ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว
เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็งกร้าวอย่างจงใจ ลาริสาแทบอยากกรีดร้อง แต่เธอรู้ดี...ถ้าเธอสูญเสียสติ เธอจะไม่เหลือโอกาสแม้แต่นิดเดียว เธอกัดฟันแน่น กลืนเสียงสะอื้นลงคอ ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นแตะแขนเขาเบา ๆ และเอ่ยเสียงสั่นหวานอย่างวิงวอน "ได้โปรด...อย่ารุนแรงเลยค่ะ..." เสียงเธอแผ่วเบาจนแทบไม่เหลือแรง ร่างเล็กอ่อนระทวยแนบอกเขาอย่างเชื่องช้า การ์ดหนุ่มชะงักเล็กน้อย ดวงตาวาววับขึ้นด้วยความต้องการที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม มือเขาเลื่อนต่ำลงมาจนปลายนิ้วสัมผัสชายกระโปรงเธอ สัมผัสที่เกือบจะล่วงล้ำ ทำให้ร่างกายของลาริสาหดเกร็งแน่นด้วยความหวาดหวั่น เธอสั่นนิด ๆ แต่ไม่หลบตา กลับจงใจยื่นมือไปแตะที่เข็มขัดเขาเบา ๆ "ถ้าทำเบา ๆ...ฉันจะปลดให้เองนะคะ..." เสียงกระซิบของเธอพร่าเหมือนต้องมนต์ การ์ดหนุ่มหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ปล่อยให้เธอค่อย ๆ คลายเข็มขัดออกอย่างช้า ๆ... และในวินาทีที่มือของเธอแตะโลหะเย็นเฉียบ... เพล้ง! ขวดแก้วถูกเหวี่ยงเต็มแรงใส่ขมับของเขา! เลือดสาดกระเซ็นทันที การ์ดหนุ่มร้องลั่น กุมหัวตัวเอง โงนเงนด้วยความเจ็บปวด ลาริสาไม่รอช้า สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนที่เริ่มอ่อนแรง วิ่งพรวดออกจากห้องสุดชีวิต! เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตามหลังมา แต่เมื่อการ์ดพยายามวิ่งตาม กลับสะดุดกางเกงตัวเองที่ยังหลุดคาอยู่ ทำให้ล้มกลิ้งอย่างน่าสมเพช ลาริสาวิ่งโซซัดโซเซมาตามทางเดินโถงด้านนอกคลับ น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจห้าม ในที่สุด...ส้มก็เห็นเธอเข้า และวิ่งตรงมาหา "ริสา! เป็นอะไร!?" ส้มประคองร่างบอบบางที่กำลังสั่นระริกด้วยความกลัวและหวาดผวา ในอกของลาริสา... มีเพียงเสียงสะอื้นอันเงียบงัน กับรอยแผลที่มองไม่เห็นบนหัวใจ ส้มประคองลาริสาเอาไว้แน่น เนื้อตัวของเด็กสาวในอ้อมแขนยังสั่นระริกไม่หยุด พูดด้วยน้ำเสียงติดขัดปนสะอื้น "มัน...มันจะข่มขืนริสา..พี่ส้ม..พี่ส้มช่วยริสาด้วย" ส้มลูบผมนุ่มของลาริสาเบา ๆ มือที่เคยหนักแน่นกลับสั่นเทาไม่แพ้กัน "อย่ากลัวนะ...พี่อยู่ตรงนี้" เสียงของเธอแหบพร่า เหมือนกำลังพยายามกลืนก้อนสะอื้นของตัวเอง ลาริสาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงซุกตัวแนบอกพี่ส้มแน่น สะอื้นเงียบ ๆ ราวกับกลัวว่าหากเปล่งเสียงออกมา ความเจ็บปวดทั้งหมดจะทะลักล้นจนไม่อาจควบคุม ส้มโอบกอดเธอแน่นขึ้น ราวกับหวังใช้ไออุ่นเพียงน้อยนิดต่อต้านความโหดร้ายของโลกใบนี้ให้กับเธอ ... อีกมุมหนึ่งของคลับ การ์ดหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กแข็ง ๆ แผลบนขมับยังซึมเลือด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความแค้น เบื้องหน้า อคินยืนพิงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ แผ่นหลังเหยียดตรง นัยน์ตาคมกริบจับจ้องไม่กระพริบ "พูดมา" น้ำเสียงเรียบเย็นของบอสใหญ่ดังขึ้น การ์ดรีบยกเรื่องราวโกหกขึ้นมาอ้างทันที เสียงเขาเร่งร้อนเหมือนคนกำลังจมน้ำ "เธอมันยั่วผมก่อน! เข้ามาอ่อยก่อน! ผมก็แค่ตอบสนองความต้องการให้เธอ!" อคินฟังโดยไม่แสดงสีหน้า นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ ช้า...เนิ่นนาน...กดดัน สุดท้าย หลังจากการ์ดพร่ำแก้ตัวจนเสียงแห้ง อคินเพียงหันไปบอกลูกน้องสั้น ๆ "ส่งมันไปลงทำงานชั้นล่าง อย่าให้ขึ้นมาสร้างความวุ่นวายด้านบนได้อีก" การ์ดหนุ่มเบิกตากว้าง ตะโกนร้องขอความเมตตา เขารู้ดีว่าเมื่อลงไปเบื้องล่างแล้ว ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ล้วนมีชะตากรรมที่ต้องรองรับความใคร่จากแขกผู้มาเยือนไม่ต่างกัน "ฟังผมก่อน! ผมพูดจริง—" เสียงประตูเปิดพร้อมเสียงกระชากตัวลากออกไปอย่างไร้เยื่อใย ไม่มีใครเหลือบแลแม้แต่นิดเดียว ... ในห้องนอนเล็ก ๆ ลาลิสาที่เพิ่งจะสงบลงได้จากการปลอบโยนของส้ม ในแววตายังหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นในความเงียบ ส้มผงะ หันไปสบตาลาริสาที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ดวงตาคู่นั้นยังแดงก่ำและว่างเปล่า เมื่อส้มเปิดประตู คนดูแลชายคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าเรียบนิ่งอย่างคนไร้หัวใจ "บอสเรียก" เสียงห้วนสั้น ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีความเห็นใจ "น้องเพิ่งเจอเรื่องร้ายแรงนะคะ ขอให้พักก่อน..." ส้มเอ่ยเสียงเครือ พยายามฝืนพูดขอร้อง คนดูแลปรายตามองเฉย ๆ "คำสั่งบอส ไม่มีใครขัดได้" ลาริสาหลุบตามองพื้น สูดลมหายใจแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เธอแตะมือพี่ส้มเบา ๆ เป็นการบอกลาโดยไม่พูดออกมา ก่อนจะเดินตามชายคนนั้นออกจากห้อง เหมือนเด็กน้อยเดินตามผู้คุมชะตากรรมของตนไปอย่างไร้หนทางเลือก โถงแคบ ๆ ที่มืดสลัวส่งกลิ่นอับชื้นตีขึ้นมา การก้าวเดินของลาริสาเบาแทบไม่ต่างจากเสียงลมหายใจ แต่ในใจเธอ...ทุกย่างก้าวเหมือนตีกลองศึกอื้ออึงในอก บันไดวนคับแคบทอดยาวขึ้นไป เหมือนกำลังพาเธอก้าวสู่หุบเหวที่ไร้แสงสว่าง เมื่อมาหยุดตรงหน้าประตูไม้ทึบสูงใหญ่ เธอยกมือขึ้น เคาะประตูเบา ๆ ด้วยมือที่ยังเย็นเฉียบ ก๊อก ก๊อก ก๊อก... เสียงเคาะเบาราวกับกลัวทำลายความเงียบ ลาริสาหลับตาลงครู่หนึ่ง กลั้นหายใจ รอรับชะตากรรมที่รออยู่ข้างใน“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห