ในเสี้ยววินาที
คีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา "งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..." เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกัน ริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานี ลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อน พราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น "อยากใช้ร่างกายล่ะก็..." เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ "ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก" "ฉันพูดเล่นน่า..." เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้ สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่าง แต่คีรณัฐไม่ขยับออก กลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิม ลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ "เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหู พราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อน จูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยน ราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขา มือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบา ลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย "คีร์..." เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ยิ่งผลัก เขายิ่งรัดเธอแน่นขึ้น มือแข็งแรงนั้นเลื่อนขึ้นเกาะกุมข้อเท้าขาวเนียน ลากขึ้นมาตามแนวขาอ่อนช้า ๆ จนชุดเดรสสั้นถลกขึ้นไปกองเหนือสะโพก "บอกเองไม่ใช่เหรอ...ว่าจะใช้ร่างกาย?" เสียงเขาทุ้มพร่า ขณะริมฝีปากลากไล้ซอกคอเนียนจนพราวฟ้าสะท้าน ความเย็นจากแอร์ในห้องผสมกับความร้อนที่แล่นพล่านในตัวเธอ ทำให้ทุกสำนึกเลือนรางเหมือนหมอกหนา พราวฟ้าเริ่มจะเอ่ยอ้อนอีกครั้ง แต่กลับถูกมือหนาผลักดันลงนอนกับเบาะนุ่ม ริมฝีปากหยักร้อนระอุจูบไล่ตั้งแต่ข้อเท้า ไล่ขึ้นมาตามเรียวขาสวยที่เริ่มสั่นระริก ทุกสัมผัสของเขาทำให้พราวฟ้าเหมือนกำลังจมลงในมหาสมุทรลึกที่ไม่มีทางหนี เธออยากหนี...แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ มือเรียวกำชายผ้าแน่นเมื่อปลายนิ้วหยาบลากเสียดสีไปตามหน้าท้องแบนราบ สัมผัสนั้นทั้งเร่าร้อน ทั้งปลิดปลิวสติทีละชั้น...ทีละนิด "อยากลองเล่นกับไฟ..." คีรณัฐกระซิบชิดริมใบหู ก่อนจะกดจูบแผ่วเบาที่ต้นคอ "ก็ต้องยอมรับผลของมันให้ได้" พราวฟ้าเผยอริมฝีปากหอบหายใจ ขณะที่มือหนาสอดเข้าตามแนวชายเสื้อ ปลดกระดุมทีละเม็ด...ทีละเม็ด จนผิวขาวเนียนเปลือยเปล่าต่อสายตาเขา แววตาของคีรณัฐเข้มลึก ไม่ใช่แค่ปรารถนา แต่เต็มไปด้วยการครอบครองและการลงโทษที่หวานล้ำจนพราวฟ้าแทบหยุดหายใจ เรียวขาของพราวฟ้าเบียดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เมื่อความร้อนที่แผ่ซ่านจากกายแกร่งโถมทับมาอย่างไม่ให้ตั้งตัว คีรณัฐไม่ให้โอกาสเธอหนี ไม่ให้เวลาคิด ฝ่ามือร้อนแหวกเรียวขาของเธอออก เขาผสานกายเข้าหาเธออย่างมั่นคง... กดแทรกตัวตนเข้ามาทีละน้อย กลืนกินเธอจนแนบแน่นราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พราวฟ้าสะดุ้งเฮือก เสียงหอบกระทบกับไหล่กว้าง สติที่เหลืออยู่แทบปลิดปลิวไปกับแรงสั่นสะท้านในกาย "คีร์..." เธอเรียกชื่อเขาอย่างขาดห้วง หายใจไม่ทั่วอก แต่เขาไม่ปล่อย กลับแนบชิด...ลึกขึ้น...แน่นขึ้น เหมือนตั้งใจจะประทับรอยตัวเองลงบนเธอทุกตารางนิ้ว การขยับกายของเขาในคราแรกยังเนิบนาบ เย้ายวน ลากเสียดสีในจังหวะที่ช้าแต่แน่นลึก แต่ไม่นานนัก...จังหวะนั้นก็เปลี่ยนไป แรงขึ้น... เร่งขึ้น... เหมือนพายุที่โหมกระหน่ำซัดจนเธอแทบตั้งตัวไม่ทัน เสียงเนื้อกระทบกันในห้องเงียบงัน เสียงลมหายใจหนักหน่วงประสานกันราวกับดนตรีเร่าร้อนที่ไม่มีบทหยุด พราวฟ้าหลับตาแน่น ปล่อยให้ตัวเองจมลึกไปกับสัมผัสดิบ ๆ ที่แสนหวานในอ้อมแขนของเขา เธอไม่รู้ว่าเธอครางออกมาเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเธอกอดเขาแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงว่า... เธอยินยอมให้เขาเข้าครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจ ด้วยความโหยหา และรักสุดหัวใจ ในค่ำคืนนี้... เธอถูกเขากลืนกินจนหมดสิ้น ไม่มีพื้นที่ใดในกายหรือวิญญาณที่หลงเหลือไว้ให้ใครอื่นอีกต่อไป หลังจากพายุปรารถนาผ่านพ้น บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบอ่อนหวาน มีเพียงเสียงลมหายใจสองจังหวะที่สอดประสานกันเงียบ ๆ พราวฟ้านอนซุกอยู่ในอ้อมแขนกว้าง ผ้าห่มผืนบางคลุมกายทั้งคู่เอาไว้หลวม ๆ คีรณัฐขยับปลายนิ้วลูบหลังเธอแผ่วเบา เหมือนกำลังวาดบางสิ่งลงบนผิวเนียนละเอียดนั้นด้วยปลายนิ้ว พราวฟ้ายิ้มบาง เอียงใบหน้าแนบอกเขา แล้วพูดเสียงอู้อี้ "คุณทำแบบนี้กับฉันตั้งหลายครั้งแล้วนะ..." "เมื่อไหร่คุณจะมาขอฉันแต่งงานซักทีล่ะ?" น้ำเสียงเธอเจือขี้เล่น แต่แววตาที่แอบเงยขึ้นมองเขา...มีทั้งความจริงจังและความหวังซ่อนอยู่ คีรณัฐหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ลูบผมนิ่มของเธอด้วยท่าทีเอ็นดู ก่อนแกล้งถามกลับ "แล้วคุณแน่ใจเหรอ...ถ้าแต่งงานแล้ว คุณจะเลิกโลดแล่นในวงการได้จริง ๆ?" พราวฟ้าทำปากยื่น นึกหาวิธีตอบโต้ ก่อนจะหัวเราะคิก แล้วเชิดหน้าขึ้นนิด ๆ อย่างภาคภูมิใจ "ฉันรับบทแม่ในละครได้อยู่นะ..." "ถึงจะไม่ใช่นางเอกแล้วก็เถอะ!" เสียงหัวเราะหวาน ๆ ของเธอกระจายทั่วห้อง คีรณัฐมองเธอนิ่ง ๆ ดวงตาเปล่งประกายอบอุ่นจาง ๆ ที่แม้เขาจะพยายามซ่อน แต่ก็ซ่อนแทบไม่มิด เขาก้มลงจูบหน้าผากเธอเบา ๆ ก่อนน้ำเสียงจะเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น "ฟ้า..." "งานของผมมันไม่ธรรมดา..." "มันอันตรายกว่าที่คุณคิด" พราวฟ้าขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นตีเขาเบา ๆ "คุณนี่ก็หาข้ออ้างตลอดเลย..." คีรณัฐยกมือขึ้นจับมือเล็ก ๆ ของเธอมาไว้ที่ริมฝีปาก จูบเบา ๆ เป็นเชิงขอโทษ "คุณแค่เป็นพนักงานบริษัททั่วไป..." พราวฟ้าเบะปากน้อย ๆ พูดกลั้วขำ "มีอะไรจะอันตรายไปกว่าฉากระเบิดในละครที่ฉันต้องเล่นบ้างล่ะ?"“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห