หลังจากกลับเข้ามารับตำแหน่งได้ครบเดือน ปลัดอำเภอซ่งจื่ออวี้แม้ยังคงแสดงออกอย่างสุขุม ยึดมั่นในกฎระเบียบและนโยบายเดิม แต่ในใจลึกๆ เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงต่อต้านจากการบริหารพื้นที่ที่ชาวบ้านไม่ยอมให้ความเชื่อมั่นง่ายๆ เช่นเดิม
ตอนเช้าเมื่อเขาเดินตรวจตลาด ชาวบ้านหลายคนเมินหน้าหนี หรือบางคนแสร้งทำเป็นไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ
“คนพวกนี้ลืมง่ายก็จริง แต่บางครั้งก็จดจำไม่ลืม” เขาพึมพำกับตัวเองขณะกลับจวน
ด้านโจวจิงหยู นางกลับมาสวมบทบาทภรรยาผู้สงบเสงี่ยมตามคำของสามี แต่ในเบื้องหลังกลับค่อยๆ วางหมากของนางใหม่อีกครั้ง
หลังได้รับจดหมายตอบกลับจากบิดาให้นางรอ นางก็จะรอแต่ก็มิอาจอยู่นิ่งเฉย นางเริ่มส่งของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับบรรดาภรรยาของขุนนางในเมืองตุนโจว เพื่อสร้างความสัมพันธ์
โจวจิงหยูยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องมองใบหน้าของตนเองที่แม้ยังงดงาม แต่ก็ไม่อาจปิดรอยแผลจากโรคได้สนิท นางจ้องเงาในกระจก ก่อนจะพึมพำ
“หากร่างกายข้าไม่งามเท่าเดิม เช่นนั้น ข้าจะใช้อำนาจ ใช้เล่ห์กล ใช้ทุกอย่างที่ข้ามี เพื่อแย่งทุกสิ่งกลับคืนมาให้ได้”
ขบวนการทางการเมืองเริ่มขยับช้าๆ เบื้องหลังพระราชสำนักมีการเปลี่ยนถ่ายตำแหน่งบางส่วนอย่างไม่เป็นทางการ ขุนนางรุ่นเก่าที่เคยสนับสนุนเผิงเหยียนเฉิงเริ่มทยอยถูกลดบทบาทลง ทำให้เสียงสนับสนุนที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นคลอนระหว่างนั้น มีโจวเสวี่ยติดสินบนให้มีผู้เสนอชื่อขุนนางใหม่ขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญในสำนักศึกษาแทนอาจารย์ผู้เฒ่าที่ขอลาออกตามวัย โดยเสนอชื่อบุคคลจากสายสกุลโจว ซึ่งแม้จะไม่มีประวัติที่ชัดเจนด้านการศึกษา แต่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มขุนนางฝ่ายใต้ และเป็นญาติห่างๆ กับโจวจิงหยูเผิงเหยียนเฉิงแม้จะไม่ได้ถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ถูกกันไม่ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำคัญ ทำให้รู้สึกถึงการต่อต้านที่เริ่มก่อตัวโจวเสวี่ยเองก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาให้คนสนิทลอบติดตามการเคลื่อนไหวของเผิงเหยียนเฉิง คอยดูแนวทางที่ฝ่ายปฏิรูปใช้อย่างใกล้ชิด เพราะหากควบคุมไม่ดี อาจนำภัยมาสู่ราชบัลลังก์ในขณะที่เผิงเหยียนเฉิงยังไม่รู้ว่าเงามืดการเมืองเริ่มเคลื่อนใกล้เข้ามา ลู่ซือหนานเริ่มจัดเตรียมแผนสำหรับเรือนเรียนซือหนาน ซึ่งนางหวังจะเปิดให้เป็นสถานที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กๆ เพื่อเป็นรากฐาน
หลังจากกลับเข้ามารับตำแหน่งได้ครบเดือน ปลัดอำเภอซ่งจื่ออวี้แม้ยังคงแสดงออกอย่างสุขุม ยึดมั่นในกฎระเบียบและนโยบายเดิม แต่ในใจลึกๆ เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงต่อต้านจากการบริหารพื้นที่ที่ชาวบ้านไม่ยอมให้ความเชื่อมั่นง่ายๆ เช่นเดิมตอนเช้าเมื่อเขาเดินตรวจตลาด ชาวบ้านหลายคนเมินหน้าหนี หรือบางคนแสร้งทำเป็นไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ“คนพวกนี้ลืมง่ายก็จริง แต่บางครั้งก็จดจำไม่ลืม” เขาพึมพำกับตัวเองขณะกลับจวนด้านโจวจิงหยู นางกลับมาสวมบทบาทภรรยาผู้สงบเสงี่ยมตามคำของสามี แต่ในเบื้องหลังกลับค่อยๆ วางหมากของนางใหม่อีกครั้งหลังได้รับจดหมายตอบกลับจากบิดาให้นางรอ นางก็จะรอแต่ก็มิอาจอยู่นิ่งเฉย นางเริ่มส่งของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับบรรดาภรรยาของขุนนางในเมืองตุนโจว เพื่อสร้างความสัมพันธ์โจวจิงหยูยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องมองใบหน้าของตนเองที่แม้ยังงดงาม แต่ก็ไม่อาจปิดรอยแผลจากโรคได้สนิท นางจ้องเงาในกระจก ก่อนจะพึมพำ“หากร่างกายข้าไม่งามเท่าเดิม เช่นนั้น ข้าจะใช้อำนาจ ใช้เล่ห์กล ใช้ทุกอย่างที่ข้ามี เพื่อแย่งทุกสิ่งกลับคืนมาให้ได้”
เมื่อจดหมายจากตุนโจวมาถึงเรือนสกุลโจวในเมืองหลวง โจวเสวี่ยรับมาอ่านเองโดยตรง มิได้ผ่านมือใครอื่น ด้วยรู้ดีว่าอักษรจากบุตรีนั้นย่อมไม่ใช่ถ้อยความทั่วไป เขาเปิดผนึกด้วยมือของตน พลันสายตาก็ทอดมองเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและแรงแค้นของโจวจิงหยูเขาอ่านซ้ำสองรอบ ช้าๆ ทบทวนถ้อยคำแต่ละบรรทัด และเมื่อปิดจดหมายลง สีหน้าเดิมอันสงบนิ่งกลับเต็มไปด้วยรอยครุ่นคิดแน่นขรึมในห้องหนังสืออันเงียบสงัด โจวเสวี่ยนั่งนิ่งนานครู่ใหญ่ เขาหยิบพู่กันขึ้นแต่ไม่ลงมือเขียน กลับเอียงหน้าไปมองนอกหน้าต่างแทน“เจ้าเด็กเผิงเหยียนเฉิงผู้นั้น แม้จะมีสายเลือดต่ำต้อย แต่กลับเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท จะให้ลงมือในตอนนี้ ก็เหมือนโยนหัวสกุลโจวลงกองเพลิง” เขากัดฟันเบาๆ แล้ววางพู่กันกลับลง“หยูเอ๋อร์เอ๋ย…เจ้ากระหายชัยชนะเกินไป แต่กลับลืมว่าพื้นนี้มิใช่สนามเด็กเล่น”เขาลุกขึ้น เดินไปยังชั้นตู้หนังสือ ล้วงหยิบลิ้นชักลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสมุดตำราออกมา ด้านในเป็นบันทึกเก่าของบิดาเขาเอง บันทึกของอดีตเสนาบดีฝ่ายบุ๋นผู้มีประสบการณ์เชิงกลยุทธ์ทางการเมือง
ยามเย็นในเมืองหลวงอันสงบ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ฉายแสงสีทองสาดลอดร่มไม้เหนือกำแพงจวนโหว บรรยากาศในเรือนของเผิงโหวอบอวลด้วยความเงียบสงบและอุ่นใจหลังวันอันเหน็ดเหนื่อยเผิงเหยียนเฉิงเดินกลับจวนด้วยก้าวเร่งรีบ ฝุ่นบนชายชุดขุนนางของเขายังไม่ทันสลัดหมดดี เมื่อมาถึงเรือนในก็เห็นภรรยานั่งรออยู่ที่ศาลาพักกลางสวน มือเรียวถือเข็มปักผ้าสะสมลวดลายอย่างใจเย็น แต่เพียงนางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา รอยยิ้มของเจ้ากรมพิธีการก็ปรากฏในทันที“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ลู่ซือหนานเอ่ยเสียงอ่อน พลางวางของในมือ “วันนี้ดูท่านดูเหน็ดเหนื่อยกว่าทุกวัน”เผิงเหยียนเฉิงทรุดนั่งข้างนาง ถอนหายใจเบาๆ พลางลูบศีรษะภรรยาอย่างเอ็นดู“ช่วงนี้ข้าวุ่นกับการปรับปรุงโครงสร้างสำนักศึกษาใหม่ รวบรวมตำรา แบ่งหมวดหมู่วิชา รวมถึงฝึกครูอาจารย์รุ่นใหม่ ทุกอย่างต้องดำเนินตามพระราชดำริของฝ่าบาท”นางเอียงคอถาม “เหนื่อยมากไหมเจ้าคะ”“เหนื่อย แต่ข้าพอใจ มันคือสิ่งที่ควรทำ” เขาตอบจริงใจ นางจึงยิ้มออกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเก็บความลังเลไว้ไม่ไหว
ยามสายของวันที่อากาศอึมครึม รถม้าสีเข้มของสกุลซ่งจอดรอหน้าจวนสกุลโจวอย่างเงียบงัน โจวจิงหยูในชุดเดินทาง ประดับเครื่องประดับอันหรูหราเช่นเคย ดวงหน้าเย็นชานิ่งสงบจนยากอ่านความรู้สึก แต่ในใจกลับปั่นป่วนราวพายุที่ก่อตัวในอกนางภายในจวน สองสามีภรรยาเผชิญหน้ากันโดยไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอยู่ชั่วขณะ บรรยากาศระหว่างทั้งสองเย็นเยียบ“สกุลลู่ ได้รับการเชิดชูจากฮ่องเต้ แม้แต่ภรรยาและแม่ยายของเผิงเหยียนเฉิงก็ยังได้รับการเกียรติคุณ ในขณะที่ท่านถูกตัดเบี้ยหวัดเพราะความล่าช้าและไร้ประสิทธิภาพ แล้วท่านจะเรียกตัวเองว่า ‘เสาหลัก’ ได้อย่างไร” เสียงของโจวจิงหยูฟังดูราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ความอับอายที่ต้องรับรู้ว่าทั้งสกุลลู่ที่นางดูแคลน และคนที่นางเคยเหยียดหยาม บัดนี้กลับได้รับเกียรติยศเกินตน ทำให้นางรู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุดสามีของนาง สีหน้าดำมืด ดวงตาขุ่นเคือง“เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามิได้มีส่วนในแผนการนั้นเลย โจวจิงหยู ผู้ที่ผลักดันให้ข้าลงมือ ผู้ที่วางกลลึกถึงขั้นเลือกคนแพร่เชื้อ เจ้าก็ร่วมรับผิดมิใช่หรือ”“
ภายในห้องอาบน้ำ ไอน้ำอุ่นลอยอบอวลคล้ายม่านบางคลุมทั่วห้อง โจวจิงหยูนั่งพิงขอบอ่างหินอุ่น ผมยาวดำขลับถูกรวบขึ้นหลวมๆ ปล่อยให้ลำคอระหงและไหล่ขาวเนียนเผยออกมาเหนือผิวน้ำอุ่นที่ลึกถึงอก ดวงหน้าซีดขาวเงยเล็กน้อยหลับตาลงอย่างอ่อนล้าสาวใช้สองคนยืนอยู่ด้านหลัง บรรจงขัดผิวให้ช้าๆ ทะนุถนอม ผิวขาวเนียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งหยกเผยให้เห็นร่องรอยจางๆ ของแผลเป็นซึ่งเพิ่งตกสะเก็ดไปไม่นานบริเวณแผ่นหลัง ช่วงต้นแขน และสะโพกบางส่วนมีรอยแผลสีอ่อนเป็นด่างดวง เห็นได้ชัดแม้จะผ่านการบำรุงมาอย่างดีโจวจิงหยูค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูแขนและขาของตนเอง แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง“รอยเหล่านี้.. น่าเกลียดนัก” นางพึมพำเสียงเบาๆ นั้นไม่ได้ตั้งใจให้ใครได้ยิน แต่สาวใช้คนหนึ่งแอบชำเลืองสบตาอีกคน แล้วรีบหลุบตาต่ำไม่กล้าพูดสิ่งใดโจวจิงหยูหรี่ตาลง แววตาค่อยๆ เปลี่ยนจากความสิ้นหวังกลายเป็นเกลียดชัง“ทั้งหมดนี้...เป็นเพราะนังเสี่ยวหนิว” นางกัดฟันแน่น น้ำเสียงขบเคี้ยวความแค้น“ข้ารับมันเข้ามาตั้งแต่เด็ก เลี้ยงดูมันอย่างดี กลับตอบแทนข้าด้วยการน