/ โรแมนติก / อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง / ตอนที่ 6 ความชอบที่ต่างกัน

공유

ตอนที่ 6 ความชอบที่ต่างกัน

last update 최신 업데이트: 2025-02-04 09:45:02

หนึ่งปีต่อมา

ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีกำลังขี่ม้าแข่งขันกับร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสี่ปี เสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ที่ข้างสนามทำให้สองพี่น้องชะลอความเร็วของม้าลง และค่อยๆ ขี่ม้ากลับมายังข้างสนาม ที่ซึ่งมีลุงลู่ ซุนซุน และหวงเทายืนอยู่ บ่าวชายรับม้าก่อนที่จะพาไปยังคอกม้า ส่วนคุณชายใหญ่และคุณหนูสี่ก็เดินนำทั้งลุงลู่และบ่าวรับใช้ทั้งสองกลับไปยังเรือนใหญ่

“เป็นเช่นไรบ้างหลงเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ

“ก้าวหน้ามากขึ้นแล้วขอรับท่านพ่อ อีกหกปีข้างหน้า ลูกว่าคงมิมีผู้ใดเอาชนะการตีคลีของสกุลฉีไปได้แล้วล่ะขอรับ” ฉีอันหลงตอบบิดาพลางมองหน้าน้องสาววัยแปดปี

“ท่านพ่อ… ลูกยังอยากศึกษาวิชาการยิงธนูด้วยเจ้าค่ะ" คำขอที่ดังออกมาจากริมฝีปากเล็กของบุตรีทำเอาท่านเจ้าเมืองที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มถึงกับต้องชะงักมือ

“เจ้าแน่ใจหรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรีของตนออกมาเพื่อความแน่ใจ

“แน่ใจเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกเห็นท่านพี่ทั้งสามได้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู ลูกก็อยากจะฝึกบ้าง” เด็กหญิงวัยแปดปีกล่าวถึงเหตุผลออกมา

“จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่ขี่ม้า ต่อบทกวี ดีดฉิน โยนศร หมากล้อม นางก็เก่งเกินบุรุษแล้วนะเจ้าคะ”

ฉีฮูหยินอยากจะคัดค้าน เพราะเพียงเท่าที่นางเอ่ยมาก็มิมีบุรุษใดในใต้หล้าสามารถเรียนรู้ได้ทุกอย่างเพียงในเวลาไม่กี่ปีเช่นบุตรีของนางแล้ว

“มิเป็นไรหรอกฮูหยิน ให้ลูกของเราได้มีวิชาความรู้ติดตัว เผื่อในอนาคตนางอาจจะได้ช่วยส่งเสริมสามีของนาง” ใต้เท้าฉีบอกภรรยายิ้มๆ

“พ่อเห็นว่าเจ้าสอบได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา เช่นนั้นเรื่องวิชายิงธนูพ่อจะให้เจ้าได้เรียนรู้ไปพร้อมกับพวกพี่ๆ เขาด้วย”

คำตอบของผู้เป็นบิดาทำเอาเด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างออกมา ส่วนมารดาและพี่ชายทั้งสามได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอ็นดู เพราะคงจะห้ามมิได้ ในเมื่อนางอยากเรียนก็ให้นางได้เรียนตามที่นางต้องการ

สำนักศึกษาหลี่ชุน

วันนี้มีการทดสอบการแสดงความคิดเห็นของบรรดาศิษย์ที่เป็นสตรี และฉีอันหนิงก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉีอันหนิงชื่นชอบการได้แสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก นางคิดว่ามิว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็มีความเท่าเทียมกัน มิควรแบ่งแยกเพียงเพราะการที่บุรุษแข็งแรงกว่าหรือตัวโตกว่า เมื่อก่อนอาจจะมีเพียงบุรุษที่สามารถศึกษาหาความรู้และเป็นขุนนางในวังหลวงได้ แต่ในยุคสมัยของนางนี้ ทั้งบุรุษและสตรีได้รับความเท่าเทียมกันมากกว่าแต่ก่อนแล้ว

“วันนี้อาจารย์จะให้พวกเจ้าแสดงความคิดเห็นของพวกเจ้าออกมา ในหัวข้อที่อาจารย์กำหนด” อาจารย์หลี่เอ่ยออกมาที่หน้าห้องเรียน

“เจ้าค่ะ” เหล่าบรรดาลูกศิษย์ตอบรับออกมาพร้อมกัน

“สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ อาจารย์จะให้พวกเจ้าแสดงความคิดเห็นเรื่องสหาย จงบอกถึงสหายที่เจ้าอยากมีและสหายแบบไหนที่เจ้าอยากอยู่ให้ห่างไกล”

อาจารย์หลี่กับอาจารย์ยี่หรุนมองไปรอบๆ ก็พบเห็นว่ามีเด็กหญิงหลายๆ คนหันไปมองหน้ากัน นั่นอาจจะเป็นเพราะมิตรสหายแบบคนข้างๆ ที่พวกนางอยากมี

“อันหนิง ในฐานะที่เจ้าสอบได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา ไหนลองบอกอาจารย์หน่อยได้หรือไม่ว่าสหายแบบไหนที่เจ้าอยากคบหาและสหายแบบไหนที่เจ้าอยากอยู่ให้ไกล”

อาจารย์ยี่หรุนเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาก่อน ฉีอันหนิงยืนขึ้นก่อนที่จะเริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่อาจารย์เอ่ยถามออกมา

“สำหรับศิษย์แล้ว สหายคือคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดแม้จะไม่ได้พบเจอกันอีกแต่ก็ยังคงมีความระลึกถึง มีความปรารถนาดี และมีความหวังดีต่อกันเสมอ มิตรภาพที่เกิดจากความจริงใจไม่หวังผลตอบแทนย่อมดีกว่าการคบหากันเพียงเพราะหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นการคบหาเพียงเช่นนั้น หากวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายหมดประโยชน์ คำว่ามิตรภาพก็หมดลงไปเช่นกันเจ้าค่ะ สำหรับศิษย์แล้วขอเลือกคบหากับสหายที่มีความจริงใจมอบให้มา มิได้เข้าหาศิษย์เพราะหวังผลประโยชน์ใดๆ ส่วนผู้ใดที่เข้าหาเพียงเพราะหวังผลประโยชน์ก็คงยากที่จะได้ใจของศิษย์กลับไปเช่นกัน”

ฉีอันหนิงกล่าวออกมาตามที่ใจคิด นางมิได้หวังคบหากับเพื่อนที่เข้ามาเพียงเพราะเห็นว่านางมีประโยชน์ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว วันที่นางหมดประโยชน์ เพื่อนเหล่านั้นก็จะห่างหายออกไปจากชีวิต

อาจารย์พยักหน้าอย่างถูกใจกับคำตอบ การคบหากันหากมิได้คบหาด้วยความจริงใจแต่ทว่ามีผลประโยชน์ใดแอบแฝง หากเป็นเช่นนั้น ในภายภาคหน้าหากอีกฝ่ายหมดประโยชน์ คำว่าเพื่อนก็คงถูกมองข้ามไปเช่นกัน เสียงปรบมือจากเพื่อนร่วมห้องของฉีอันหนิงดังขึ้น

“เอาล่ะ เอาล่ะ” อาจารย์หลี่ยกมือขึ้นเพื่อให้เด็กๆ หยุดปรบมือและพูดคุยกัน

“ที่อันหนิงกล่าวมาถูกต้องหรือไม่ หากสหายที่เข้ามาคบหากับพวกเจ้าเพียงเพราะมองเห็นประโยชน์จากตัวของพวกเจ้า พวกเจ้ายังจะคิดคบหากับอีกฝ่ายอยู่ไหม เพราะวันหนึ่งที่พวกเจ้าหมดประโยชน์สหายไม่แท้เหล่านั้นก็จะหายไปจากชีวิตของพวกเจ้า” เขาเอ่ยถามบรรดาลูกศิษย์ที่เหลือ

“ถูกแล้วเจ้าค่ะ ไม่ขอคบด้วยเจ้าค่ะ” ศิษย์หญิงตอบออกมาพร้อมกัน

และแล้วการทดสอบแสดงความคิดเห็นของวันนี้ก็ผ่านไป เพราะมิใช่ข้อสอบหากแต่เป็นเพียงการทดสอบสติปัญญาและจิตใจของบรรดาลูกศิษย์เท่านั้น

อาจารย์หลี่และอาจารย์ยี่หรุนต่างพากันพอใจกับสติปัญญาและสภาพจิตใจของเด็กๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่งดงามในวันข้างหน้า พื้นฐานของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่พวกตนยกเรื่องมิตรสหายมาให้เด็กๆ ได้แสดงความคิดเห็นออกมาก็เพื่อที่จะเป็นการแนะนำแนวทางในการคบหากันให้เด็กๆ ได้เข้าใจ ว่าการคบกับผู้ใดนั้น หากเราหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ในวันที่เขาหมดประโยชน์ต่อตนแล้ว คำว่ามิตรภาพก็จะมลายหายไปเช่นกัน

หลังเลิกเรียน ฉีอันหนิงก็ได้กลับไปเรียนยิงธนูเช่นเดียวกับพี่ๆ ในคราแรกนั้นนางยังทำออกมาได้ไม่ดี แต่ทว่านางกลับไม่ยอมแพ้ จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์เป็นหนึ่งเดือน เด็กหญิงไปฝึกฝนยิงธนูกับพวกพี่ๆ ทุกวันมิได้เกียจคร้าน จนวันหนึ่งอาจารย์ที่มาสอนให้ทายาทสกุลฉีให้เด็กๆ ทำการทดสอบ เพื่อดูว่าฝีมือก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว และผลที่ได้รับ ฉีอันหนิงทำการยิงธนูได้เข้าเป้ามากกว่าพี่รองของนางเสียอีก เพราะอีกฝ่ายนั้นถนัดบุ๊นมากกว่าบู๊ ชอบบทกวีและดนตรีมากกว่าการขี่ม้าหรือยิงธนู

“ทำได้ดีมากอันหนิง อีกหน่อยเจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์หญิงคนแรกของข้าที่ยิงธนูแม่นกว่าสตรีใดในเมืองตงหลางนี้แล้วล่ะ”

อาจารย์ชวนเอ่ยชมออกมาด้วยความพอใจเมื่อเห็นทักษะการยิงธนูที่ก้าวหน้าของลูกศิษย์ตัวน้อย อายุเพียงเท่านี้แต่นางกลับแม่นยำนัก อีกหน่อยเติบโตมาคงจะเก่งกาจเกินบุรุษอย่างแน่นอน

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ฝีมือของศิษย์ยังคงต้องฝึกฝนอีกเยอะ” นางถ่อมตนเสมอ มิว่าจะเป็นการเรียนรู้สิ่งใด นางมักจะไม่โอ้อวดตน อาจารย์ชวนพยักหน้าก่อนที่จะส่งยิ้มให้นางอย่างเอ็นดู

ฉีอันหนิงจึงขึ้นหลังม้าตัวเล็กแล้วควบขี่ไปตามทางที่อาจารย์กำหนด ด้านหลังมีกระบอกใส่ลูกธนูที่นางสะพายเอาไว้ มือขวาถือคันธนูเมื่อไปถึงจุดที่อาจารย์กำหนดให้ยิงธนูได้แล้ว ฉีอันหนิงจึงยกคันธนูขึ้นมาก่อนที่จะใส่ลูกธนูแล้วง้างศรยิงสุดกำลัง ลูกธนูพุ่งเข้ากลางเป้าไปอย่างจังเรียกเสียงปรบมือจากทั้งอาจารย์ พี่ชายทั้งสามและบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาดูแลคุณชายและคุณหนูของตน

“อายไหมน้องรอง เจ้าแพ้น้องสี่แล้วนะ” ฉีอันหลงหยอกล้อน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนทันทีที่เห็นน้องเล็กควบขี่ม้ายิงธนูเข้าเป้าทุกเป้า

“ข้ามิอายหรอกขอรับท่านพี่ใหญ่ เพราะข้ามิถนัดเรื่องบู๊เท่าเรื่องบุ๊นเท่าใดนัก น้องหญิงสี่แม้นางยังเด็ก แต่นางกลับชอบศึกษาทุกอย่างที่นางสนใจ ข้านั้นภูมิใจในตัวนางเป็นอย่างยิ่งขอรับ”

ฉีอันลิ่งตอบผู้เป็นพี่ชายด้วยใบหน้าที่แสดงออกมาถึงความภูมิใจยามเมื่อมองไปยังน้องเล็กที่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว

“ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้พี่ก็ดีใจ ชอบสิ่งใดก็จงทำสิ่งนั้นให้ดีเถิด ท่านพ่อกับท่านแม่ของพวกเราท่านเป็นคนมีเหตุผลและสนับสนุนในสิ่งที่พวกเราชอบเสมอ”

พี่ชายใหญ่วางมือเรียวลงบนไหล่เล็กของน้องชายวัยสิบสองปีก่อนที่จะมองไปยังลานขี่ม้าด้านหน้าที่มีน้องสามและน้องสี่กำลังขี่ม้ายิงธนูกันอยู่ ปีหน้าตัวของฉีอันหลงเองก็ต้องไปสอบเคอจวี่แล้ว เขาต้องเรียนรู้ให้หนักขึ้นเพื่อมิทำให้สกุลฉีผิดหวัง การสอบเคอจวี่ครั้งแรกของเขาจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี

“ท่านพี่ น้องเก่งหรือไม่เจ้าคะ” ฉีอันหนิงบังคับม้ากลับมาหาบรรดาพี่ๆ หลังจากยิงธนูบนหลังม้าเสร็จ

“เจ้าเก่งมากน้องหญิงสี่” พี่รองเอ่ยชมออกมาจากใจของเขาจริงๆ

“ท่านพี่รองก็ทำได้ดีแล้วเจ้าค่ะ น้องรู้ดีว่าท่านพี่มิได้ชอบการขี่ม้ายิงธนู เช่นเดียวกับพี่สามก็มิได้ชอบเช่นกัน”

แต่ที่พี่รองและพี่สามต้องเรียนรู้ไปด้วยเพราะท่านพ่อเป็นผู้สั่งการลงมาว่าให้บุตรชายทั้งสามมีวิชาขี่ม้ายิงธนูติดตัว ฉีอันหนิงจึงได้ผลประโยชน์ในครั้งนี้ไปด้วย

“แต่เจ้าสามก็ยังฝีมือดีกว่าพี่ ขี่ม้าได้เก่งกว่าพี่เสียอีก เจ้าอย่าชมให้พี่ได้ใจไปเลยน้องหญิง เรื่องบู๊พี่ขอยอมแพ้ แต่ถ้าหากเป็นบุ๊นละก็พี่สู้ตาย” สามพี่น้องหัวเราะออกมา ฉีอันลู่ที่เพิ่งยิงธนูเสร็จหันกลับมามองก็นึกว่าพี่น้องหัวเราะใส่ตนที่ยิงธนูพลาดจึงควบม้ากลับมาหา

“ข้าฝีมือห่วยเอง ถึงพวกท่านมิหัวเราะเยาะข้า ข้าก็รู้ตัวของข้าดี” เขาทำหน้าจ๋อยลงแต่เมื่อได้ยินประโยคที่ท่านพี่ใหญ่บอกเขาจึงยิ้มออกมาได้

“ใครบอกว่าพวกพี่หัวเราะเยาะฝีมือการยิงธนูของเจ้า พวกพี่หัวเราะเยาะพี่รองของเจ้าต่างหากที่บอกว่าเรื่องบู๊เขายอมแพ้ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุ๋นเขาสู้ตาย”

“พี่สามเก่งแล้วเจ้าค่ะ ทำในสิ่งที่ท่านมิชอบได้ขนาดนี้” ฉีอันหนิงลงจากหลังม้าแล้วส่งเชือกให้กับบ่าวชายเพื่อนำม้ากลับไปยังคอก

“พวกเจ้าเก่งทุกคนนั่นแหละ แต่ทว่าความเก่งของพวกเจ้าทั้งสี่นั้นแตกต่างกัน อย่าได้คิดมากไปเลย มิใช่ทุกคนที่จะเกิดมาแล้วจะเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ของพวกนี้มันอยู่ที่การฝึกฝนและความเอาใจใส่ รวมไปถึงความชอบ อาจารย์เข้าใจ ท่านเจ้าเมืองท่านพ่อของพวกเจ้าก็มิได้บังคับให้อาจารย์ทำให้พวกเจ้าชอบในสิ่งที่อาจารย์สอนไป เขาเพียงอยากให้พวกเจ้ามีวิชาความรู้ด้านนี้ติดตัวเอาไว้ เผื่อในอนาคตจะได้ป้องกันตนเองและคนที่พวกเจ้ารักได้” อาจารย์ชวนที่เพิ่งเดินมาหาเด็กๆ เอ่ยขึ้นมา ศิษย์ทั้งสี่ยกมือขึ้นมาคำนับเขาพร้อมๆ กัน

“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิด วันนี้ทำได้ดีแล้ว มิต้องกดดันตนเอง”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”

ลูกศิษย์ทั้งสี่ขานรับออกมาพร้อมกัน เมื่ออาจารย์ชวนเดินจากไปสี่คนพี่น้องก็พากันนั่งพักอยู่ที่ศาลาพากันต่อบทกวีอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงพากันกลับจวน

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 47 - 1 ความสุขที่แท้จริงกว่าการเป็นยอดหญิง (อวสาน)

    ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 47 ความสุขที่แท้จริงกว่าการเป็นยอดหญิง

    ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 46 - 1 ข่าวดีที่ไม่ต้องรอนาน

    ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 46 ข่าวดีที่ไม่ต้องรอนาน

    ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 45 - 1 ทำในสิ่งที่อยากทำ

    ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ

  • อันหนิง...ยอดหญิงแห่งตงหลาง   ตอนที่ 45 ทำในสิ่งที่อยากทำ

    สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status