เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆ
เพราะเธอยังไม่รู้... ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดา แต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้ เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัย คีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้ "อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน" เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ "คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ" พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ "ดีเลย..." เธอยิ้มบาง "อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน" เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง "ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ" คีรณัฐไม่ตอบ เพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิด เหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหน ในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกัน อย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไป รุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่น คีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึก พราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดี เขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆ ในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขาไม่ค่อยเผยให้ใครเห็น...ความอ่อนโยน และความผูกพันที่ไม่อาจสลัดได้อีกแล้ว 'สักวันหนึ่ง...ผมจะทำให้คุณกลายเป็นเจ้าสาวของผมจริง ๆ' เขาคิดในใจเงียบ ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเบา ๆ บนหน้าผากเนียน แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น ไม่ลืมห่มผ้าให้เธออย่างทะนุถนอม แต่งตัวเรียบร้อยด้วยความเคยชิน แล้วก้าวออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ เช้านี้ มีภารกิจใหญ่รอเขาอยู่ ... ในห้องประชุมสำนักงานใหญ่ ซาเลียน อินโนเวชั่น แสงไฟสลัวลงเล็กน้อยเพื่อเน้นหน้าจอข้อมูลตรงหน้า ภานุวัฒน์นั่งไขว้ขาอยู่ตรงปลายโต๊ะ ใบหน้าคมสันเรียบนิ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างลึก ๆ คีรณัฐเปิดประตูเข้ามา ขยับตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยท่วงท่าของผู้ที่พร้อมรับฟังทุกข้อมูล "ขอโทษที่ให้รอ" เสียงเขาสั้น ๆ ขณะเปิดแฟ้มในมือ "ฉันชินแล้ว" ภานุวัฒน์เอ่ยยิ้มบาง ก่อนจะโยนแฟ้มข้อมูลอีกชุดให้เขา คีรณัฐไล่อ่านเร็ว ๆ สีหน้าค่อย ๆ เคร่งขึ้น "แผนการลักลอบของรัฐมนตรีวิศรุต..." เขาพึมพำ "ผิดปกติใช่ไหมล่ะ?" ภานุวัฒน์เท้าแขนบนพนักเก้าอี้ สีหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าคีรณัฐจะคิดยังไง "ปกติเขาไม่เคยปล่อยให้ข้อมูลหลุดขนาดนี้" คีรณัฐพูดช้า ๆ ภานุวัฒน์หัวเราะเบา ๆ ดวงตาคมวาววับอย่างเจ้าเล่ห์นิด ๆ "เพราะตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว" "ตั้งแต่ลาริสาหายตัวไป...มันก็เหมือนคนที่โดนดึงรากวิญญาณออกไปทีละนิด" คีรณัฐเงยหน้าขึ้นมองตรง จับไหวได้ว่าคำพูดของภานุวัฒน์มีน้ำเสียงแปลกบางอย่าง...เหมือนเย็นชา แต่ก็เหมือนเจ็บปวดในที "แล้ว...ได้ข่าวเธอบ้างไหม?" เขาถามนิ่ง ๆ อย่างไม่ให้ผิดสังเกต ภานุวัฒน์ไหวไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ "ป่านนี้ก็คงต้องไปชดใช้กรรมที่พ่อเธอทำไว้" เขาตอบเสียงราบเรียบ แต่ในตาสีน้ำแข็งนั้น วาบแววบางอย่างที่ยากจะอ่าน คีรณัฐขมวดคิ้วนิด ๆ แต่เลือกจะไม่ถามต่อ เขารู้ดี...แต่ละคนต่างมีเงาที่ไม่อาจส่องไฟใส่ได้ง่าย ๆ "ในข้อมูลที่ได้มา..." คีรณัฐเปลี่ยนเรื่อง เปิดแผนผังเส้นทางบนโต๊ะ "เรารู้แค่วัน เวลา และเส้นทางเบื้องต้นที่จะขนยาเสพติดข้ามชายแดน" "แต่ยังไม่รู้วิธีการหรือช่องทางจริง ๆ" ภานุวัฒน์พยักหน้า "แผนการเคลื่อนย้ายยาทั้งหมดจะมีสองล็อต ล็อตแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่ล็อตที่สองมันเป็นล็อตใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี" "และถ้ามันผ่านไปได้ รัฐมนตรีวิศรุตจะกอบกู้เครดิตของตัวเองได้บางส่วน" คีรณัฐเม้มปาก สีหน้าเคร่งขรึม "งั้นเราจะปล่อยให้มันเกิดไม่ได้" เขากำหมัดแน่น ในสายตาเขา แผนการนี้ไม่ใช่แค่การขนยา แต่มันคือการตัดรากของอำนาจที่เน่าเฟะมาตลอด "ฉันจะลงพื้นที่กับทีมเอง" "วางกำลังซ้อน วางกับดักให้แน่นที่สุด" "เราจะจับพวกมันให้ได้คาหนังคาเขา" ภานุวัฒน์ยิ้มบาง ๆ ยิ้มที่ไม่อ่อนโยนแม้แต่นิดเดียว "ฉันจะสนับสนุนด้านข้อมูลให้เต็มที่" "และ...ถ้านายต้องการมือเพิ่ม" เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ สบตาคีรณัฐอย่างเจาะลึก "แค่กระซิบมา" ................ ช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไม่รู้วันรู้คืน ลาริสายังคงใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นชิน ในคืนที่มืดมน...เธอก้มหน้าก้มตาถือถาดเครื่องดื่ม ผ่านโถงทางเดินแคบ ๆ แสงไฟสลัวสาดทับเงาเธอที่ทอดยาวผิดรูปบนผนังเย็นเยียบ อากาศหนาวเหน็บและเงียบงัน ทุกย่างก้าวราวกับมีสายตาในความมืดกำลังจ้องมอง ในใจเธอ... มีเพียงความหวังเลือนราง รอวันที่จะได้หนีจากขุมนรกนี้ไปสักที ... อีกมุมหนึ่งของห้องพักพนักงาน แยมเหยียดตัวนั่งบนเก้าอี้เก่า ๆ ขาไขว่ห้าง ท่าทางเชื่องช้าแต่สายตาคมกริบ เธอปรายตามองการ์ดหนุ่มหน้าใหม่ที่ยืนพิงผนังอยู่ไม่ไกล สายตาเขา...ลอบมองลาริสาอย่างไม่ปิดบัง แยมยิ้มมุมปาก ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระซิบเบา ๆ "ชอบเธอหรอ...ยัยนั่นน่ะ ที่นายชอบมอง" "ถ้าชอบทำไมไม่ลองเข้าไปหาเธอล่ะ" เสียงของเธอหวานหู แต่แฝงความเย็นยะเยือกอยู่ใต้ทุกรอยยิ้ม การ์ดหนุ่มขมวดคิ้ว มองตามสายตาเธออย่างลังเล "ก็คงได้แค่มองเธอคงไม่เล่นด้วย เธอดูเรียบร้อยจะตาย..." เขาพึมพำ แยมหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ เหมือนผ้าไหม แต่ข้างในคือใบมีดบางเฉียบ "แม่นั่นน่ะก็แค่หน้าซื่อ..." เธอกระซิบ "แต่ลับหลัง เชื่อเถอะ ใคร ๆ ก็ลิ้มรสมาหมดแล้ว" เธอขยับเข้าใกล้อีกนิด ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าผิวหูเขา "เธอชอบของแรงนะ" "ถ้านายกล้าเล่นแรง ๆ หน่อย..." แยมหัวเราะเบา ๆ "ฉันรับรอง ว่าเธอจะติดใจจนลืมนายไม่ลง" การ์ดหนุ่มเบิกตากว้าง เหมือนปีศาจในตัวกำลังตื่นขึ้น เขาเหยียดยิ้มเย็นยะเยือก พึมพำเสียงต่ำ "ถ้าอย่างนั้น คืนนี้...จะได้รู้กัน" แยมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยิ้มบางเฉียบ เหมือนดูคนโง่เง่าคนหนึ่ง...กำลังเดินเข้ามาให้เธอใช้เป็นเครื่องมืออย่างเต็มใจ“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห