพระเนตรเต็มไปด้วยความมืดมน และทรงตะคอกออกมาอย่างกริ้วจัดว่า "บังอาจ! "อู๋ต้าปั้นตัวสั่น ร้องขอให้ฝ่าบาททรงพระทัยเย็นๆ ทันที และรีบพูดกับเซี่ยหลูโม่ว่า " ท่านอ๋อง โปรดหยุดตรัสเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่าทรงทำให้ฝ่าบาททร
จักรพรรดิ์ซูชิงวางพระหัตถ์ลง และตรัสขึ้นอย่างเย็นชาว่า "ประโยคนั้นพูดถูก ข้าอยากสร้างแม่ทัพคนใหม่จริงๆ แต่ข้าก็ใช่คนโง่ แม้ข้าจะอยากสร้างคนใหม่ แต่ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้งแม่ทัพคนเก่าคนแก่ที่จงรักรักภักดีต่อประเทศมาตลอดชีวิตแน่นอน""เหตุผลอะไรที่ข้าถึงต้องสร้างแม่ทัพคนใหม่? หรือว่าเขายังไม่รู้ดีอีกหรือ? แม้อำนาจทหารของกองทัพเป่ยหมิงจะไม่ได้อยู่ในมือของเขา แต่บารมีของเขายังคงสามารถสั่งการได้ทุกอย่าง ความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการกอบกู้ชายแดนหนานเจียง ก็เป็นเหมือนกับภูเขายิ่งใหญ่ที่ไม่สั่นคลอน ข้าไม่สามารถแตะต้องเขาได้เลย แต่กลับเป็นเขาที่กล้าข่มขู่ข้า"พู่กันในมือของเขาหัก เกิดเสียงแกร๊กดังขึ้น และวางลงบนโต๊ะพิจารณา เขาก้มหน้าลง "ข้าเดิมพันว่าเขาไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แต่เขามีความทะเยอทะยานมากจริงๆ แล้วถ้าจะทำอะไรกับเขาได้? "อู๋ต้าปั้นแอบรู้สึกร้อนใจ และพูดว่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยเชื่อว่าเป่ยหมิงอ๋องไม่มีเจตนาก่อกบฏ เขาเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงทรงตรัสขึ้นอย่างเย็นชา "ข้ารู้ว่าในระยะสั้นเขาไม่มีทางมีเจตนาก่อกบฏ แต่เมื่อนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงๆ นานเข้า ก็หลีกเลี่ยงไม่ไ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง