공유

ตอนที่ 5 ฝึกฝน

last update 최신 업데이트: 2025-02-04 09:44:35

หลังจากที่บิดารับปากว่าจะให้ฉีอันหนิงฝึกขี่ม้าแล้ว เขาก็ทำตามที่รับปากนางเอาไว้โดยให้บ่าวรับใช้คนสนิทของตน เป็นผู้ช่วยฝึกให้นาง ฉีอันหนิงหัวเร็ว เด็กหญิงสามารถขี่ม้าได้แบบไม่หวาดกลัว ต่างจากพี่รองที่มิเอาดีในด้านนี้เลยสักนิด พี่ใหญ่มองน้องสาวด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ เขาขี่ม้าเป็นก่อนน้องๆ เพราะเขาเองก็ฝึกขี่ม้าในวัยเดียวกับผู้เป็นน้องสาวเช่นกัน

“เก่งมากหนิงเอ๋อร์ อีกหน่อยเจ้าก็ขี่ม้าแข่งกับพี่ได้แล้ว” ฉีอันหลงเอ่ยชมน้องสาวออกมา

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องว่าน้องยังต้องฝึกให้บ่อยกว่านี้” ฉีอันหนิงถ่อมตน

“รอเจ้าโตกว่านี้ก็แข่งตีคลีได้แล้ว ถึงยามนั้นสกุลฉีของเราคงมิมีผู้ใดสามารถเอาชนะได้แล้วล่ะ” เด็กหญิงส่งยิ้มให้กับผู้เป็นพี่ชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้าเคียงคู่กันไป ซุนซุนมองตามคุณหนูสี่ไปด้วยสายตาเป็นห่วง

“เจ้ามิต้องห่วงคุณหนูสี่หรอกซุนซุน คุณหนูสี่ของเจ้าเก่งเกินวัย นางเป็นเด็กที่มีความสามารถ”

ลุงลู่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากใต้เท้าฉีให้เป็นผู้ฝึกสอนคุณหนูสี่ขี่ม้าเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

ลูกศิษย์เช่นนางมิมีผู้ใดที่มิอยากสั่งสอน เพราะคุณหนูสี่ความจำดี เรียนรู้เร็ว และอ่อนน้อมถ่อมตน นางมิได้แบ่งชนชั้นว่านางคือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากนางเป็นศิษย์ นางก็ถือตนว่านางเป็นศิษย์

“แต่… ข้ากังวลว่า คุณหนูสี่ของข้าจะเก่งเกินสตรี”

“อ้าว… มิดีหรอกหรือซุนซุน เจ้าจะได้มิต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมากลั่นแกล้งรังแกคุณหนูสี่ได้อย่างไรล่ะ”

ซุนซุนในวัยสิบสองปีพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วย นางเป็นเพียงสาวใช้คงมิอาจปกป้องคุณหนูสี่ได้เต็มที่ หากคุณหนูของนางจะมีวิชาความรู้เยี่ยงบุรุษก็เป็นผลดีต่อตัวของคุณหนูเองในภายภาคหน้า

หลังจากฝึกซ้อมขี่ม้าเสร็จ คุณชายใหญ่และคุณหนูสี่สกุลฉีก็พากันกลับจวนเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน แม้จะรู้สึกว่าตนเองฝึกขี่ม้าได้ดีพอแล้ว แต่ฉีอันหนิงก็ยังมิวายชวนพี่ชายออกไปฝึกกับนางอีกหลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ

“หนิงเอ๋อร์ ลูกชอบขี่ม้าหรือไม่”

ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีของนางหลังจากรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเสร็จ ยามนี้ใต้เท้าฉีมิได้อยู่ที่จวน จึงมีเพียงนางและลูกๆ อีกสามคนที่รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน

“ชอบเจ้าค่ะ ขี่ม้าสนุกดี”

ฉีอันหนิงตอบมารดา ฉีฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาพลางลูบไปที่ศีรษะของบุตรีก่อนที่นางจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกจากโต๊ะอาหารไป เด็กๆ ทั้งสามคำนับลามารดาก่อนที่จะหันมาพูดคุยกัน

“เจ้าเป็นสตรีจะออกไปขี่ม้าทำไมกัน สู้อยู่ต่อบทกวีเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า”

พี่รองอย่างฉีอันลิ่งเอ่ยขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าพักหลังมานี้น้องสาวนั้นชอบออกไปฝึกขี่ม้ากับพี่ใหญ่จนเขามิได้ฝึกต่อบทกวีกับพี่ชายใหญ่เลยสักครั้ง

“บทกวีมิยากหรอกนะเจ้าคะท่านพี่รอง และน้องจำได้หมดแล้ว แต่การขี่ม้ามิใช่ว่าขี่เป็นแล้วจะมิฝึกก็ได้ หากละเลยที่จะฝึกไป ม้าก็จะมิคุ้นเคยกับน้องหรอกนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงอธิบายให้พี่รองฟัง เหตุใดนางจะมิทราบว่าพี่รองนั้นอยากจะรั้งตัวพี่ชายใหญ่เอาไว้เพื่อฝึกต่อบทกวีกับเขา

พี่ชายใหญ่ได้แต่ฉีกยิ้มออกมากับการฟังน้องรองและน้องเล็กพูดคุยกันด้วยเหตุและผล เขาจึงตัดปัญหาด้วยการสอนน้องเล็กขี่ม้าวันละหนึ่งชั่วยาม และต่อบทกวีกับน้องรองวันละครึ่งชั่วยาม

“แล้วนี่เจ้าสามไปที่ใดกัน วันนี้ใยพี่มิได้พบเจอเขาเลย”

ฉีอันหลงเอ่ยถามน้องๆ ออกมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้หลังจากมื้อเช้าเขามิได้พบหน้าน้องสามเลย แม้แต่ตอนรับประทานอาหารกลางวัน ฉีอันลู่ก็มิได้ออกมาร่วมโต๊ะพร้อมหน้า

“พี่สามอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังจวนเจ้าค่ะ วันนี้เห็นท่านพี่สามบอกน้องว่าจะไปตกปลา แล้วจะปิ้งปลากินที่นั่นมิกลับมากินมื้อกลางวันด้วยเจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มิได้ว่ากล่าวอันใด” ฉีอันหนิงที่นึกขึ้นได้บอกกับพี่ชายออกมา

“ถ้าเช่นนั้นยามนี้เรามาต่อบทกวีกันก่อนดีหรือไม่ท่านพี่น้องหญิงสี่ แดดยามนี้ช่างร้อนนัก คงมิดีหากพี่ใหญ่จะออกไปขี่ม้ากันยามนี้”

ฉีอันลิ่งรีบชักชวนพี่ใหญ่และน้องสาวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าแสงสุริยันในยามนี้นั้นสามารถทำให้ผิวกายไหม้เกรียมได้โดยไม่ยาก

“พี่เห็นด้วยกับน้องรองนะหนิงเอ๋อร์ เอาไว้ยามเชินเราค่อยออกไปฝึกขี่ม้ากันอีกคราก็ได้ ยามนี้แสงแดดช่างเจิดจ้ายิ่งนัก”

เขาก็มิอยากจะให้ผิวกายอันขาวเนียนละเอียดของผู้เป็นน้องสาวต้องมากระดำกระด่างเพราะแสงแดดเช่นกัน หากภายภาคหน้าน้องสาวอยากออกเรือนคงจะยาก ยามนี้นางยังมิบ่นให้เขา แต่ถ้าหากนางเติบโตเป็นสตรีที่งดงามขึ้นมาแต่ทว่าผิวกายมิได้งดงามเช่นเดียวกัน ยามนั้นนางคงจะต้องกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเขาเป็นแน่ ที่มิได้ห้ามปรามนาง

“เจ้าค่ะท่านพี่ ถ้าเช่นนั้นเราไปที่ศาลาริมน้ำดีไหมเจ้าคะ น้องจะให้พี่ซุนซุนนำฉินไปให้น้องบรรเลงให้พวกท่านพี่ได้ฟังด้วย”

พี่รองได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับดีใจ เขาชื่นชอบทั้งบทกวีและดนตรี แต่ทว่าความสามารถในการเล่นฉินของเขายังคงมิได้เรื่อง ต่างจากน้องหญิงสี่อย่างสิ้นเชิง

สามพี่น้องพากันไปที่ศาลาริมน้ำหลังจวน ที่ซึ่งมีฉีอันลู่นอนกลางวันอยู่หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ บ่าวรับใช้ของคุณชายสามเมื่อเห็นว่าคุณชายและคุณหนูทั้งสามมาเยือนจึงรีบปลุกคุณชายสามให้ตื่นจากการหลับใหล

“อื้อ….. พี่หลงฮ่าว ข้าบอกว่าให้ปลุกข้ายามเว่ยอย่างไรล่ะ เหตุใดจึงรีบปลุกข้าเร็วนัก ยังง่วงนอนอยู่เลย” ผู้ที่ถูกปลุกเอ่ยออกมาพลางบิดกายไปมา

“กินแล้วนอนระวังเป็นหมูนะเจ้าคะท่านพี่สาม” เสียงเล็กของฉีอันหนิงเรียกสติให้ฉีอันลู่ เขาขยี้ตาก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวก็พบว่าพี่ชายทั้งสองก็มาพร้อมกันกับนางเช่นกัน

“ข้าเพิ่งจะเก้าขวบ ยังเด็กนัก มิมีทางอ้วนเป็นหมูหรอกน้องสี่” เขาบ่นออกมาก่อนที่จะคำนับพี่ชายใหญ่และพี่ชายรอง

“ตามสบาย พวกพี่คงมิได้มารบกวนเวลานอนของเจ้าหรอกใช่ไหมลู่เอ๋อร์” ฉีอันหลงผู้เป็นพี่ชายใหญ่วัยสิบสามปีเอ่ยถามออกมายิ้มๆ

“หามิได้ขอรับท่านพี่ ข้าตื่นพอดี” เขาตอบพี่ชายใหญ่ยิ้มๆ ก่อนที่จะเหล่ตาไปมองน้องเล็กที่ส่งยิ้มน่ารักมาให้

“พวกพี่จะมาต่อบทกวีกัน เจ้าสนใจหรือไม่”

ฉีอันลิ่งเอ่ยถามน้องสามของตน และคำตอบที่ได้คือฉีอันลู่พยักหน้าให้เขา เพราะน้องสามของเขาก็ชื่นชอบการต่อบทกวีเช่นกัน รวมไปถึงการเล่นดนตรีด้วย

“แล้วฉินนั่น ผู้ใดจะเล่นกันหรือขอรับ” ฉีอันลู่เอ่ยถามออกมาอีกครา

“น้องเองเจ้าค่ะ”

ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้พี่สามอีกครั้งก่อนที่สี่คนพี่น้องจะเริ่มต่อบทกวีกันในศาลาริมน้ำที่มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ เสียงฉินที่ถูกบรรเลงโดยฉีอันหนิงทำให้พี่ชายทั้งสาม รวมไปถึงสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ของพวกตนต่างพากันเคลิบเคลิ้มไปกับความไพเราะของท่วงทำนอง

การต่อบทกวีและเล่นดนตรีของสี่คนพี่น้องยาวนานเกือบหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่ฉีอันหลงและฉีอันหนิงจะพากันไปยังสนามตีคลีเพื่อฝึกขี่ม้าต่อ ทั้งสองเอ่ยชวนฉีอันลิ่งและฉีอันลู่ให้ไปด้วยกันแล้ว แต่ทว่าเด็กชายทั้งสองนั้นรู้สึกเกียจคร้าน อยากจะนอนพักผ่อนมากกว่า ฉีอันหลงจึงพาน้องเล็กอย่างฉีอันหนิงไปฝึกขี่ม้าต่อตามที่ได้สัญญากับนางเอาไว้

ร่างเล็กของเด็กหญิงที่กำลังควบขี่ม้าตัวขนาดกลาง ชุดฮั่นฝูสีฟ้าปลิวไสวไปตามแรงลมที่ปะทะกับร่างเล็กของนาง ถึงแม้ว่าฉีอันหนิงจะสามารถขี่ม้าด้วยตนเองแล้ว แต่ทว่าความปลอดภัยของนางก็สำคัญ ลุงลู่คอยสอดส่องดูแลคุณชายและคุณหนูสกุลฉีอยู่มิห่าง เขามองไปคุณหนูสี่ด้วยสายตาชื่นชม นางอายุยังน้อยแต่ทว่ากลับมีความสามารถมากมาย แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะนางเหมือนกับฉีฮูหยิน เป็นสตรีที่มีดีมิแพ้บุรุษ

“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิดนะขอรับคุณชายใหญ่ คุณหนูสี่”

ลุงลู่ตะโกนบอกคุณชายและคุณหนูที่ดูจะสนุกกับการขี่ม้าจนลืมเวลา ยามนี้ท่านเจ้าเมืองคงจะกลับมาจากการออกไปทำงานแล้ว

“กลับเรืิอนกันเถิดหนิงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก พรุ่งนี้กลับมาจากสำนักศึกษาเราค่อยมาฝึกฝนกันใหม่” ฉีอันหลงเอ่ยชวนน้องสาว ฉีอันหนิงพยักหน้าก่อนที่สองพี่น้องจะขี่ม้ากลับไปหาลุงลู่

บ่าวรับใช้ชายรอรับม้าและพามากลับไปยังคอก ส่วนฉีอันหลงและฉีอันหนิง พร้อมด้วยบ่าวรับใช้ชายหญิงก็พากันกลับเรือนเพื่ออาบน้ำและรอรับประทานมื้อเย็นพร้อมกับบิดามารดาและพี่น้องของตน

ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน และเด็กๆ ทั้งสี่นั่งล้อมวงร่วมรับประทานมื้อเย็นร่วมกันเช่นเดียวกับในทุกๆ วัน อาหารหลากหลายอย่างเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะอาหาร ทุกคนตั้งอกตั้งใจรับประทานโดยที่มิมีผู้ใดกล่าวอันใดออกมา แต่ทว่าเมื่อมื้ออาหารผ่านพ้นไป ใต้เท้าฉีก็มักจะใช้เวลาเหล่านั้นคอยถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของบุตรชายและบุตรีทุกคนเพื่อมิให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและลูกๆ ห่างเหินกันไป โดยเฉพาะบุตรชายคนโตที่อีกไม่นานเขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ

“หลงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำการอันใดบ้าง” เขาเริ่มต้นเอ่ยถามบุตรชายคนโตก่อนเป็นลำดับแรก

“วันนี้ลูกไปขี่ม้าเป็นเพื่อนน้องหญิงสี่ หลังมื้อกลางวันลูกกับน้องๆ ก็พากันต่อบทกวีและฟังน้องหญิงสี่ดีดฉินที่ศาลาริมน้ำขอรับ” ฉีอันหลงรายงานผู้เป็นบิดา

“อืม… เจ้าล่ะลิ่งเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำการอันใดบ้าง” บุตรชายคนรองคือคนถัดมาที่ใต้เท้าฉีเอ่ยถาม

“วันนี้ลูกอ่านบทกวีและหลังมื้อกลางวันลูกก็ได้ต่อบทกวีกับท่านพี่ใหญ่ พร้อมทั้งฟังน้องหญิงสี่ดีดฉินขอรับ” ฉีอันลิ่งรายงานผู้เป็นบิดา ใต้เท้าฉีพยักหน้าก่อนที่จะหันไปถามบุตรชายคนที่สาม

“วันนี้ลูกตกปลาและก็ปิ้งปลากินอยู่ที่ศาลาริมน้ำกับต้าถง หลังจากนั้นลูกก็นอนพักสายตาอยู่หนึ่งก้านธูป ไม่นานพี่ใหญ่ พี่รองและน้องหญิงสี่ก็พากันมาชวนข้าต่อบทกวีกับดีดฉีนขอรับ” เขาตอบกลับมาตามความจริง

“เจ้าก็คงมิต่างจากพวกพี่ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่หนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีถามบุตรีคนเล็กของตนด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าค่ะ วันนี้ลูกฝึกขี่ม้ากับลุงลู่และพี่ใหญ่ สนุกมากๆ เลยนะเจ้าคะ และช่วงหลังมื้อกลางวัน ลูกก็ดีดฉินให้พวกพี่ๆ ฟังด้วยเจ้าค่ะ”

ฉีอันหนิงรายงานสิ่งที่ตนได้กระทำวันนี้ให้กับบิดาได้ฟัง ฉีฮูหยินอมยิ้มน้อยๆ ให้กับความใฝ่รู้ของบุตรี แม้จะกังวลว่าภายภาคหน้านางจะหาสามียาก แต่ในยามนี้เพียงแค่ได้เห็นว่าฉีอันหนิงได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว

“พ่อได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ พวกเจ้าแยกย้ายกันกลับห้องไปพักผ่อนเถิด”

ใต้เท้าฉีส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้กับบุตรชายและบุตรีทั้งสี่พร้อมทั้งเอ่ยออกมา เด็กๆ ทั้งสี่จึงคำนับลาเขาและภรรยา ก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะเดินนำน้องๆ ออกจากห้องนี้ แล้วเด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปยังห้องนอนของตนโดยมีบ่าวรับใช้คนสนิทของแต่ละคนคอยติดตามไปดูแล

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 47 - 1 ความสุขที่แท้จริงกว่าการเป็นยอดหญิง (อวสาน)

    ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 47 ความสุขที่แท้จริงกว่าการเป็นยอดหญิง

    ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 46 - 1 ข่าวดีที่ไม่ต้องรอนาน

    ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 46 ข่าวดีที่ไม่ต้องรอนาน

    ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 45 - 1 ทำในสิ่งที่อยากทำ

    ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 45 ทำในสิ่งที่อยากทำ

    สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status