ชีวิตแรกนางโง่งม เมื่อมีโอกาสได้แก้ไข ทำไมนางต้องเดิมซ้ำรอยเดิม ใครหน้าไหนที่ทำร้ายนางและครอบครัว นางจะทวงคืนให้สาสม พร้อมดอกเบี้ยอย่างงาม
View Moreเมืองหน้าด่านถงเมิง แคว้นต้าฉิน
ภายในร้านเหล้าชื่อดัง มีผู้คนมากมาย ที่เดินทางเพื่อมาท่องเที่ยว และทำการค้าระหว่างแคว้น รวมถึงนักเดินทางอีกจำนวนไม่น้อย ต่างพากันเลือกเข้ามาพักผ่อน ภายในร้านเหล้าชื่อดัง ที่สร้างเชื่อมกับโรงเตี๊ยมที่อยู่อีกฝากถนน นับว่าเป็นจุดพัก ที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองหน้าด่านแห่งนี้
เมืองที่แทบไม่มีคำว่าหลับใหล การปกครองอยู่ภายใต้การดูแลของสองพี่น้องสกุลลั่ว ท่านแม่ทัพลั่วเยี่ยนคัง และท่านแม่ทัพหญิงลั่วคังอัน แน่นอนว่านี่คือของทัพของสองสกุลใหญ่ ที่ผู้คนล้วนยำเกรง ชายแดนตะวันออกของต้าฉิน ไม่เคยที่จะถูกรุกรานจนเกิดแตกพ่ายสักครั้ง นับตั้งแต่สกุลลั่วเข้าประจำการ
แม้จะมีขุนนางหลายฝ่าย เพียรพยายามล้มล้างกองทัพสกุลลั่ว ทว่าฮ่องเต้กลับยังคงเชื่อมั่น ในความภักดีของสองสกุลใหญ่ ที่เกี่ยวดองกันมาในรุ่นหลัง ด้วยท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วเจิ้งคัง ได้แต่งงานกับบุตรสาวสกุลแม่ทัพเชี่ย
เพื่อความสงบสุขของทั้งสองครอบครัว แม่ทัพใหญ่เชี่ยจึงเลือกยกกองทัพเรือนแสน ให้เป็นสินเดิมแก่บุตรสาว ที่ออกเรือนไปกับแม่ทัพตะวันออกลั่วเจิ้งคัง
ท่านแม่ทัพเชี่ยยอมเป็นเพียง ขุนนางในราชสำนักแทนการออกไปประจำอยู่ชายแดน แท้จริงแล้วมันคือการลดความเสี่ยง ที่จะถูกสังหารทั้งตระกูล หากกองทัพเชี่ยที่เข้มแข็ง ยังอยู่ในมือเขา
ขุนนางหลายฝ่ายจ้องเล่นงานสกุลแม่ทัพ ที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามเสมอ ก็จะเร่งหาหนทางกำจัดพวกเขาเสียให้พ้นทาง นี่จึงเป็นสิ่งที่จะลดแรงพายุแห่งอำนาจ ให้เบาบางลง กองทัพในมือสตรีไหนเลยจะเข้มขลังเยี่ยงมือบุรุษ
แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่า เป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะธิดาสกุลเชี่ย ล้วนเก่งกาจในเชิงรบทั้งสิ้น แค่พวกนางต้องเก็บงำตัวตน ภายใต้ความอ่อนแอ เพื่อมิให้ภัยคืบคลานเข้าทำร้ายครอบครัว
เมื่อคุณหนูเชี่ยออกเรือน จึงนำกองทัพของครอบครัว วางไว้ให้สามีดูแล เพื่อรอว่าวันใดนางมีทายาทเป็นหญิงคนแรก นางจะมอบเป็นสินเดิมแก่บุตรสาวคนโต ตามข้อกำหนดของอดีตแม่ทัพใหญ่เชี่ย
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ สกุลลั่วก็ไม่ต้องแบกความเสี่ยงนี้ไปด้วย นับว่าเป็นการคิดคำนวณที่รอบคอบนัก ฉะนั้นว่าที่บุตรเขยสกุลลั่ว ต้องถูกคัดสรรเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งเลวร้ายตาม
ในมุมลึกสุดของร้าน ได้มีหน้าต่างเปิดชมทิวทัศน์ขนาดกว้าง และเป็นทำเลที่ดีที่สุด ได้มีบุรุษรูปร่างโปร่งนั่งอยู่ถึงเจ็ดคน ทว่าหนึ่งในเจ็ดนั้น กลับมีหนึ่งคนที่ดูจะผอมเพรียวกว่าผู้ใด ดวงตาที่ดุคมราวเหยี่ยวนักล่า สะดุดสายตาผู้คนไม่น้อยเลย
ไหนจะจมูกที่โด่งเป็นสันคมชัด เรียวปากอิ่มราวอิสตรี ใบหน้าสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด ไร้รอยสากของหนวดเครา แต่ยากนักจะบอกว่าเป็นสตรีแต่งบุรุษได้ เพราะความสง่าของชายหนุ่ม มันช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
“พวกเจ้าได้ยินข่าวมาหรือไม่ เขาว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพลั่ว จะถูกให้ออกจากกองทัพ เพื่อไปแต่งงานกับท่านอ๋องจิ้งหยวน ส่วนท่านแม่ทัพชราก็จะกลับมาดูแลกองทัพดังเดิม จนกว่าท่านแม่ทัพลั่วอันคังจะมอบกองทัพเชี่ยแก่สามี”
เป็นคนจากโต๊ะข้างๆ ที่พูดขึ้น แน่นอนว่าชายหนุ่มทั้งเจ็ด ทำเพียงชำเลืองมอง ดูเหมือนข่าวนี้จะถูกปลุกปั่น เพื่อการณ์บางอย่าง
“แต่ท่านอ๋องมีคนรักแล้วนี่” หนึ่งในสหายของชายผู้นั้น เอ่ยทักท้วงขึ้น
“คนรักอันใดกัน เขาว่ากันว่านางเพียรพยายามอยากเป็นชายาเอก แต่ท่านแม่ทัพลั่วคังอัน คือคนที่อ่องจิ้ง มอบตำแหน่งพระชายาเอกให้นางตั้งแต่ยังมิทันปักปิ่นแล้ว เรื่องนี้รู้กันทั่วเมืองหลวง แต่เขาว่ากันว่าเพราะเรื่องสตรีผู้นั้น ทำให้ท่านแม่ทัพลั่วเลือกที่จะไม่ตอบรับการสู่ขอ สกุลลั่วบอกว่านางต้องการเลือกสามีด้วยตนเอง”
ชายหนุ่มทั้งเจ็ดถึงกับเลิกคิ้วสูง เมื่อคนที่พูดดุจะออกรสชาติ ราวกับนั่งชิดประตูบ้านของคนที่เอ่ยถึงอย่างไรอย่างนั้น ทว่าพวกเขาก้ทำเพียงนิ่งเงียบ เพื่อฟังเรื่องราวต่อ
“หากข้ามีบุตรสาวที่เก่งกาจเช่นท่านแม่ทัพลั่ว ข้าก็จะตามใจนางไม่บังคับเรื่องแต่งงาน”
“ใช่ๆ”
การสนทนาของพ่อค้าจากเมืองหลวง ทำให้สายตาขอชายหนุ่มทั้งหก มองไปยังชายหนุ่มผู้บอบบางเป็นจุดเดียว ก่อนจะพากันยกสุราดื่ม พร้อมกลั้นขำน้อยๆ
“บางครั้งไม่ต้องรู้ให้มาก ก็คงไม่มีใครว่าเราหูหนวกหรอกนะ”
ผู้ที่ถูกมองเอ่ยขึ้น เรื่องนี้ย่อมต้องได้รับการแก้ไข ส่วนคนที่ปล่อยข่าวลือ ย่อมต้องไปรายงานตัวต่อยมบาลเท่านั้น
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
ชายหนุ่มทั้งหกต่างพากันดื่มสุรา และกินอาหารกันต่อ เว้นแค่คนที่ถูกจ้องมองเมื่อครู่เท่านั้น ที่กอดอกเอนกายพิงพนักเก้าแล้วหลับตาลงนิ่ง ราวกับช่วงเวลาที่สหาย กำลังดื่มด่ำกับความอร่อย เขากลับกำลังจมดิ่ง อยู่กับเรื่องราวอันร้าวลึกเพียงลำพัง
กลางดึก ณ เรือนชูเฟย จวนอ๋องจิ้ง ความเงียบสงัด ทำให้เจ้าของเรือน นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ภายในห้องมีเพียงแสงเทียบริบหรี่ เพื่อมิให้เป็นการรบกวนการนอนของชูเฟย ร่างอวบอิ่มที่สวมเพียงชุดเนื้อบางเบา พลิกกายจนทำให้ผ้าห่มเลื่อนหลุดลงไปอยู่ที่เอว เผยให้เห็นสองแต่งตึง ที่ดันเนื้อผ้าออกมาอวดความใหญ่โต “อื้อ...ท่านอ๋อง...อื้อ” ชูเฟยครางออกมา เมื่อผิวเนื้อของนางถูกสัมผัส ก่อนที่นางจะเอียงใบหน้าเปิดให้สามี ได้ซุกไซ้ซอกคอขาวผ่องของนางได้อย่างสะดวก นานแค่ไหนแล้วที่สามีไม่เคยมาที่เรือนของนาง เมื่อถูกเขากระตุ้นด้วยมือที่หยาบกร้าน ก็ทำให้นางอ่อนระทวย ยิ่งกว่าขี้ผึ้งถูกไฟรน ผ้าห่มที่คลุมเพียงครึ่งร่าง ถูกกระชากออกพ้นกาย ชูเฟยยังคงหลับตาพริ้ม เพื่อรอรับการปรนเปรอจากสามี แม้จะรู้สึกว่าเขามีหนวดเครา นั่นคงเพราะมิได้โกนออก ด้วยโหมงานหนัก ตัวนางเองก็มิได้ไปหาเขาเท่าใดนัก เสียงครางดังจากเบาๆ เริ่มที่จะมีเสียงดังมากขึ้น นั่นทำให้คนที่ยืนมองทุกอย่างอยู่ในความมืด ยิ้มอย่างพอใจ ในเมื่อเคยเตือนแล้วยังรั้นที่จะทำ บทเรียนราคาแพงนี้ เขาก็จะมอบให้นาง ถือเส
ยามบ่ายสองวันถัดมา ณ เรือนไม้ไผ่ริมทะเลสาบตะวันตก ร่างสูงในชุดคลุมสีเข้ม ใบหน้าสวมทับด้วยหน้ากาก กำลังยืนทอดสายตามองไปยังฝูงนก ที่บินโฉบลงมาจับปลาในทะเลสาบ มันคือความงามที่ใช่ว่าใครจะมาเห็นได้บ่อยๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ เรียกว่านับตั้งแต่คนกลุ่มหนึ่ง กลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็ไม่เคยถูกเรียกมาที่นี่อีกเลย “เจ้าออกมาได้แล้วหรือ” ชายชราผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบ ภายใต้หมวกปีกว้าง ได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหลังของชายหนุ่ม ซึ่งเขาได้หันกลับมา พร้อมทำความเคารพผู้มาใหม่ อย่างนอบน้อม “ข้ามีเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ นายท่านมีสิ่งใดต้องการให้ข้าทำหรือขอรับ จึงได้เรียกข้าน้อยอกมาที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยถามชายชรา เมื่ออีกฝ่ายก้าวไปนั่งลง ยังเก้าอี้ไม้ไผ่ ที่วางเอาไว้เพื่อให้สามารถนั่งตกปลาได้ ชายหนุ่มก้าวไปเอาคันเบ็ด พร้อมกับเหยื่อมายื่นส่งให้แก่ชายชรา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เขาจะทำในทุกครั้ง ที่ชายชรานัดพบเขา “บุตรชายข้ากลับมาแล้ว เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่” ชายชราใส่เหยื่อล่อปลา พร้อมกับเอ่ยถามชายหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทว่ากลับแฝงด้วยควา
หยางเหยาเกอ ไม่ได้คิดใส่ใจ ความขุ่นเคืองที่อาสะใภ้มีต่อเขา เพราะครั้งนี้นางล้ำเส้นเขาจนเกินไป เรื่องครอบครัวนาง เขาหรือใครๆ ไม่เคยที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่คราวนี้นางกล้าที่จะมาวุ่นวาย กับชีวิตแต่งงานของเขา มันคือสิ่งที่เกินขีดจำกัดที่เขามีให้“เจ้ากล้าสอนข้าหรือ! ฮึ! เจ้ายังคิดหรือว่าตอนนี้มารดาของเจ้า กลับมารักเจ้าแล้ว นางก็แค่รู้สึกผิด และยังชิงชังเจ้าอยู่ดี คนที่นางจะรักก็คือน้องชายของเจ้า หยางสวี่เหยา”ต้วนเจินจู ที่กำลังมีอารมณืที่เต็มไปด้วยโทสะ ยกเรื่องความรักที่มารดาของหยางเหยาเกอมีต่อบุตรชาย มนไม่เคยเท่าเทียมกันตั้งแต่หลานชายคนโตถือกำเนิด แล้วแบบนี้เจ้าคนไร้ค่านี่ ยังจะมาปากดีสอนนางอยู่อีกหรือ“ท่านอาสะใภ้! มิควรพูดเช่นนี้นะขอรับ”หยางสวี่เหยา กลัวพี่ชายจะหมางเมินต่อมารดาอีก เขาจึงเรียกอาสะใภ้เพื่อเตือนสตินาง มิให้พูดไปเรื่อยเช่นนี้ แต่เขาต้องเงียบเสียงลง เมื่อมือของพี่ชาย แตะที่แขนของเขาเป็นเชิงให้นิ่งเข้าไว้“นางจะรักหรือชังข้า นางจะรู้สึกอย่างไรต่อข้า คิดว่าข้าสนหรือ แต่สิ่งที่นางเหนือกว่าท่านคืออะไรรู้ไหม! นั่นคือมารดาของข้า ไม่สอดเรื่องผู้อื่น”หยางเหยาเกอ ตอบกลับด้
ใช้เวลาไม่นาน สาวใช้ก็นำชุดข้าวมาเพิ่ม หยางเหยาเกอ จึงได้เอ่ยปากชวนให้ทุกคนลงมือกินข้าวกันได้แล้ว ลั่วคังอันจึงคีบอาหารใส่ในถ้วยให้แก่สามี จึงค่อยเริ่มกิน หลังจากญาติทั้งสองของสามีลงมือแล้ว ตามมารยาทอันพึงมีของผู้น้อย คำพูดเสียดแทงใจกัน สงบลงเมื่อมีอาหารอยู่ในปาก จะมีบ้างที่ถามไถ่กัน เพื่อมิให้บรรยากาศอึมครึมจนเกินไป ลั่วคังอันเลือกที่จะเงียบอย่างเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีคำถามใด ที่เกี่ยวข้องกับนาง “เห็นทีข้าต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ข้ายังมีงานต้องสะสางอีกมากเจ้าค่ะ” จนกระทั้งมื้ออาหารได้สิ้นสุดลง ลั่วคังอันจึงได้เอ่ยขอตัว ที่จะไปทำงานของตนเองเสียที หากไม่ติดว่ากลัวสามีจะน้อยใจ นางคงไม่รั้งอยู่นานขนาดนี้ ชีวิตทหารกินข้าวมิได้ยืดเยื้อให้เสียเวลา รีบกินรีบเสร็จยิ่งในยามถูกรุกราน เรียกว่าไม่ได้กินได้นอนกันอย่างเต็มอิ่มเลย แต่วันนี้คือการกินข้าว ที่ไม่คล่องคอที่สุดแล้ว เพราะทุกคำที่เอ่ยออกมาของอาวสะใภ้ ล้วนไม่น่าฟังสักนิด “เพิ่งแต่งงาน ไยจึงขยันออกนอกบ้านนักเล่า หรือว่า...เบื่อหน่ายที่สามี ไม่อาจเอาใจเจ้าได้หรือ” ต้วนเจินจู เอ่ยออกมาพร้อมส่งสายตาไปยังร่างก
“แปลกดี...ปกติแล้วพวกเขา ไม่เคยไปไหนด้วยกันได้เลยสักครั้ง” ชายหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ ที่อยู่ๆ ครอบครัวของเขา ก็สามัคคีกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะปกติแล้วท่าปู่กับท่านย่า มิใคร่จะร่วมทางกับมารดาของเขาเท่าใดนัก ต่างฝ่ายต่างก็เมินเฉยต่อกันมาตลอด แต่วันนี้ทุกคนนอกจากจะไม่มาหาเขาที่เรือน ยังไปไหว้พระด้วยกัน โดยไม่คิดจะชักชวน หรือบอกเขาสองคนสามีภรรยาเลยสักคำ “อ้าว! วันนี้คู่สามีภรรยา อยู่กินข้าวด้วยกันหรอกหรือ ข้านึกว่าเจ้าสาวหมาดๆ จะออกไปร่วมงานเลี้ยง เริงร่าอยู่นอกบ้านเสียอีก” ลั่วคังอันหันมองไปตามเสียง ซึ่งก็มิใช่เพียงนางแค่คนเดียว แต่ทุกคนก็หันไป คงเว้นแค่เพียงหยางเหยาเกอ เพราะมิว่าเขาจะหันไปหรือไม่ เขาก็มองไม่เห็นผู้มาใหม่อยู่ดี ทว่าเขาจดจำเสียงนั้นได้ อาสะใภ้ผู้ดูจะชอบวุ่นวาย กับชีวิตเขาและครอบครัวอยู่เสมอ วันนี้อะไรหอบให้นาง มาเยือนถึงเรือน พร้อมคำพูดเหน็บแนมเยี่ยงนี้ หรือจะเรื่องที่ภรรยาของเขา ออกไปร่วมงานเลี้ยงเมื่อวาน “ฮูหยินน้อยรอง มีสิ่งใดหรือขอรับ จึงมาที่เรือนของคุณชายใหญ่ขอรับ”พ่อบ้านโจว เอ่ยถามผู้มาเยือน โดยที่ไม่มีใครเชื้อเชิญ ซ้ำ
สายวันถัดมา ณ จวนสกุลหยาง แม่ทัพสาวก้าวออกจากเรือน ก่อนจะยืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ เมื่อหลายสายตามองมายังนาง ด้วยแววตาอันหลากหลาย ลั่วคังอันไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไร เมื่อเห็นรอยยิ้มของน้องชายสามี และสาวใช้ทั้งสองของนาง “พอดีข้าเพลียๆ เลยหลับนานไปหน่อย พวกเจ้าไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร” แม่ทัพสาวเอ่ยถามคนทั้งสาม ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวลงบันไดหน้าเรือน มุ่งสู่หน้าจวน เพื่อไปสะสางงานที่ยังค้างคา ทว่าเพียงก้าวมาถึงประตูทางเข้าเรือน ก็ต้องยืนนิ่งอีกครั้ง เมื่อพ่อบ้านโจว เดินยิ้มกว้างตรงมาที่นาง “ฮูหยินน้อยตื่นแล้วหรือขอรับ อาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้วที่ศาลาชมบัว อย่างไรฮูหยินน้อยเชิญด้านนั้นสักครู่นะขอรับ กินมื้อเช้ากับนายน้อยก่อนค่อยออกไปทำงาน” ลั่วคังอันตั้งใจจะปฏิเสธ ทว่าชายชรากลับผายมือให้แก่นางก่อนแล้ว แม่ทัพสาวจำต้องเปลี่ยนทศทาง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจของพ่อบ้านโจว เมือ่เดินมาถึงศาลา ซึ่งตอนนี้สาวใช้ทั้งสองของนาง ก็ได้ติดตามมาด้วยเช่นกัน คงมีเพียงน้องชายสามี ที่มิได้มากับสาวใช้ทั้งสองนาง “คุณชายรองหยาง เข้าไปช่วยพาคุณชายใหญ่ ออกมากิน
Comments