นลินญาย้อนข้ามกาลเวลาไปยังยุคสมัยสุโขทัย พบรักแท้ที่นั่น แต่เมื่อกาลเวลาท้าทายให้เธอต้องเลือกระหว่างสองยุค เธอจะเลือกทางไหน ความรักหรือความจริง แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยไทยที่เต็มไปด้วยหนังสือประวัติศาสตร์ นลินญา หญิงสาววัย 27 ปี นักศึกษาปริญญาเอกด้านโบราณคดี กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับยุคสุโขทัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของเธอ นลินหลงใหลในความงดงามและความรุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งเป็นอาณาจักรแรกของไทย ที่รุ่งเรืองด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการปกครอง เธอพบแผนที่โบราณที่ถูกลืมเลือนในซอกหนึ่งของห้องสมุด แผนที่นั้นมีรอยขาดและลายเส้นที่จางหายไปตามกาลเวลา นลินรู้สึกตื่นเต้นและตัดสินใจจะนำแผนที่นี้ไปศึกษาเพิ่มเติมที่บ้าน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…
View Moreแสงแดดอ่อน ๆ ของยามบ่ายคล้อยลอดผ่านหน้าต่างกระจกที่มีฝุ่นเกาะบาง ๆ ของห้องสมุดเก่าแก่ประจำมหาวิทยาลัย ห้องสมุดแห่งนี้มีกลิ่นอายของความเก่าแก่ บรรยากาศที่เงียบสงบและมีเพียงเสียงกระดาษที่เสียดสีกันเมื่อมีคนเปิดหนังสือ เสียงของนาฬิกาโบราณที่ดัง "ติ๊ก ต๊อก" เป็นจังหวะเดียวที่รบกวนความเงียบงันในห้อง
นลินญา โกมลเมศ หรือ นลิน หญิงสาววัย 27 ปี นักศึกษาปริญญาเอกด้านโบราณคดี กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวกลางห้องสมุด รอบตัวเธอเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สยามโบราณที่เรียงซ้อนกันอยู่หลายเล่ม นลินญาอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม ผมยาวสลวยถูกมัดหลวม ๆ ไว้ด้านหลัง ท่ามกลางกองหนังสือและเอกสารกระดาษต่าง ๆ สายตาของเธอจ้องมองที่แผนที่เก่า ๆ ฉบับหนึ่งที่เธอเพิ่งค้นพบ
แผนที่นั้นถูกซ่อนไว้ในซอกหนึ่งของชั้นหนังสือ ที่นลินญาสะดุดตาขณะกำลังมองหาเอกสารสำคัญเกี่ยวกับยุคสุโขทัย มันเป็นแผนที่ที่แตกต่างจากแผนที่อื่น ๆ ที่เธอเคยเห็น มีรอยขาดและสีที่จางลงตามกาลเวลา ลายเส้นบาง ๆ ที่วาดด้วยมือแสดงถึงเส้นทางและภูมิประเทศในสมัยโบราณ ซึ่งดูคล้ายกับแผนที่ของสุโขทัย แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นในแผนที่อื่น ๆ
นลินใช้ปลายนิ้วลูบเบา ๆ บนกระดาษที่กรอบบอบบาง เธอรู้สึกได้ถึงเนื้อกระดาษที่เก่าและเสื่อมโทรม แต่ยังคงรักษาความงดงามของมันไว้
“นี่มันแผนที่อะไรกัน”
นลินญาพูดพึมพำกับตัวเอง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและตื่นเต้น ตอนนี้หัวใจของเธอกระหน่ำเหมือนตีกลอง มือบางพลิกแผนที่ไปมา สายตาเรียวพยายามที่จะจ้องอ่านลายเส้นที่เลือนลาง
แสงแดดเริ่มจางลงเรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศในห้องสมุดดูหม่นหมอง นลินญาขมวดคิ้ว เธอรู้สึกได้ถึงความเร้นลับบางอย่างที่แฝงอยู่ในแผนที่นี้ มันเป็นความรู้สึกที่เธอเองก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ มันเหมือนกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างจากแผนที่นี้ที่ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปได้
“หรือว่านี่จะเป็นแผนที่ ที่ไม่มีใครรู้จัก” เธอคิดในใจ
นลินญาตัดสินใจนำแผนที่นี้กลับไปศึกษาต่อที่บ้าน เธอค่อย ๆ เก็บของและใส่แผนที่นั้นลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง เพราะดูแล้วมันบอบบางเหลือเกิน ความตื่นเต้นเริ่มท่วมท้นภายในใจของเธอ ขณะที่เธอเดินออกจากห้องสมุด ท้องฟ้าภายนอกเริ่มเปลี่ยนสีจากสีทองของยามเย็นเป็นสีม่วงหม่นของยามค่ำ คืนที่กำลังจะมาถึงเหมือนเป็นการเปิดฉากเรื่องราวที่นลินญาไม่เคยคาดคิด
ขณะที่เธอกลับมาถึงบ้านในค่ำคืนนั้น ความเงียบสงบของบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ในย่านชานเมืองไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นในใจของนลินญาลดลงเลย เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะไม้สักกลางห้องนั่งเล่น ก่อนจะหยิบแผนที่ขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง
นลินญาเปิดแผนที่กางออกมาบนโต๊ะ แสงไฟสีส้มอ่อน ๆ จากโคมไฟตั้งโต๊ะให้บรรยากาศอุ่น ๆ รอบตัว แต่ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและความหลงใหลต่อแผนที่โบราณนี้
“ฉันต้องหาคำตอบให้ได้…”นลินญาพูดกับตัวเองขณะที่เธอใช้ปลายนิ้วลูบไปตามลายเส้นของแผนที่ และในขณะนั้นเอง แผนที่เก่ากลับเปล่งแสงสีทองอ่อน ๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“กะ…เกิดอะไรขึ้นนี่” นลินญาอุทานด้วยความตกใจ หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น แสงนั้นสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอต้องหลับตาลง ความร้อนรนเริ่มไหลพาดผ่านร่างกายของเธอ และเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกสิ่งรอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...
ในยามค่ำคืนเมื่อทุกสิ่งเงียบงัน นลินญามักจะเผลอคิดไปว่า ท่านขุนศรีกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะปลอดภัยหรือไม่ เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่าเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง ในขณะที่ท่านขุนศรีออกไปรบ เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การห่างไกลกันชั่วคราว แต่มันอาจหมายถึงการเสี่ยงชีวิต นั่นทำให้เธออดที่จะกังวลไม่ได้ หลายครั้งที่นลินญาหลับตาลง เธอเฝ้าฝันเห็นท่านขุนศรีกลับมาหาเธอในยามค่ำคืน เธอมองเห็นเขาในชุดรบที่สง่างาม แต่ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม รอยยิ้มที่เธอคิดถึง และอ้อมแขนที่อบอุ่น เมื่อเธอเอื้อมมือออกไปหาเขา ความฝันนั้นกลับเลือนหายไป กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ทำให้เธอต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน นลินญาก็รู้ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้ความคิดถึงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออ่อนแอได้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อท่านขุนศรีอิศราและเพื่อครอบครัวที่พวกเขาหวังจะสร้างร่วมกัน นลินญารู้ดีว่าท่านขุนศรีออกไปรบเพื่อปกป้องผู้คนในหมู่บ้าน และเธอเองก็ต้องดูแลบ้านและครอบครัวในช่วงที่เขาไม่อยู่ เธอรู้ว่าการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่เธอก็เชื่อมั่นในความรักและคำมั่นสัญญาที่พวกเข
เวลาผ่านไปหลายวันแล้วหลังจากที่ท่านขุนศรีอิศราต้องเดินทางไปยังสนามรบเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องบ้านเมืองของชายชาตินักรบ นลินญาใช้ชีวิตด้วยความว้าเหว่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวเงียบเหงาและว่างเปล่า ในแต่ละวันเธอต้องเผชิญกับความรู้สึกที่หลากหลายถาโถมเข้ามา ตอนนี้ในห้วงความคิดและห้องหัวใจของเธอ มีทั้งความรู้สึกห่วงใย ความคิดถึงที่มีต่อใบหน้าคมและรูปร่างท่าทางอันสง่างามของท่านขุนศรีอิศรา รวมถึงความกลัวว่าคนที่ไปทำหน้าที่นำทัพไปต่อสู้กับข้าศึกจะไม่ปลอดภัย ความรู้สึกต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในหัวใจทำให้เธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ในแต่ละวันแต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไปเธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป การที่ท่านขุนศรีไม่อยู่ มันไม่มีรอยยิ้มของท่านขุน ไม่มีเสียงหัวเราะของเขา ทุกอย่างที่เคยดูสดใสกลายเป็นเงียบงัน เมื่อท่านขุนไม่อยู่ทำให้หมู่บ้านดูเงียบเหงาไปมากในสายตาของนลินญา ถึงแม้นว่าจะมีชาวบ้านรายล้อมและมีงานที่ต้องทำมากมายเหมือนเช่นเดิม แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงท่านขุนศรีชายที่ทำให้เธอได้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างมีความสุขได้เลย ใน
หลายวันก่อนที่ท่านขุนศรีอิศราจะได้กลับมาพบกับนลินญา เขาต้องออกเดินทางไปยังราชสำนักในเมืองสุโขทัยเพื่อรายงานสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพจากเมืองอื่นที่เข้ามาใกล้ชายแดน อาณาจักรสุโขทัยต้องเตรียมการป้องกันอย่างเร่งด่วน ท่านขุนศรีอิศราถูกมอบหมายให้นำทัพไปยังชายแดนเพื่อสกัดกั้นกองกำลังที่อาจรุกรานการออกรบครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ของท่านขุนศรี แต่เป็นการปกป้องบ้านเมืองที่เขารัก เขารู้ว่าความปลอดภัยของสุโขทัยและชาวบ้านทุกคน รวมถึงนลินญา ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจนี้ขณะที่ท่านขุนศรีอิศราเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สนามรบ ความคิดถึงแม่หญิงนลินญาอันเป็นที่รักก็ไม่เคยห่างหายไปจากใจของเขา แม้ท่านขุนศรีอิศราจะเป็นขุนศึกที่มีกล้าแกร่งมากประสบการณ์และเข้มแข็ง แต่ความรักที่เขามีต่อแม่หญิงนลินญากลับทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในคืนแรกของการเดินทัพ ท่านขุนศรีอิศราได้แต่นั่งอยู่ข้างกองไฟในค่ายทหาร แสงไฟส่องใบหน้าหล่อคมของเขาให้ดูเคร่งขรึมและมุ่งมั่น แม้ว่าทหารคนอื่นจะหลับไปแล้ว แต่ท่านขุนศรีอิศรายังคงตื่นและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ราวกับว่ากำลังส
หลังค่ำคืนที่งดงามในวันลอยกระทง ความสัมพันธ์ระหว่างนลินญาและท่านขุนศรีอิศราก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ความรู้สึกที่เคยเป็นเพียงแค่ความเคารพและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้กลายเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่การกระทำและความใส่ใจที่มีให้กันก็ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ วันเวลาผ่านไป นลินญาได้ปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในหมู่บ้าน ผู้คนต่างก็ให้ความรักและความเคารพเธอเหมือนกับสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ทุก ๆ วันนลินญาจะได้พบกับท่านขุนศรีอิศรา ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในหมู่บ้าน การเยี่ยมเยียนชาวบ้าน หรือการพูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ในช่วงเย็น ความรักของทั้งสองคนเริ่มงอกงามขึ้นในบรรยากาศที่เรียบง่ายของสุโขทัย ความรักนี้ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งหรือการแสวงหา แต่เป็นความรักที่เติบโตขึ้นจากการที่ได้อยู่ร่วมกันและผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มาด้วยกัน นลินญาและท่านขุนศรีมักจะใช้เวลาร่วมกันในงานของชาวบ้าน เมื่อใดก็ตามที่หมู่บ้านมีงานใหญ่ เช่น การเก็บเกี่ยวข้าวหรือการสร้างบ้านใหม่สำหรับครอบครัวในหมู่บ้านที่ยา
ค่ำคืนแห่งเทศกาลประเพณีลอยกระทงในอาณาจักรสุโขทัยมาถึงแล้ว บรรยากาศทั่วหมู่บ้านเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างพากันเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญนี้ หญิงสาวและเด็ก ๆ นั่งประดิษฐ์กระทงจากใบตองและดอกไม้อย่างประณีต โดยแต่ละคนต่างตั้งใจทำกระทงของตัวเองให้สวยงามที่สุด ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยกันเตรียมไฟและจัดพื้นที่ริมแม่น้ำให้พร้อมสำหรับการลอยกระทง นลินญานั่งอยู่ลานหน้าบ้านพ่อเฒ่าผิน พลางช่วยแม่แย้มภรรยาของพ่อเฒ่าผินประดิษฐ์กระทงใบตอง เธอรู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาลที่เธอเคยได้ยินมาแต่ในตำรา และไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสมาสัมผัสด้วยตัวเองเช่นนี้ ขณะที่นลินญากำลังจัดดอกไม้ใส่ในกระทงใบตอง ท่านขุนศรีอิศราก็เดินเข้ามาหาเธอ เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำปักทองดูสง่างาม แต่เรียบง่าย ร่างสูงของท่านขุนศรีอิสราหยุดยืนอยู่ตรงหน้านลินญา พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้เธอ “แม่หญิงนลินญา คืนนี้ท่านมีแผนจะไปลอยกระทงที่ใดหรือยัง” นลินญาเงยหน้าขึ้นมองท่านขุนศรีอิศรา ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาคมของเขา พลางรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเเละสั่นไหวเล็กน้อย “ฉันยังไม่มีแผนอะไรเลยค่ะ กำลังคิดว่าจะไปกับชาวบ้านที่ริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้เท่
วันเวลาผ่านไป นลินญาเริ่มปรับตัวและเรียนรู้การดำเนินชีวิตในยุคสุโขทัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย สมัยใหม่ นลินญาจำต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคนี้ หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของยุคสุโขทัยคือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้งและความเชื่อที่ฝังรากลึกในทุกกิจกรรมประจำวัน ชาวสุโขทัยที่นลินญาได้เห็นทุกคนมีความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุก ๆ การกระทำ ตั้งแต่การเริ่มต้นวันใหม่จนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน ในทุกๆ เช้า นลินญาจะตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน ทันทีที่เธอลุกจากที่นอน นลินญาจะเริ่มวันใหม่ด้วยการกราบพระพุทธรูปในบ้านของพ่อเฒ่าผินผู้มีตำแหน่งนายบ้าน ตามแบบแผนที่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่แย้มภรรยาของนายบ้าน การสวดมนต์เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้ที่จะทำทุกวัน เพื่อเริ่มต้นวันด้วยจิตใจที่สงบและพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น นลินญาได้เรียนรู้ว่าชาวสุโขทัยมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความเคารพต่อธรรมชาติ ทุกกิจกรรมประจำวันไ
Comments