เสี่ยวอานจื่อคุกเข่าลงอย่างร้อนรน"บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินว่าเป็นไทเฮา อินชิงเสวียนเองก็รีบคุกเข่าลงเช่นกันสายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่ท้ายทอยของเธอ ความโกรธก็ฉายแววเล็กน้อยในดวงตาเจ้าบ่าวเลวเมื่อคืนนี้ก็หนีหายไปทั้งคืนทว่ากลับได้ยินไทเฮาตรัสว่า "ลุกขึ้นมาเถิด"อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าไทเฮารู้จักตนเองหรือไม่ เธอลุกไปยืนด้านข้างพร้อมก้มศรีษะต่ำเย่จิ่งอวี้กับไทเฮาเข้าไปในห้องหนังสือแล้วไทเฮานั่งลงบนเก้าอี้ หยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบเบาๆ แล้วตรัสว่า "ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทสั่งให้คนขุดถอนต้นไม้ใบหญ้าในสวนอวิ๋นเซียง และปลูกเมล็ดข้าวสาลีอะไรสักอย่าง ข้าวสาลีคืออะไรหรือ?""สิ่งนี้เป็นของที่มาจากฮว๋าเซี่ย สามารถโม่เป็นอาหารที่มีลักษณะสีขาวละเอียด"เย่จิ่งอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็พูดต่อว่า "ตอนนี้ปัญหาภัยแล้งยังมิได้รับการแก้ไข เมล็ดพันธ์ุสำหรับปีหน้านั้นก็เป็นปัญหา หากเมล็ดพันธ์ุในสวนอวิ๋นเซียงสามารถเพาะปลูกได้สำเร็จ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีให้เก็บจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็นับว่ามีความหวังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหนทาง"ไทเฮายิ้มเบาๆ แล้วตรัสว่า "ฝ่าบาททรง
อินชิงเสวียนชะงัก"ฝ่าบาทเอาสิ่งนี้ไปทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"เย่จิ่งอวี้ใบหน้าเคร่งขรึม "อย่าพูดไร้สาระ"เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลามีท่าทีเย็นชา อินชิงเสวียนก็ไม่กล้าพูดจาอีกต่อไปเธอเรียกเสี่ยวอานจื่อ และพาขันทีพร้อมกับทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งกลับไปที่วังเย็นทันทีเมื่อมาถึงกำแพงข้าง อินชิงเสวียนโยนหินเข้าไปข้างในสามก้อน และพาคนมายังหน้าประตูวังหวังเอ้อร์หวู่และหวังต้าหวู่กำลังยืนพิงประตูวังเย็นและงีบหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นกลุ่มขันทีและทหารองครักษ์ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา"คารวะทุกท่าน"อินชิงเสวียนถามเสียงเย็นชาว่า "ใครคือหวังเอ้อร์หวู่?"หวังเอ้อร์หวู่รีบตอบทันที "บ่าวขอรับ ไม่ทราบว่ากงกงมีอะไรจะสั่งหรือ?"อินชิงเสวียนเดินหน้า ยกมือขึ้นแล้วตบไปที่หน้าเขาสองฉาดหวังเอ้อร์หวู่ถูกตบจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาเมื่อคิดถึงขันทีที่เห็นในวันนั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา หรือว่าความแตกเสียแล้ว?"เขาคุกเข่าลงดังตึ่ง"กงกงโปรดอภัยขอรับ"เมื่ออินชิงเสวียนมองไปที่หน้าเขา ความโกรธก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ จึงยกเท้าเตะไปที่คางของเขา
หัวใจของอินชิงเสวียนเต้นโครมครามราวกับจะกระเด็นออกมาจากอกรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “กระดูกส่วนใหญ่ของพระสนมเน่าเปื่อยไปมากแล้ว กระหม่อมเก็บได้เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ...”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองโถแล้วพูดเสียงเรียบ “มีก็ดีแล้ว หลี่เต๋อฝู ส่งกระดูกไปที่หอสวดมนต์ เก็บไว้ทำพิธีในภายหลัง”ครั้นได้ยินดังนี้ อินชิงเสวียนก็โล่งอกในที่สุด เดิมคิดว่าทรราชผู้นี้ต้องการจะบดขยี้เจ้าของร่างเดิมให้เหลือเพียงเถ้าถ่านเสียอีกหลี่เต๋อฝูเหลือบมองอินชิงเสวียนแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงที่บีบให้เล็กแหลมว่า “กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่มองดูหลี่เต๋อฝูหยิบขวดโหลออกไป อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเฮือก นับว่าเย่จิ่งอวี้ยังคงมีมโนธรรมอยู่บ้างทว่ากลับได้ยินเย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงเรียบ “โครงการผันน้ำใต้ขึ้นเหนือที่เจ้าพูดถึง เราได้ส่งคนไปทำตามนั้นแล้ว หากสามารถปลูกข้าวสาลีได้ ก็จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เราให้เวลาเจ้าคิดสองสามวันว่าอยากได้รางวัลอะไร เพียงแต่จะออกจากวังไม่ได้”อินชิงเสวียนแอบกลอกตา ไม่ออกจากวังก็ได้ เช่นนั้นเอาเงินก็แล้วกัน“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมไม่ต้องการออกจากวังอีกแล้ว เพื่อประโยชน
เย่จิ่งอวี้ฮึมฮัมในลำคอเบาๆ“คราวนี้ดูแลเฉพาะดอกไม้ใบหญ้าเสียแล้ว ปากของเจ้าจะพูดความจริงบ้างได้หรือไม่”อินชิงเสวียนรีบเอ่ยขึ้น “เรื่องที่กระหม่อมเป็นขันที เป็นเรื่องสัตย์จริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเนิบ “ถ้าเช่นนั้นก็เลิกยืดยาดได้แล้ว”อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอดอาภรณ์ของเขาออกทีละชิ้น แต่นิ้วเจ้ากรรมก็ดันไปแตะต้องกับผิวกายของเย่จิ่งอวี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรู้สึกได้ว่าผิวนั้นแน่นและเรียบเนียน โดยเฉพาะแนวท่อนแขนอันเรียบเนียน ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งในอัตลักษ์ของความเป็นของบุรุษเพศอินชิงเสวียนหายใจเร็วอย่างอธิบายไม่ได้ ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกเย่จิ่งอวี้ก้มหน้าพิจารณาดูนางแต่งงานมีลูกแล้วแท้ๆ ยังจะเขินอายอะไรเช่นนี้แต่หารู้ไม่ว่าอินชิงเสวียนนั้นไม่เคยแม้แต่จะคุยเรื่องความรักกับชายใดด้วยซ้ำ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนี้ นางก็เกือบจะเป็นลมอยู่แล้ว แล้วจึงรีบอุ้มเสื้อคลุมไปแขวนไว้ข้างๆปากก็พึมพำเงียบๆ “ฝ่าบาท พระองค์คงไม่ต้องให้กระหม่อมถอดกางเกงให้ด้วยกระมัง”เสียงแผ่วเบาของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากด้านหลัง“ต้อง
อินชิงเสวียนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็จะได้ไปเสียที นางแทบจะหลับอยู่แล้วทันใดนั้นนางก็นึกถึงอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปวังเย็น หาน้องสาวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “ไปเถอะ แต่ต้องกลับมาก่อนยามซู”อินชิงเสวียนรีบโค้งคำนับอย่างตื่นเต้น“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ได้ก้าวออกไปแล้วระหว่างทาง หลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างขมขื่น “ฝ่าบาทพระทัยดีกับเสี่ยวเสวียนจื่อเกินไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง“แล้วเราไม่ดีต่อเจ้ารึ”หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ฝ่าบาทย่อมดีต่อกระหม่อมอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้เอนตัวพิงราชรถ หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าจะปวดใจไปไย”หลี่เต๋อฝูเป็นขันทีที่รับใช้เย่จิ่งอวี้มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ว่าเขาจะพูดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เป็นครั้งคราว ทว่าเย่จิ่งอวี้ก็มิได้มีข้อห้ามมากนัก ถึงจะเป็นนายกับบ่าว แต่ในความรู้สึกกลับเป็นเหมือนญาติสนิทไปแล้วหลี่เต๋อฝูยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงคิดว่าเสี่ยวเสวียนจื่อปลิ้นปล้อน วาจาเป็น
ยายหลี่รีบอุ้มเจ้าหมาน้อยแล้วโยกตัวไปมา“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะ!”แต่เจ้าหมาน้อยกลับยังร้องไห้ไม่หยุด ร่างกายเล็กๆ เหยียดตัวตรง ขาป้อมๆ เตะไปมา อารมณ์ร้ายไม่เบาอินชิงเสวียนทนไม่ไหว เอื้อมมือไปรับเขามา“ไม่ร้องไห้นะลูก ไม่ใช่ว่าแม่ของเจ้าจะไม่กลับมาอีก”ทันทีที่อยู่ในมือของอินชิงเสวียน เจ้าหมาน้อยก็หยุดร้องไห้ จ้องมองนางด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเมื่อมองดูปากเล็กๆ ของเขาพร้อมน้ำตาหยดเล็กๆ บนแพขนตา อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความรักของแม่ที่ล้นเหลือ นางจูบดวงแก้มเล็กๆ ของเขาด้วยความทุกข์ใจ“อย่าร้องไห้นะลูกรัก แม่ไปหาเทพเซียนเอาของเล่นมาให้เจ้า”เจ้าหมาน้อยยังคงมองอินชิงเสวียนด้วยตาโต ศีรษะเล็กๆ ส่ายอย่างแรง ส่ายกระแทกหน้าของอินชิงเสวียน แล้วเริ่มกัดใบหน้าของนางอินชิงเสวียนถูกกัดรู้สึกเจ็บๆ คันๆ จนอดหัวเราะไม่ได้เจ้าหมาน้อยก็โบกไม้โบกมือตามนาง ดวงตาสีเข้มเล็กๆ ของเขาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวเล็กๆ สองวงช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่น่ารักจริงๆ!อินชิงเสวียนชอบเด็กๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งเป็นเจ้าหมาน้อยผู้น่ารักน่าเอ็นดู ความคิดแวบหนึ่งยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากจากไปที่ใด
ทันใดนั้นดวงตาของอินชิงเสวียนก็เป็นประกายวาว นางก็รีบหยิบหยวนเป่าทองคำทันที“ขอบพระทัยองค์หญิง”นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสหยวนเป่าทองคำ ก้อนทองมีขนาดประมาณฝ่ามือ หนักสองเหลี่ยง[footnoteRef:1] ยามที่สัมผัสนั้นให้ความรู้สึกเรียบและกะทัดรัด ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก [1: เหลี่ยง 1 เหลี่ยง เท่ากับ 50 กรัม] เย่ไห่ถังหัวเราะเบาๆ“ไม่ต้องเกรงใจ หากเจ้ามีอะไรสนุกๆ หรือมีประโยชน์ ข้าก็จะซื้อจากเจ้าอีก”อินชิงเสวียนรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “ตอนนี้กระหม่อมก็มีของดีจริงๆ เช่นนั้นก็ขอถวายให้องค์หญิงเลย”นางหยิบชาดทาปากออกมาจากอกเสื้อ เดิมทีนางต้องการให้เย่จิ่งอวี้ช่วยขาย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาคือฮ่องเต้ การค้านี้เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เช่นนั้นก็มอบให้องค์หญิงเลยดีกว่า“นี่คือชาดทาปากรูปแบบใหม่ เป็นสิ่งที่พี่ชายของกระหม่อมนำมาจากแคว้นฮว๋าเซี่ยเช่นกัน หวังว่าองค์หญิงจะรับไว้พ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนเปิดฝาออก แล้วหมุนแท่งชาดทาปากออกมาดวงตาคู่งามของเย่ไห่ถังเบิกกว้าง นางมองดูชาดทาปากด้วยความประหลาดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดเจ้าสิ่งนั้นถึงค่อยๆ โผล่ออกมาได้เมื่อมองดูสีแดงสดซึ่งงดงามกว่าชาดทาปากที่ตั
ณ สุสานหลวงชายผู้หนึ่งในชุดผ้าแพรสีฟ้ากำลังมองไปในทิศทางของวังหลวงด้วยท่าทางน่ากลัวชายผู้นี้อายุสิบเจ็ดสิบแปดปีโดยประมาณ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดวงตายาวเรียว แววตามืดมนเล็กน้อยซึ่งบุคคลผู้นี้ก็คือน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อันผิงอ๋อง ผู้ที่ซึ่งมีนามว่าเย่จิ่งเย่าหนึ่งปีก่อน ตอนที่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาถูกส่งไปยังสุสานหลวงในนามการไว้ทุกข์แทนฮ่องเต้พระองค์ใหม่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตทุกๆ เรื่องราว ความเกลียดชังในแววตาของเย่จิ่งเย่าพลันแข็งกร้าวขึ้นถ้าตาเฒ่าอินจ้งยอมช่วยเขาในวันนั้น บัลลังก์ก็จะเป็นของเขา...ยามนี้ก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ในวังหลวงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เห็นชัดว่าเจ้าลูกสุนัขเย่จิ่งอวี้ผู้นี้ กลัวเขากลับราชสำนักนิ้วมือค่อยๆ รวบเข้าหากัน เสียงข้อต่อหักดังกรอบหากเขาสามารถกลับราชสำนักได้ เขาจะชำระหนี้แค้นนี้แน่นอนขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งจากไกลๆ ในใจจิ่งเย่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเพียงชั่วพริบตา หลี่เต๋อฝูและเสนาบดีกรมพิธีการก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเสนาบดีกรมพิธีการพลิกกายลงจากม้า ยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น“กระ