... ต่อให้รักมากเพียงใด ต่อให้ใจคิดที่จะให้อภัยและให้เวลาแก่เขา ต่อให้คิดว่าต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นให้ได้ ต่อให้มีเหตุผลอะไร ๆ อีกมากมาย เธอก็ยังปวดใจอยู่ดี เพราะเธอรักเขามากนั่นเอง รักมากจึงเจ็บมากแบบนี้...
“หนูไม่น่ามาที่นี่เลย”
“หันหน้ามาคุยกัน อย่าหันหลังคุยกันแบบนี้ เพราะมันจะไม่เข้าใจกัน” เขาพูดพร้อมกับแตะมือไปที่ไหล่บอบบาง แต่เธอกลับขยับไหล่หนี “อย่าดื้อสิ ไม่น่ารักเลยรู้ไหม”
“หนูรู้ตัวดีค่ะว่าไม่ใช่คนน่ารัก คุณท่านไม่ต้องมาตอกย้ำหรอก” เธอเริ่มพาลใส่ด้วยความน้อยใจ พยายามไม่ให้เสียงสั่นให้เขาจับได้ว่ากำลังจะร้องไห้
แต่คนที่ความรู้สึกไวแบบหยางอี้มีหรือจะไม่รู้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแล้วรีบขยับไปชิดร่างบาง เอี้ยวหน้าไปมองให้แน่ใจ เธอรู้ตัวและเอี้ยวหน้าหนี แต่ก็หนีไม่ได้อีกแล้ว เพราะตัวของเธอถูกเขารวบรัดเอาไว้ด้วยแขนกำยำ
“ร้องไห้ทำไม ถ้าเรื่องแค่นี้หนูหยินยังไม่เข้มแข็ง แล้วอนาคตของเราจะเป็นยังไง”
เธอหันหน้าไปหาเขาด้วยความขุ่นเคือง “มันไม่มีคำว่าอนาคตของเราตั้งแต่แรกแล้วค
(ไม่รู้สิ เท่าไหร่เหรอ) ปลายสายกลั้วหัวเราะขณะตอบ“อย่าหัวเราะสิคะ หนูไม่ตลกด้วยนะ ถ้าเกิดคุณแม่ของคุณไม่ยอมจ่ายเงินให้หนูจะทำยังไงคะ ราคาคอร์สละตั้งเจ็ดพันดอลลาร์เลยนะคะ” เธอบอกราคาตามโบชัวร์ที่ถืออยู่ในมือ “มันแพงจนหนูกลัวว่าจะรูดบัตรไม่ผ่านด้วยซ้ำ หนูถึงต้องโทรมาหาคุณนี่ไงคะ”(โธ่ที่รัก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวก็คงไม่โทรหาฉันใช่ไหม ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าเมียโทรหาเพราะคิดถึง)“คิดถึงก็ส่วนคิดถึงสิคะ แต่ตอนนี้กลัวมากกว่า หนูปฏิเสธไปดีไหมคะ”(อย่าเชียวนะ แม่ฉันไม่ชอบการถูกปฏิเสธ ท่านให้ทำอะไรหนูก็ทำไปเถอะ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำคะแนนไม่ใช่เหรอ)“ก็ใช่ค่ะ แต่ถ้าท่านแกล้งหนูล่ะคะ”(ก็รูดบัตรไป วงเงินในบัตรมีให้รูดเหลือเฟือ รูดสิบคอร์สยังผ่านเลย)“จริง ๆ นะคะ”(จริงสิจ๊ะ ไม่ต้องคิดมากนะ นอนนวดให้สบายใจไปเลย แล้วคืนนี้ฉันจะกลับไปทดสอบว่าสปาของที่นั่นดีจริงสมราคาหรือเปล่า)“คุณอี้บ้า ไม่คุยด้วยแล้ว แค่นี้นะคะ” คำพูดของเขาทำให้เธอรีบวางหูไปอย่างเขินอาย แล้วก็
คนถูกถามนิ่งอึ้งด้วยคาดไม่ถึงว่าคนเย็นชาเช่นฟิลลิปหยาง จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนี้ นี่เขาหลงเธอมากขนาดนี้เลยเหรอ“เธอไม่ได้พูดอะไรหรอกค่ะคุณอี้ แต่หนูเครียดเพราะหึงคุณมากไปหน่อยแค่นั้นเอง ถ้าไม่มีอะไรแล้วเรากลับกันเลยได้ไหมคะ หนูไม่อยากอยู่แล้ว” ปันหยีหึงหวงจนไม่อยากแม้แต่จะให้เขาสนทนากับเธอจึงตัดบทขึ้นมาก่อน“กลับก็กลับ เราไปลาท่านรัฐมนตรีกันก่อนดีกว่า” หยางอี้ยอมตามใจคนรัก พาเธอไปกล่าวลากับเจ้าของงานโดยอ้างว่าเธอไม่ค่อยสบาย แล้วพากลับบ้านโดยไม่ได้สนใจกับยู่เฟยอีกเลย ........................“คุณยู่เฟยมาพูดอะไรกับหนู” ภายในรถยนต์เบนท์ลีย์มูซานสุดหรู ที่กำลังขับเคลื่อนออกจากลานจอดรถโดยบอดี้การ์ดคนสนิท หยางอี้ถามคนรักที่เป็นฝ่ายกอดรัดเขาไว้ก่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างสงสัยปันหยีเงยหน้าขึ้นมองคนรัก “คุณเคยนอกใจหนูบ้างไหมคะ”“ไม่เคยเลยสักครั้ง แม้แต่คิดก็ยังไม่เคย ตั้งแต่มีหนูฉันก็เลิกนิสัยเดิม ๆ จนหมด” เขา
ภายในงานเลี้ยงยู่เฟยเดินเลี่ยงจากกลุ่มคนรู้จัก เมื่อเห็นฟิลลิปหยางแยกตัวจากหญิงสาวที่ควงคู่กันมาในงาน แต่เป้าหมายของเธอไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่เขาควงมาด้วยนั่นต่างหาก เพราะอยากจะถามให้แน่ชัดว่าหล่อนเป็นใครกันแน่เธอจำหล่อนได้ หล่อนคือหญิงสาวที่อยู่ในร้านอาหารกับหลานชายของเขาในวันนั้น แล้วทำไมวันนี้ถึงได้เดินเฉิดฉายเข้ามาในงานด้วยกันได้ เธออยากรู้นัก“สวัสดีค่ะ”ปันหยีที่กำลังยืนดูนักร้องชายร้องเพลงสากลแนวบัลลาดอยู่บนเวทียกระดับเตี้ย ๆ หันไปมองตามเสียงทักด้านข้าง.. เธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน“สวัสดีค่ะ” เธอส่งยิ้มให้อย่างมีมารยาทและทักทายตอบ“นักร้องเสียงดีนะคะ”“ค่ะ ร้องเพราะมาก”“ฉันเห็นคุณมากับฟิลลิป รู้จักกันเป็นพิเศษเหรอคะ” คำว่าฟิลลิปทำให้เธอเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างลืมตัว มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณามากขึ้น และถึงกับร้องอ๋อในใจเมื่อได้เห็นหล่อนชัด ๆ ที่แท้ก็ผู้หญิงที่จูบคน
ได้ยินเสียงหัวเราะของสาวน้อยในอ้อมแขน หยางอี้จึงกอดกระชับร่างบางที่ทำท่าจะผละหนี ขยับเท้าดันเธอเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูซะเลย“ทำให้ตื่นแล้วจะหนีเหรอยอดรัก ฉันไม่ยอมหรอกนะ” เขากระซิบเสียงพร่าที่ใบหูก่อนจะแตะปลายลิ้นยั่วเย้า“แต่เราต้องไปงานนะคะ เอาไว้คืนนี้นะ” เธอขนลุกซู่ เร่าร้อนไปทั่วใบหูที่ถูกปลายลิ้นหยอก“ไม่เอา คืนนี้ก็ส่วนคืนนี้ ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”“แต่หนูแต่งตัวแล้วนะคะ”“เดี๋ยวฉันจะใส่คืนให้เอง” เขาเสนออย่างใจป้ำ แล้วใช้สองมือหมุนร่างบางให้หันหลังให้.. ดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์พิศวาสเบิกกว้าง เมื่อได้เห็นด้านหลังของชุดที่เธอใส่ คิดไม่ถึงว่าชุดราตรีที่มองดูแสนจะเรียบร้อยจากด้านหน้า จะอวดแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนรักเกือบทั้งหมดแบบนี้แม้จะไม่พอใจแต่อารมณ์ที่ปะทุไปแล้วก็ใช่ว่าจะมอดดับลงไป ริมฝีปากของเขาจึงพรมไปตามแผ่นหลังนวลเนียนของเธอ และยังฝากรอยจูบเป็นจ้ำ ๆ เอาไว้อีกด้วย เพราะเขาจะไม่ยอมให้เธอได้แต่งตัวอวดเนื้อหนังแบบนี้ออกไปจากบ้านเด็ดขาด เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะเห็นแบบนี้ได้ ส
“อ้อ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “เธอชื่อหยินครับคุณยาย คราวหน้าก็เรียกชื่อเธอก็ได้นะครับ” แล้วหันไปมองหญิงสาวและส่งยิ้มให้กำลังใจ “คุณหยินตอบคุณยายผมหน่อยสิครับ ท่านอยากรู้เรื่องของคุณเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”“หนูทานมาจากที่บ้านแล้วค่ะมาดาม” ปันหยีตอบคำถามของมารดาคนรัก“กินมื้อไหนมาล่ะ นี่มันเที่ยงแล้วนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูกลับไปทานที่บ้านก็ได้ วันนี้หนูขอกลับเร็วหน่อยนะคะมาดาม”“จะรีบกลับไปไหนล่ะ”“คือ..” เธอควรจะพูดอย่างไรดีเพื่อไม่ให้ท่านไม่พอใจ“ทำไม เขาจะพาเธอไปออกงานที่ไหนอีกล่ะ” เธอไม่กล้าตอบเพราะกลัวนางโกรธหรืออย่างไร นางน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ“ค่ะมาดาม คุณหยางอี้จะให้หนูไปงานเลี้ยงของท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกับเขาค่ะ” ปิดไปก็ใช่ว่าจะปิดได้มิด จึงตัดสินใจบอกความจริงกับท่านไป จะโกรธหรือไม่พอใจก็แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน“งานใหญ่ซะด้วยสิ เธอนี่วาสนาดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอกับลูกชายของฉัน”
“ไม่ต้องมาประชดใส่ยายเลยนะ เรามาคุยเรื่องที่ค้างกันไว้ต่อดีกว่า” นางเริ่มเล่าเรื่องของพรพิมลต่อจากที่ค้างเอาไว้ “...เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละไทเลอร์ ตอนนี้ยายจึงรู้สึกตงิด ๆ ใจกับหนูบีเขายังไงก็ไม่รู้”ไทเลอร์รู้สึกเห็นใจผู้เป็นยายอยู่บ้างที่ต้องผิดหวัง แต่ถ้าเขาไม่บอกเรื่องที่รู้มาให้ท่านฟัง ท่านก็คงจะงมงายกับผู้หญิงที่มีค่าแค่พลอย และกำจัดเพชรเม็ดงามทิ้งเพราะคิดว่าเป็นแค่กรวดทราย เขาหยิบชาขมที่เหลืออยู่เกือบ ๆ ครึ่งแก้วมาดื่มรวดเดียวจนหมด“คุณยายฟังผมนะครับ” เขาจับมือของท่านมากุมไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังผิดไปจากทุกครั้ง “คุณบีไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์ แสนดีอย่างที่คุณยายเห็นหรอกนะครับ ผมไม่ได้พูดเพราะใส่ร้ายเธอนะครับ แต่ผมพูดเพราะผมมีหลักฐานที่เชื่อถือได้”เขาตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังตั้งแต่วันที่พาเธอไปดื่มด้วยกัน แล้วหยิบโทรศัพท์เปิดภาพที่อดีตคู่ขาของอลันถ่ายได้จากคอนโดเมื่อวานนี้ให้ดู“คืนนั้นเธอออกไปกับอลันครับคุณยาย พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งคืนทั้งวัน และผมก็คิดว่ามันจบแค