ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไป
เสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลัง ลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้า เพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้อง เขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้ม แสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัว หญิงสาวก้าวขาอย่างลังเล หัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอก เธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้า แต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่" ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าว และทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม... แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็น ก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล "อ๊ะ!" เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทัน กลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอ สายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้น ภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์ เขากลับมาแล้ว... โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิด แววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพียงความเย็นเยียบที่กัดกินไปถึงกระดูก มือใหญ่กดเธอไว้แน่นบนตัก เหมือนตรึงนักโทษที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขยับหนี "ก็ยังกล้ามาเดินส่ายไปส่ายมาในห้องของฉันอีกสินะ" เสียงเขาเรียบเย็น ดั่งคำพิพากษาที่หล่นจากปากผู้กุมชะตา ลาริสาสั่นระริก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่บนปลายเข็ม "ปล่อยฉัน..." เสียงเธอแผ่วเบาเหมือนสายลม ภานุวัฒน์ไม่ตอบ เขาเพียงเลื่อนมือใหญ่ลูบผ่านต้นแขนเธออย่างอ้อยอิ่ง การกระทำทุกอย่างเต็มไปด้วยอำนาจ เฉียบขาด และไร้เยื่อใย "ชอบนักไม่ใช่เหรอ?" เขากระซิบเย็นชาข้างหู จงใจให้ปลายลมหายใจร้อน ๆ กวนประสาทเธอ "ฉันได้ยินมาว่า...เธอไม่เลือกด้วยซ้ำว่าจะเกาะแขนใคร" "แม้แต่การ์ดกระจอก ๆ คนหนึ่ง เธอก็ยังพร้อมจะป้อนตัวเองให้" น้ำเสียงเขาเย็นจัด แต่คำพูดเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงกลางหัวใจเธอจนเลือดซึม "ไม่จริง...ฉันไม่ได้—" ลาริสาพยายามร้องปฏิเสธเสียงสั่น แต่ภานุวัฒน์เพียงยิ้มเย็น มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ อย่างดูถูกเหยียดหยาม "อย่าเสียเวลาพูดคำลอย ๆ" เขากระชับแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น ราวกับตั้งใจตอกย้ำอำนาจของเขาเหนือเธอ "ในเมื่อเธอเลือกเองที่จะใช้ตัวเองแลกทุกอย่าง..." "...ก็ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อไร้เดียงสาในตอนนี้" ลาริสาหลับตาแน่น น้ำตาร้อน ๆ ไหลริน เธอไม่มีทางหนีจากเขาได้ เหมือนถูกขังในกรงที่มองไม่เห็น แต่กดทับหนักหนาเสียยิ่งกว่าห่วงเหล็ก และชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่เคยตั้งใจจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระเลยแม้แต่วินาทีเดียว น้ำตาไหลรินลงข้างแก้มลาริสาอย่างเงียบงัน แต่แทนที่จะทำให้ชายตรงหน้าใจอ่อนลง กลับยิ่งเพิ่มความเย็นเยียบในแววตาเขา ภานุวัฒน์จ้องมองเธอ...ดวงตาแข็งกร้าว ไร้เมตตา เหมือนกำลังมองนักโทษที่พยายามเสแสร้งหลอกลวงศาล "ยังจะแกล้งร้องไห้อีกเหรอ?" เสียงเขาเย็นยะเยือก ราวกับคมมีดปลายแหลม "ผู้หญิงอย่างเธอ...ไม่ใช่คนที่ใสซื่อ หรือบริสุทธิ์ อย่างที่พยายามแสดงออกมา" "น้ำตาของเธอ...มันก็แค่เครื่องมือเรียกร้องความสนใจ" ลาริสาสะอึก เธออ้าปากหวังจะอธิบาย แต่เขาไม่เปิดโอกาสแม้แต่วินาทีเดียว คำดูหมิ่นที่หล่นจากริมฝีปากเขา เหมือนค้อนที่กระแทกซ้ำลงกลางอก ภายในหัวใจของเธอ...บาดแผลเก่าที่พยายามลืม กลับแง้มขึ้นมาอีกครั้ง ในห้วงความทรงจำ...ที่เธอกดลึกเอาไว้มานาน ลาริสามองเห็นภาพตัวเองในอดีต เด็กสาวตัวสั่นที่ถูกลากเข้าห้องสลัวโดยลูกชายของพันธมิตรของพ่อเธอ เธอจำได้... มือแข็งกระด้างที่กดร่างเธอลงกับเตียง เสียงขู่กระซิบที่แทรกอยู่ในความมืด แล้ว...ทุกอย่างก็ดับวูบ เธอสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เสื้อผ้าหลุดรุ่ย ผิวเนื้อมีรอยแดงช้ำ เธอร้องไห้แทบบ้าในคืนนั้น เพราะเชื่อหมดใจ...ว่าเธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ทั้งที่เธอไม่เคยรู้เลย ว่าในคืนนั้น มีใครคนหนึ่งเข้าไปในห้องนั้น ลากร่างเธอออกมา...ก่อนที่สิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้น ใครคนหนึ่ง...ที่ในวันนี้กลับเป็นผู้ที่ตราหน้าเธอด้วยความเกลียดชัง "ใช่..." เสียงของลาริสาดังขึ้นในความเงียบ เสียงที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน และเจ็บปวดสุดหัวใจ "ฉันมันไม่บริสุทธิ์อย่างที่คุณคิด..." "ฉันมันผู้หญิงต่ำตมที่เคยผ่านมือผู้ชายมาแล้ว!" เธอพูดทั้งน้ำตา ด้วยความเหนื่อยล้า ท้อแท้ และหมดศรัทธาในทุกอย่าง "ใช่..." "ฉันอยากกลับบ้าน..." "ฉันยอมทำทุกอย่าง...เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากที่นี่!" เสียงสะอื้นแผ่ว ๆ ตกกระทบพื้นห้องที่เงียบสงัด ภานุวัฒน์ชะงัก มือที่จับเธอไว้แน่นคล้ายคลายแรงลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว คำพูดของเธอ เหมือนค้อนทุบลงกลางหน้าอกเขา ผู้หญิงสกปรกคนนี้ เธอเอ่ยปากสารภาพตามตรงว่า เธอยินยอมพร้อมใจที่จะพลีกายให้ใครก็ได้ เพื่อแค่ได้หนีรอดไป เลือดในกายภานุวัฒน์เย็นเยียบจนแทบจับตัวเป็นน้ำแข็ง ลมหายใจของเขาร้อนจัด เต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่โหมไหม้จนควบคุมไม่อยู่ ในวินาทีต่อมา... เขากระชากตัวเธอลงบนโซฟาอย่างไร้ความปรานี“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห