ปันหยีสะดุ้งวาบด้วยความเสียวสะท้าน เมื่อถูกกลีบปากนุ่มของเขาจูบดูดดื่มอย่างหนักหน่วงตามด้วยปลายลิ้นหนา
“คุณอี้ขา ไหนบอกว่าจะอาบน้ำก่อนไงคะ” เธอเสียวสะท้านไปทั่วเนินเนื้อ แต่ก็อ้าขาให้กว้างขึ้นเพราะชื่นชอบการกระทำของปลายลิ้นหนาเป็นทุนเดิม
“เจอแบบนี้เข้าไป ต่อให้เป็นฤาษีผู้แก่กล้าบารมีก็อดใจไม่ไหวหรอกนะหนูหยิน” เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบเธอ แล้วขยับไปบดขยี้สองเต้าเต่งตึงที่ลอยเด่นอวดสายตา ทั้งดูดด้วยปาก ปาดด้วยปลายลิ้น ขยี้ด้วยปลายนิ้วจนร่างบางบิดร่อน ร้องครางไม่ขาดปาก
“คุณอี้ขา เลิกทรมานหยินเถอะค่ะ รักหยินสักทีสิคะ หยินไม่อยากทนอีกแล้ว” เธอขอร้องน้ำเสียงสั่นพร่า ขยับตัวถดหนีไปบนเตียงเพื่อให้เขาลุกตามขึ้นมา เอื้อมมือไปจับแก่นกายแข็งแกร่งขนาดเต็มไม้เต็มมือแล้วลูบไล้กระตุ้นอารมณ์ และเป็นฝ่ายดันร่างหนาให้ลงไปนอนราบบนเตียง วาดขาขึ้นคร่อมร่างเขาไว้เมื่อรู้ว่าเขาพร้อมที่จะจู่โจมแล้ว
เมื่อโอกาสกลายเป็นของเธอแล้ว จึงไม่รอช้าที่จะเบียดสะโพกเข้ากลางลำตัวเขา ค่อย ๆ ขยับใส่แก่นกายแกร่งที่ตั้งตระหง่านทีละนิด ๆ เพื่อให้ผ่านความคับแน่นเข้ามา ป
แม้แต่ตอนบ่นเธอก็ยังบ่นได้อย่างน่ารักและน้ำเสียงนุ่มนวล น้าอี้โชคดีจริง ๆ “แต่เหล้ามันอร่อยกว่านี้นะครับ”“เหล้ามีแต่โทษ ส่วนชาถ้วยนี้มีประโยชน์ คุณไทเลอร์ต้องดื่มค่ะ”แม้เธอจะอ่อนโยน แต่ก็มีความเผด็จการอยู่ไม่น้อย ช่างสมกับน้าอี้จริง ๆ “ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะครับคุณหยิน ผมโตแล้วนะครับ”“ถึงโตแล้วคุณไทเลอร์ก็คือหลานชายที่คุณหยางอี้รักมากอยู่ดี ดังนั้นหยินจะต้องดูแลคุณไทเลอร์ให้ดีที่สุดเพื่อให้คุณหยางอี้สบายใจค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานแต่อ่อนโยน “ระหว่างที่หยินไปทำข้าวต้มให้ คุณไทเลอร์ต้องดื่มชาให้หมดนะ”“ครับ” ไทเลอร์รับคำอย่างว่าง่าย ยอมจำนนต่อคำพูดสุดซาบซึ้งของเธอ ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อน้าอี้เบคกี้หยางเดินออกจากมุมที่ยืนแอบฟังการสนทนาของปันหยีกับหลานชายหัวแก้วหัวแหวน แล้วเดินไปที่โซฟารับแขก“เป็นอะไร” นางทำเหมือนเพิ่งเดินเข้ามา นั่งลงแล้วเอ่ยถามหลานชายที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางขมขื่น“เมาค้างครับคุณยาย”“
ณ สถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่ง ไทเลอร์เดินเข้าไปด้านในแล้วกวาดสายตามองหากลุ่มเพื่อน ๆ เท้าที่ยืนนิ่งเริ่มก้าวไปข้างหน้าเมื่อมองเห็นพวกเขาทั้งสามแล้ว“ทำไมมาช้าจัง” ไคถามเพื่อนที่เพิ่งมาถึง“ติดธุระนิดหน่อย อลันยังมาไม่ถึงอีกเหรอ”“มันรับปากนายว่าจะมาเหรอ” ลีออนถามอย่างสงสัย“มันไม่ได้รับปากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ”“ฉันคิดว่ามันคงไม่มาหรอก ก่อนที่จะมานี่ ฉันโทรไปหามัน มันบอกว่ามาไม่ได้เพราะอยู่กับสาว แต่ถ้ามาได้ก็จะมา”คำตอบของเพื่อนพานทำให้ไทเลอร์นึกถึงพรพิมลทันทีวันนี้เขากลับไปที่บ้านแต่ไม่เจอเธออยู่ที่นั่น และก่อนจะมาที่นี่เขาก็รับอาสาขับรถพาคนรักของน้าไปส่งที่คอนโด ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกันเขาก็แกล้งถามถึงเธอ จึงได้คำตอบว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้กลับบ้าน ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเธอก็ไม่ได้กลับ.. หรือว่าเพื่อนรักกับผู้หญิงคนนั้น.. แต่เขาบอกว่าไม่ได้เจอกับเธออีกเลยตั้งแต่คืนนั้นนี่นา.. หรือว่าเขาโกหก“พวกนายจำคุณบีได้ไหม” ความสงสัยทำให้เขาเอ่ยปากถาม“ทำไมจ
หนึ่งอาทิตย์แล้วที่พรพิมลพยายามจะหลบหน้าไทเลอร์ ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว.. นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากไปดื่มที่ผับด้วยกันในคืนนั้นเธอมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธเมื่อถูกเบคกี้หยางชวนให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน และจะต้องแน่ใจก่อนทุกครั้งว่าหลานชายของท่านไม่ได้อยู่ที่บ้านจึงจะยอมแวะไปหาแต่ปัญหาที่หนักกว่าการหลบหน้าไทเลอร์ก็คือเรื่องของอลัน เพราะฝ่ายนั้นไม่รู้จะหลงใหลได้ปลื้มอะไรกับเธอนักหนา จึงโทรมาพร่ำคำคิดถึงและขอพบได้ทุกวัน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะกลัวเขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้ไทเลอร์รู้“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ว่างจะรับโทรศัพท์ของนายได้ตลอดเวลา แล้วก็ออกมาหาบ่อย ๆ แบบนี้ไม่ได้ด้วย” เธอบอกกับเขาหลังจากจบเกมรักในอ่างอาบน้ำ และกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่“บ่อยที่ไหนกันครับบี คุณเพิ่งจะออกมาพบผมแค่สองครั้งเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะพบคุณทุกวัน” เถ้าบุหรี่ในมือของชายหนุ่มถูกดีดลงบนที่เขี่ย“สองครั้งที่นายว่าคือครั้งละมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ใช่แค่หนึ่งคืนหรือหนึ่งวันเท่านั้น นายทำให้
คำแก้ตัวของหญิงสาวที่ตัวเองไม่ค่อยชอบขี้หน้า เพราะมีตัวเทียบที่คิดว่าดีกว่า ทำให้เบคกี้หยางมองเธอแปลกไปจากเดิม เพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะยืดอกยอมรับแบบนี้“มาดามอาจจะคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงใจง่าย หรืออาจจะคิดว่าหนูหวังรวยทางลัด หรืออยากเป็นหนูตกถังข้าวสารก็แล้วแต่มาดามจะคิดเลยค่ะ หนูจะยอมทนความรู้สึกดูถูกเหล่านั้นอย่างเต็มใจ แต่ได้โปรดอย่ามองคุณหยางอี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะหนูจะไม่ทน”“คิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้อย่างเต็มใจอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้กระด้างเหมือนตอนแรก แต่ก็ยังฟังดูเย็นชา“หนูไม่คิดหรอกค่ะมาดาม หนูคิดมาตลอดว่าหนูไม่มีค่าคู่ควรกับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณหยางอี้ แต่ถึงหนูจะคิดแบบนั้น หนูก็ไม่เจียมตัวหรอกค่ะ เพราะหนูรักเขา รักมาก ดังนั้นหนูจึงตั้งใจเรียนให้หนักที่สุดเพื่อถีบตัวเองให้ดูมีค่าขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ๆ คนอื่นจะได้มองว่าหนูก็มีดี แต่ก็คงไม่ใช่สำหรับมาดาม ดังนั้นหนูจะยอมทนทุกอย่าง ทนจนกว่ามาดามจะยอมรับหนูเป็นลูกสะใภ้”ไม่ต้องอดไม่ต้องทนมันต่อไปแล้ว เปิดอกพูดกันไปเลยดีกว่
“ที่หนูทำอยู่ทุกวันนี้ก็ดีที่สุดแล้ว แค่นี้ฉันก็ชื่นใจแล้วจ้ะ” เธอดีทุกอย่างจริง ๆ เขาไม่ได้เยินยอ บางเรื่องก็ดีเกินไปจนน่าโมโหด้วยซ้ำ เขาจูบเธออีกครั้งอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนเธอเผยอปากรับจูบดูดดื่มของเขาอย่างเต็มใจ และขยับขึ้นไปนั่งบนตักของเขาตามที่มือใหญ่ของเขาพาไป…ติ๊ด ๆ ๆ ๆแต่เสียงประตูที่เตือนว่ากำลังจะมีคนเปิดเข้ามาก็ทำให้หญิงสาวที่ถูกจูบรีบฝืนตัวหนี แต่ชายหนุ่มกลับไม่แคร์ถ้าใครจะเข้ามาเห็น เพราะที่นี่คือบ้านของเขา เป็นรังรักของเขากับเธอ ดังนั้นคนที่ควรต้องเกรงใจคือคนที่เข้ามาต่างหากซึ่งเขาก็รู้ว่าไม่ใช่ใครนอกจากพรพิมล หญิงสาวที่ไปเสนอหน้าอยู่กับมารดาของเขาวันนี้ เขาจึงไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่กลับจูบหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม เพื่อให้หล่อนได้เห็นและเอาไปฟ้องมารดา“นี่มันอะไรกัน! ทำไมถึงทำประเจิดประเจ้อแบบนี้!”เสียงที่ดังขึ้นทำให้ปันหยีใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความตกใจทำให้เธอผลักคนรักออกห่างสุดแรง แล้วยืนขึ้นอย่างร้อนรนจนลืมความเจ็บตรงบาดแผลที่หัวเข่า“ขอโทษค่ะมาดาม” เธอกล่าวโดยที่ไม่
มื้อเย็น บนโต๊ะอาหาร“พอนั่งแบบนี้แล้วยังเจ็บอยู่ไหม” หยางอี้ถามคนรักเมื่อวางเธอลงบนเก้าอี้“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ค่อยเจ็บแล้ว ไม่ต้องอุ้มก็ได้ หนูเดินเองไหว” ตั้งแต่ที่เขาเริ่มอุ้มเธอมาจากห้องนั่งเล่น เขาก็ถามว่าเจ็บไหม พออุ้มมาได้ครึ่งทางก็ถามอีกว่าปวดแผลไหม พอตอนนี้วางเธอลงแล้วก็ยังถามอีก เธอซาบซึ้งในความรักความเอาใจใส่ของเขาหรอกนะ แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ เหมือนเด็กที่ยังไม่โตเธอถูกเขาบังคับให้หยุดอยู่กับบ้านเพื่อรักษาอาการป่วยและบาดแผล ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากหลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง แต่ในสายตาของเขาเธอก็ยังเป็นคนป่วยอยู่ดีจนถึงตอนนี้“ก็ฉันเป็นห่วงของฉันนี่”“เลิกห่วงได้แล้วค่ะ เพราะหนูไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ”“ไม่เป็นก็ไม่เป็น” สายตาลุ่มลึกที่เต็มไปด้วยความรักมองใบหน้าพิมพ์ใจ “พักนี้หนูดูเหนื่อย ๆ นะ อ่านหนังสือหนักไปหรือเปล่า”“ก็ไม่เท่าไหร่นะคะ”“ทำไมต้องหักโหมด้วยล่ะ ฉันไม่ได้บังคับให้หนูต้องรีบเรียนรีบจบเลยนะ และก็ไม่ได