ทันทีที่แม่ทัพฟางได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาก็ปฏิเสธทันทีก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะเอ่ยปาก “ปกป้องอะไร กองทัพซวนเจียหนึ่งหมื่นห้าพันนายมีไว้ให้แม่ทัพซ่งนำทัพไปสังหารศัตรู แต่เจ้าก็พูดถูก กองทัพซวนเจียเป็นหน่วยทหารแนวหน้า เอาไว้เป็นหน่วยจู่โจมทลายเมือง”ยี่ฝางเยาะเย้ย "ผู้บังคับบัญชาช่างหวนคิดถึงอดีต หากกองทัพซวนเจียสามารถทลายเมืองได้แล้วกลายเป็นผลงานของซ่งซีซี แล้วมันจะต่างอะไรกับการมอบความดีความชอบให้นางโดยตรงไปเลยเล่า"แม่ทัพฟางพูดด้วยความโกรธ: “เจ้าพูดอะไรน่ะ หากนางสามารถนำกองทัพซวนเจียบุกทลายเมืองได้ ผลงานนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของนาง อะไรคือมอบให้ หรือว่าเวลาแม่ทัพยี่ออกรบมีแค่ตัวเองเพียงคนเดียวก็บุกจู่โจมได้ เหล่าทหารทั้งหลายหลบอยู่ข้างหลังอย่างนั้นรึ?”ยี่ฝางถามกลับ: "แม่ทัพฟางหมายความว่าแม่ทัพซ่งจะออกรบด้วย ไม่ได้หลบอยู่ด้านหลังออกคำสั่งเท่านั้น?"แม่ทัพฟางพูดด้วยความโกรธ: "เหลวไหล เราเป็นแนวหน้า ย่อมมีแม่ทัพเป็นผู้นำทัพ มีที่ไหนกันที่บอกว่าแม่ทัพหลบอยู่ข้างหลังแล้วใช้แต่อำนาจสั่งการ?"“นางเป็นผู้นำทัพรึ?” ยี่ฝางราวกับว่ากำลังฟังเรื่องขำขันอยู่ ยิ้มเยาะเย้ยอยู่หลายครั้งก่อนที่จะพูดว
แม่ทัพฟางไม่เห็นด้วยอย่างมาก กล่าวขี้นว่า: "เรื่องดังกล่าวได้ผ่านการตัดสินใจไปแล้ว ทำไมยังต้องมีท้าทายไปมาอีก ที่นี่ไม่ใช่สนามท้าประลองยุทธ แต่เป็นสนามรบ การทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อความสามัคคีของกองทัพ"หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า ยี่ฝางได้แต่รู้สึกว่าแม่ทัพฟางกลัวซ่งซีซีจะแพ้จึงได้พูดห้าม นางจึงรีบพูดขึ้นด้วยความมั่นใจว่า “ถ้าใครมีความสามารถ ทำไมจะท้าทายไม่ได้เล่า แม่ทัพฟางกลัวว่านางจะแพ้รึ หากเกรงว่านางแพ้แล้วจะอับอายขายหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ก็ได้ มอบกองทัพซวนเจียมาให้ข้าเลย”แม่ทัพฟางตะคอก “ช่างเป็นความคิดที่สวยงามเสียจริง เจ้าพากำลังเสริมเข้าสู่สนามรบ คิดไปเสียว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนของเจ้ารึ เหตุผลที่ไม่ให้เจ้าไปท้าประลองก็คือการปกป้องศักดิ์ศรีของเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนดี ก็ต้องแล้วแต่เจ้าแล้วล่ะ”“ไม่ต้องพล่ามให้มากความ กองทัพซวนเจียไม่สามารถตกอยู่ในเงื้อมมือของซ่งซีซี เว้นเสียแต่ว่านางจะเอาชนะข้าได้” หลังจากพูดจบ นางก็ลุกขึ้นทำความเคารพ “ขอตัว”หลังจากที่ยี่ฝางออกไป แม่ทัพฟางก็ถามด้วยความสงสัยว่า: “ผู้บังคับบัญชา กองทัพซวนเจียได้มอบหมายให้แก่แม่ทัพซ่งเป็นผู้บ
คำพูดคำนี้ของนาง ทำให้จ้านเป่ยว่างซึ้งใจเล็กน้อยคนอื่นพูดคำเดียวกันนี้ก็ไม่สามารถทำให้เขาประทับใจได้เท่ากับ ยี่ฝางเป็นคนพูด เพราะยี่ฝางไม่ใช่สตรีที่เป็นแม่ศรีเรือน นางคือแม่ทัพนายกองที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพ และเป็นวีรบุรุษผู้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพชายแดนเฉิงหลิงแม่ทัพหญิงผู้องอาจ กลับเอ่ยว่ายอมอยู่บ้านปรนนิบัติดูแลสามีได้อย่างไม่มีปัญหา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจทันที ความผิดหวังในอดีตที่เคยมีต่อยี่ฝางได้มลายหายไปแล้วการประลองยุทธ์ถูกกำหนดไว้ในยามพระอาทิตย์ตก เซี่ยหลูโม่เพียงมอบหมายให้จางต้าจ้วงแจ้งข่าวให้ซ่งซีซีร้บทราบเท่านั้น ส่วนซ่งซีซีนั้น ยังคงฝึกซ้อมอยู่ในสนาม เมื่อได้ทราบข่าวจากจางต้าจ้วง นางก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ค่ะ รับทราบแล้ว"เนื่องจากทั้งกองทัพต่างรู้เรื่องดังกล่าว ดังนั้นเสิ่นว่านจือและคนอื่น ๆ จึงไปหาซ่งซีซีที่สนามหลักจากเสร็จสิ้นการฝึกทหารของพวกเขาทุกคนต่างตบไหล่นาง และพูดเพียงสองคำเท่าที่จำเป็น "ลุยมัน"ซ่งซีซียิ้มให้พวกเขา การเอาชนะยี่ฝางนั้นมันช่างหนักหนาเอาการอยู่ มันยุ่งยากตรงที่ต้องพยายามสู้กันนางแทนที่ฆ่านางให้ตาย จำเป็นต้องใช้ความอดทนอย่
เสียงของนาง อย่างน้อยแม่ทัพทั้งหลายและกองทัพซวนเจียต่างก็ได้ยินนางพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมแต่ประโยคนี้ทำให้ผู้คนในสนามที่เดิมทีรู้สึกดูแคลนซ่งซีซีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งดูถูกนางมากขึ้นเสียงของการสนทนาค่อย ๆ กลายเป็นคำด่าทอถาโถมเข้าหาซ่งซีซีอย่างไม่ขาดสายเสิ่นว่านจือและคนอื่น ๆ โกรธจนหน้าเขียว หากพวกเขาไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ทางทหาร พวกเขาก็คงจะปรี่ไปสั่งสอนยี่ฝางว่าการเป็นคนต้องทำเช่นไรเมื่อมองไปที่ซ่งซีซี กลับไม่เห็นความโกรธเลยสักนิดเดียว มีคนมายั่วยุขนาดนี้ นางกลับไม่แสดงความโกรธเลย นางมองไปที่ยี่ฝางอย่างสงบ โดยไม่ตอบสักคำเดียวซ่งซีซีไม่ตอบ และสีหน้าของก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มีเพียงดวงตาของนางที่สลดลง“ ซ่งซีซี!” เซี่ยหลูโม่หยิบกระบองยางจากมือของจางต้าจ้วงแล้วโยนให้แก่ซ่งซีซี “อย่าใช้หอกดอกท้อ ใช้ไม้กระบองเถอะ”ซ่งซีซีรับมันไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วโยนหอกดอกท้อกลับไปที่เซี่ยหลูโม่ แล้วมองเซี่ยหลูโม่อย่างลึกซึ้งก่อนพูดขึ้นว่า "ค่ะ!"นางเข้าใจความหมายของเป่ยหมิงอ๋อง ดาบผาหน้าไม้ไร้ตา เมื่อไหร่ที่ระงับความอาฆาตพยาบาทไว้ไม่อยู่ หอกดอกท้อสามารถปาดคอยี่ฝางได้ในทันที
ยี่ฝางตื่นตระหนก มองดูดวงตาสีเข้มของซ่งซีซี จากนั้นก็มองไปที่กระบองไม้ในมือของนางที่กลับไม่มีร่องรอยใด ๆ ปรากฎ จึงแอบประหลาดใจขึ้นมาเป็นไปได้ไหมว่านี่ไม่ใช่กระบองธรรมดา? ใช่แล้ว เป่ยหมิงอ๋องยืนกรานที่จะปกป้องนาง จะให้กระบองไม้ธรรมดาแก่นางได้อย่างไรกัน?มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆเมื่อนึกถึงตรงนี้ นางยิ้มอย่างเย็นชา "กระบองไม้นี้ เกรงว่าไม่ใช่แท่งไม้ธรรมดาสินะ ดูเหมือนว่าผู้บังคับบัญชาได้เลือกอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่นาง"กระบองไม้นั้นยาวพอ ๆ กับหอกดอกท้อ เดิมทีเอามาใช้เป็นเสาไม้สำหรับการตั้งแคมป์ เพียงแค่ยี่ฝางใส่ใจเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ว่ามันเป็นเพียงกระบองไม้ธรรมดาแต่นางเชื่อปักใจว่าเป่ยหมิงอ๋องลำเอียงต่อซ่งซีซี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเลือกกระบองไม้ธรรมดาแก่ซ่งซีซีเพื่อใช้ในการประลองยุทธ์เช่นนี้เนื่องจากทหารจำนวนมากมองเห็นไม่ชัดเนื่องจากอยู่ระยะไกล เมื่อได้ยินคำพูดของนางต่างก็รู้สึกว่ามันเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมแม้ว่าจะมีบางคนตะโกนว่ามันไม่ยุติธรรม ดาบธรรมดาจะเปรียบเทียบกับอาวุธที่เหนือกว่าได้อย่างไร?“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนดาบยาวให้นางเสียดีกว่า นึกว่าเก่งสักแค่ไหน ที่แท้ก็ตบตา
ยี่ฝางกระอักเลือด ลูกเตะนั้นแทบทำให้อวัยวะภายในของนางเคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิม ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ใบหน้าของนางซีดเผือด ยื่นมือออกไปลูบลำคอโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือของนางเปื้อนเลือด ร่างกายสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะความกลัว แต่เป็นเพราะนางรับไม่ได้กับผลลัพธ์เช่นนี้นางมองดูซ่งซีซีอย่างไม่เชื่อสายตา วิทยายุทธเช่นนี้ นางไม่เคยมาก่อนในชีวิตแต่ซ่งซีซี นางจะมีวิทยายุทธการต่อสู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อก่อนตอนที่นางหย่าร้าง พี่จ้านเคยบอกว่านางเหาะเหินเดินอากาศทำร้ายคนได้ ตอนนั้นคิดว่าเป็นแค่เรื่องตลก ตอนนี้เข้าใจดีแล้ว หัวใจของนางถูกครอบงำด้วยความริษยา มีความรู้สึกราวกับว่ามีมดนับพันกำลังรุมกัดความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ทำให้นางเสียหน้าอย่างหนัก เมื่อก่อนนางเคยพูดกับกองกำลังเสริมว่าซ่งซีซีอาศัยความสัมพันธ์มาไต่เต้า ซึ่งส่งผลให้แม่ทัพหลายคนถูกโบยและก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น นางก็ยังกล่าวหาเสียงดังเช่นนี้ต่อซ่งซีซี โหมกระแสความรู้สึกโกรธเคืองของผู้คนแต่ในตอนนี้ ซ่งซีซีใช้ความสามารถที่แท้จริงของนาง หักล้างคำพูดของนางส
บัดนี้กองทัพซวนเจียรู้สึกชื่นชมนับถือกับซ่งซีซีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปี้หมิงเขามองออกความแข็งแกร่งแห่งการเคลื่อนไหวของแม่ทัพซ่ง แท่งไม้กลายเป็นท่อนไม้ที่เป็นชิ้นๆ อีกอย่างทั้งหมดเรียงกันอย่างเรียบร้อย พลังภายในนี้ได้ซ่อนฝีมือไว้ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเศษไม้จำนวนมากที่พุ่งออกไป มีเพียงชิ้นเดียวที่ลงยังคอเท่านั้นที่มันเบาเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน และฟ้าเริ่มมืดลง กองไฟก็ส่องทหารที่ค่อยๆ กระจายออกไป และพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนามแต่คราวนี้หัวข้องที่พวกเขาสนทนานั้นล้วนเกี่ยวกับท่าที่แม่ทัพซ่งออกให้"แท่งไม้แตกออกเป็นชิ้นๆ ทันที มันน่าทึ่งมากจริงๆ มันเหมือนกับมายากลทีเดียว""สมเป็นลูกสาวของท่านแม่ทัพซ่งจริงๆ สินะ นางสุดยอดมาก""ข้าว่าแล้วเชียว หากไม่ได้สร้างผลงานทางทหารด้วยความสามารถของตัวเองจริงๆ แล้วจะเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพชั้นห้าได้อย่างไรเล่า""เจ้านี่ไร้ยางอายเลย เจ้าเป็นคนโวยวายเสียงดังที่สุดในตอนแรก และยังคิดจะไปประท้วงต่อหน้าผู้บังคับบัญชาเสียอีก หากข้าไม่ได้ห้ามเจ้าไว้ คนที่ถูกตีด้วยไม้เท้าจะเป็นเจ้าแน่""เอ๊ะๆๆ ข้าแค่หลงเชื่อคำพูดของแม่ทัพยี่ไป แม่ทัพยี่เป็นคนพูดเองว่า แม่ทัพซ
ซ่งซีซีชี้หอกดอกท้อออกไป ชี้ไปยังสถานที่ที่นางสู้กับปี้หมิง "หากตายังใช้งานได้ จงไปดูด้วยตัวเจ้าเองว่าเหตุใดปี้หมิงจึงยอมแพ้"สถานที่นั้นอยู่ไม่ไกล ห่างจากพวกเขาเพียงเจ็ดหรือแปดฟุตเท่านั้นเมื่อมองตามทิศทางที่ชี้โดยหอกดอกท้อ ยี่ฝางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเห็นรอยแตกห้ารอยบนพื้น แต่ละรอยแตกนั้นเหมือนกับตะขาบกำลังคลานอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งกำลังไปยังที่แห่งเดียวนั่นอาจเป็นที่ที่ปี้หมิงยืนอยู่ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะทะลุเท้าของปี้หมิง เนื่องจากหนึ่งในห้ารอยแตกนั้นมีสถานที่ที่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่ประมาณรอยเท้าคู่หนึ่ง ซึ่งรอยไม่ได้ใหญ่มาก พอจะเข้าใจว่าแรงภายในจะกระทบเท้าของปี้หมิงเข้า ดังนั้นรอยแตกในสถานที่นั้นจึงค่อนข้างเล็กหากกำลังภายในนี้ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม ขาของปี้หมิงก็อาจถูกทำลายไปเลยนี่คือเหตุผลที่ปี้หมิงยอมรับความพ่ายแพ้ยี่ฝางหายใจเข้าลึกๆ นางรู้ว่า นางพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงต่อหน้าซ่งซีซีเลยแต่ไม่นานนัก นางก็ยืนตัวตรงอย่างรวดเร็ว คว้าแขนของจ้านเป่ยว่าง แนบชิดข้างเขา และเผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ที่นางไม่เคยมีมาก่อน "ใช่ ในด้านความท้าทาย ข้าแพ้กับเจ้า ทักษะศิล