หัวใจของเธอเหมือนถูกน้ำศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์พร่างพรม มันอิ่มเอิบ ตื้นตัน ตื้อไปหมด “สามวันมานี้คุณท่านพูดคำว่ารักบ่อยมากเลยนะคะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงดัง ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “คุณท่าน ๆ ตลอดเลยนะ บอกให้เรียกคุณอี้ จะเรียกเฮีย เรียกพี่ก็ได้ แต่ขอเถอะอย่าเรียกคุณท่าน เพราะฉันไม่อยากดูห่างเหินกับหนูหยิน.. ไหนเรียกใหม่ซิ”
“..คุณอี้”
“แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” เขาแตะหน้าผากกับหน้าผากของเธอแล้วคลึงเบา ๆ อย่างหยอกเย้าคนขี้อาย “ที่ฉันพูดว่ารักบ่อยก็เพราะอยากชดเชยให้ห้าปีที่ผ่านมาก็เท่านั้น ฉันอยากให้หนูหยินรู้ว่าฉันรักหนูหยินไม่ได้เหรอ” เขาจะพูดทุกวันจนกว่าเธอจะรับรัก เมื่อเธอรับรักแล้วเขาก็ยังจะพูดต่อไปจนถึงวันที่หมดรักต่อกัน ซึ่งมันคงเป็นวันที่เขาตายจากโลกนี้ไปแล้ว
“อย่าพูดบ่อยนักสิคะ”
“เหตุผลล่ะ มีเหตุผลไหมที่มาสั่งห้ามกันแบบนี้”
เหตุผลก็คือมันทำให้ใจของเธอหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้ยิน และกลัวว่าจะเผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเขา กลายเป็นผู้หญิงใจง่าย
“ไม่มีหรอกค่ะ”
เขากลอกตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ เธอมีใจให้เขาเขามั่นใจมาก ๆ ในตอนนี้ แต่ทำไม
(ไม่รู้สิ เท่าไหร่เหรอ) ปลายสายกลั้วหัวเราะขณะตอบ“อย่าหัวเราะสิคะ หนูไม่ตลกด้วยนะ ถ้าเกิดคุณแม่ของคุณไม่ยอมจ่ายเงินให้หนูจะทำยังไงคะ ราคาคอร์สละตั้งเจ็ดพันดอลลาร์เลยนะคะ” เธอบอกราคาตามโบชัวร์ที่ถืออยู่ในมือ “มันแพงจนหนูกลัวว่าจะรูดบัตรไม่ผ่านด้วยซ้ำ หนูถึงต้องโทรมาหาคุณนี่ไงคะ”(โธ่ที่รัก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวก็คงไม่โทรหาฉันใช่ไหม ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าเมียโทรหาเพราะคิดถึง)“คิดถึงก็ส่วนคิดถึงสิคะ แต่ตอนนี้กลัวมากกว่า หนูปฏิเสธไปดีไหมคะ”(อย่าเชียวนะ แม่ฉันไม่ชอบการถูกปฏิเสธ ท่านให้ทำอะไรหนูก็ทำไปเถอะ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำคะแนนไม่ใช่เหรอ)“ก็ใช่ค่ะ แต่ถ้าท่านแกล้งหนูล่ะคะ”(ก็รูดบัตรไป วงเงินในบัตรมีให้รูดเหลือเฟือ รูดสิบคอร์สยังผ่านเลย)“จริง ๆ นะคะ”(จริงสิจ๊ะ ไม่ต้องคิดมากนะ นอนนวดให้สบายใจไปเลย แล้วคืนนี้ฉันจะกลับไปทดสอบว่าสปาของที่นั่นดีจริงสมราคาหรือเปล่า)“คุณอี้บ้า ไม่คุยด้วยแล้ว แค่นี้นะคะ” คำพูดของเขาทำให้เธอรีบวางหูไปอย่างเขินอาย แล้วก็
คนถูกถามนิ่งอึ้งด้วยคาดไม่ถึงว่าคนเย็นชาเช่นฟิลลิปหยาง จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนี้ นี่เขาหลงเธอมากขนาดนี้เลยเหรอ“เธอไม่ได้พูดอะไรหรอกค่ะคุณอี้ แต่หนูเครียดเพราะหึงคุณมากไปหน่อยแค่นั้นเอง ถ้าไม่มีอะไรแล้วเรากลับกันเลยได้ไหมคะ หนูไม่อยากอยู่แล้ว” ปันหยีหึงหวงจนไม่อยากแม้แต่จะให้เขาสนทนากับเธอจึงตัดบทขึ้นมาก่อน“กลับก็กลับ เราไปลาท่านรัฐมนตรีกันก่อนดีกว่า” หยางอี้ยอมตามใจคนรัก พาเธอไปกล่าวลากับเจ้าของงานโดยอ้างว่าเธอไม่ค่อยสบาย แล้วพากลับบ้านโดยไม่ได้สนใจกับยู่เฟยอีกเลย ........................“คุณยู่เฟยมาพูดอะไรกับหนู” ภายในรถยนต์เบนท์ลีย์มูซานสุดหรู ที่กำลังขับเคลื่อนออกจากลานจอดรถโดยบอดี้การ์ดคนสนิท หยางอี้ถามคนรักที่เป็นฝ่ายกอดรัดเขาไว้ก่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างสงสัยปันหยีเงยหน้าขึ้นมองคนรัก “คุณเคยนอกใจหนูบ้างไหมคะ”“ไม่เคยเลยสักครั้ง แม้แต่คิดก็ยังไม่เคย ตั้งแต่มีหนูฉันก็เลิกนิสัยเดิม ๆ จนหมด” เขา
ภายในงานเลี้ยงยู่เฟยเดินเลี่ยงจากกลุ่มคนรู้จัก เมื่อเห็นฟิลลิปหยางแยกตัวจากหญิงสาวที่ควงคู่กันมาในงาน แต่เป้าหมายของเธอไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่เขาควงมาด้วยนั่นต่างหาก เพราะอยากจะถามให้แน่ชัดว่าหล่อนเป็นใครกันแน่เธอจำหล่อนได้ หล่อนคือหญิงสาวที่อยู่ในร้านอาหารกับหลานชายของเขาในวันนั้น แล้วทำไมวันนี้ถึงได้เดินเฉิดฉายเข้ามาในงานด้วยกันได้ เธออยากรู้นัก“สวัสดีค่ะ”ปันหยีที่กำลังยืนดูนักร้องชายร้องเพลงสากลแนวบัลลาดอยู่บนเวทียกระดับเตี้ย ๆ หันไปมองตามเสียงทักด้านข้าง.. เธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน“สวัสดีค่ะ” เธอส่งยิ้มให้อย่างมีมารยาทและทักทายตอบ“นักร้องเสียงดีนะคะ”“ค่ะ ร้องเพราะมาก”“ฉันเห็นคุณมากับฟิลลิป รู้จักกันเป็นพิเศษเหรอคะ” คำว่าฟิลลิปทำให้เธอเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างลืมตัว มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณามากขึ้น และถึงกับร้องอ๋อในใจเมื่อได้เห็นหล่อนชัด ๆ ที่แท้ก็ผู้หญิงที่จูบคน
ได้ยินเสียงหัวเราะของสาวน้อยในอ้อมแขน หยางอี้จึงกอดกระชับร่างบางที่ทำท่าจะผละหนี ขยับเท้าดันเธอเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูซะเลย“ทำให้ตื่นแล้วจะหนีเหรอยอดรัก ฉันไม่ยอมหรอกนะ” เขากระซิบเสียงพร่าที่ใบหูก่อนจะแตะปลายลิ้นยั่วเย้า“แต่เราต้องไปงานนะคะ เอาไว้คืนนี้นะ” เธอขนลุกซู่ เร่าร้อนไปทั่วใบหูที่ถูกปลายลิ้นหยอก“ไม่เอา คืนนี้ก็ส่วนคืนนี้ ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”“แต่หนูแต่งตัวแล้วนะคะ”“เดี๋ยวฉันจะใส่คืนให้เอง” เขาเสนออย่างใจป้ำ แล้วใช้สองมือหมุนร่างบางให้หันหลังให้.. ดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์พิศวาสเบิกกว้าง เมื่อได้เห็นด้านหลังของชุดที่เธอใส่ คิดไม่ถึงว่าชุดราตรีที่มองดูแสนจะเรียบร้อยจากด้านหน้า จะอวดแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนรักเกือบทั้งหมดแบบนี้แม้จะไม่พอใจแต่อารมณ์ที่ปะทุไปแล้วก็ใช่ว่าจะมอดดับลงไป ริมฝีปากของเขาจึงพรมไปตามแผ่นหลังนวลเนียนของเธอ และยังฝากรอยจูบเป็นจ้ำ ๆ เอาไว้อีกด้วย เพราะเขาจะไม่ยอมให้เธอได้แต่งตัวอวดเนื้อหนังแบบนี้ออกไปจากบ้านเด็ดขาด เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะเห็นแบบนี้ได้ ส
“อ้อ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “เธอชื่อหยินครับคุณยาย คราวหน้าก็เรียกชื่อเธอก็ได้นะครับ” แล้วหันไปมองหญิงสาวและส่งยิ้มให้กำลังใจ “คุณหยินตอบคุณยายผมหน่อยสิครับ ท่านอยากรู้เรื่องของคุณเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”“หนูทานมาจากที่บ้านแล้วค่ะมาดาม” ปันหยีตอบคำถามของมารดาคนรัก“กินมื้อไหนมาล่ะ นี่มันเที่ยงแล้วนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูกลับไปทานที่บ้านก็ได้ วันนี้หนูขอกลับเร็วหน่อยนะคะมาดาม”“จะรีบกลับไปไหนล่ะ”“คือ..” เธอควรจะพูดอย่างไรดีเพื่อไม่ให้ท่านไม่พอใจ“ทำไม เขาจะพาเธอไปออกงานที่ไหนอีกล่ะ” เธอไม่กล้าตอบเพราะกลัวนางโกรธหรืออย่างไร นางน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ“ค่ะมาดาม คุณหยางอี้จะให้หนูไปงานเลี้ยงของท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกับเขาค่ะ” ปิดไปก็ใช่ว่าจะปิดได้มิด จึงตัดสินใจบอกความจริงกับท่านไป จะโกรธหรือไม่พอใจก็แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน“งานใหญ่ซะด้วยสิ เธอนี่วาสนาดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอกับลูกชายของฉัน”
“ไม่ต้องมาประชดใส่ยายเลยนะ เรามาคุยเรื่องที่ค้างกันไว้ต่อดีกว่า” นางเริ่มเล่าเรื่องของพรพิมลต่อจากที่ค้างเอาไว้ “...เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละไทเลอร์ ตอนนี้ยายจึงรู้สึกตงิด ๆ ใจกับหนูบีเขายังไงก็ไม่รู้”ไทเลอร์รู้สึกเห็นใจผู้เป็นยายอยู่บ้างที่ต้องผิดหวัง แต่ถ้าเขาไม่บอกเรื่องที่รู้มาให้ท่านฟัง ท่านก็คงจะงมงายกับผู้หญิงที่มีค่าแค่พลอย และกำจัดเพชรเม็ดงามทิ้งเพราะคิดว่าเป็นแค่กรวดทราย เขาหยิบชาขมที่เหลืออยู่เกือบ ๆ ครึ่งแก้วมาดื่มรวดเดียวจนหมด“คุณยายฟังผมนะครับ” เขาจับมือของท่านมากุมไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังผิดไปจากทุกครั้ง “คุณบีไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์ แสนดีอย่างที่คุณยายเห็นหรอกนะครับ ผมไม่ได้พูดเพราะใส่ร้ายเธอนะครับ แต่ผมพูดเพราะผมมีหลักฐานที่เชื่อถือได้”เขาตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังตั้งแต่วันที่พาเธอไปดื่มด้วยกัน แล้วหยิบโทรศัพท์เปิดภาพที่อดีตคู่ขาของอลันถ่ายได้จากคอนโดเมื่อวานนี้ให้ดู“คืนนั้นเธอออกไปกับอลันครับคุณยาย พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งคืนทั้งวัน และผมก็คิดว่ามันจบแค