สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนาน
เด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที “ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน “ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก” ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน “เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเจ้าถึงจะมิได้ออกไปสู้รบแต่ก็มีความสำคัญต่อราชวงศ์มาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว และแน่นอนว่าเจ้าจักต้องเก่งกาจมิแพ้บรรพบุรษของเจ้าอย่างแน่นอนมู่เฉิน” อาจารย์เฟยเอ่ยชมพร้อมถึงกล่าวถึงตระกูลของศิษย์หนุ่มที่ใครๆ ในเมืองตงฉวนต่างก็รู้จักดี ซ่งมู่เฉินคร้านจะเอ่ยออกมาจึงได้แต่ส่งยิ้มให้กับท่านอาจารย์ก่อนที่เขาจะฝึกซ้อมต่อไป เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการทดสอบเขาจึงต้องพยายามฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด ความมุ่งมั่นและความพยายามของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เขาผ่านการทดสอบอย่างง่ายดาย มิมีผู้ใดในรุ่นที่สามารถเอาชนะเขาได้ เขาคือผู้ที่ฮ่องเต้แคว้นโจวหนานทรงทำการคัดเลือกเองมากับมือ เพราะนอกจากบุคลิกของเด็กหนุ่มผู้นี้จะสุขุมนุ่มลึกแล้ว เขายังมีความฉลาดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทายาทคนโตสกุลมู่ ซ่งมู่เฉินผู้นี้นั้นมิได้เก่งเพียงแค่บู๊เท่านั้น เขายังมีความเก่งกาจในเรื่องบุ๊นอีกด้วย ซึ่งหากยากนักในราชสำนักในยุคสมัยนี้ “อันดับที่หนึ่งแห่งการทดสอบความพร้อมในคราวนี้คือซ่งมู่เฉิน” อาจารย์ที่เป็นผู้คุมการทดสอบในครั้งนี้ประกาศผลออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี “ยอดเยี่ยมไปเลย” บรรดาสหายที่เป็นมิตรกับเขาเอ่ยชมเชยออกมาจากใจจริง “ขอบใจพวกเจ้ามาก แต่ข้าว่าพวกเจ้าก็ยอดเยี่ยมมิแพ้กัน” ซ่งมู่เฉินบอกสหายเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความจริงใจ กลุ่มเด็กหนุ่มที่อิจฉาในฝีมือของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำได้แค่เพียงอิจฉาเขาก็เท่านั้น เพราะมิว่าผู้ใดในวัยรุ่นก็มิสามารถเอาชนะเขาได้สักคน เด็กหนุ่มส่วนมากจึงเลือกที่จะมองข้ามมากกว่าการจะหาเรื่องอีกฝ่าย “อีกสองข้างปีหน้าอาจารย์จะส่งพวกเจ้าไปประจำการอยู่แต่ละหน่วยที่มีฐานที่ตั้งอยู่ตามเมืองต่างๆ พวกเจ้าทุกคนคงจะรู้ถึงความหมายของการเป็นหน่วยพิเศษนั้น มีหน้าที่ต้องทำ และห้ามเปิดเผยตัวตนว่าพวกเจ้านั้นทำงานอยู่หน่วยใด” “ขอรับ” เหล่าลูกศิษย์ตอบออกมาพร้อมกัน “ถ้าเช่นนั้นวันนี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยฝึกซ้อมกันใหม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าลูกศิษย์จึงยกมือขึ้นมาคำนับลาอาจารย์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนในที่ของตน “มู่เฉิน นี่เจ้าจะกลับเมืองตงหลางหรือไม่” เพราะผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งถึงที่ยี่สิบจะได้สิทธิ์ในการกลับบ้าน ซ่งมู่เฉินได้ลำดับที่หนึ่ง จึงเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาได้รับสิทธิ์นั้น “นั่นสิขอรับคุณชาย ท่านจะกลับไปยังเมืองตงหลางหรือไม่” ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามเขามาจากเมืองตงหลางเอ่ยถามออกมาบ้าง “กลับสิ… ข้าคิดถึงน้องสาว และอยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าด้วย” อนาคตหัวหน้าหน่วยพิเศษเอ่ยออกมา “น้องสาว… เจ้ามีน้องสาวด้วยเหรอ” สหายคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มีสิขอรับ คุณชายของข้าน้อยมีน้องสาวอายุห่างกันหลายปี แต่นางหน้าตามิต่างจากคุณชายเลยขอรับ” จูจงฉีรีบตอบแทนคุณชายของตน “เช่นนั้นข้าขอจองนางไว้ก่อนได้หรือไม่” เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลามิแพ้กับคุณชายสกุลซ่งเอ่ยออกมาทันทีแบบมิต้องคิด เพราะถ้าผู้ใดได้เกี่ยวดองกับตระกูลซ่งนั้นนับว่าจะกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของแคว้นโจวหนานเลยก็ว่าได้ “คงมิได้… เห็นท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าจะให้นางออกเรือนไปกับบุรุษที่อาศัยอยู่ที่เมืองตงหลาง บุรุษต่างเมืองเช่นเจ้าคงไม่มีหวัง” เขาตัดสัมพันธ์กับเพื่อนตรงหน้าโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะอีกฝ่ายนั้นมีเสน่ห์แพรวพราว หากน้องสาวของตนออกเรือนไปกับเพื่อนผู้นี้มีหวังจะได้พบกับความทุกข์มากกว่าความสุขเป็นแน่ “ฮ่าๆๆๆ ข้าก็พูดเล่นไปเช่นนั้นแหละ สตรีเมืองต้าหนานหลายสกุลที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเตรียมไว้ให้เลือก เหตุใดข้าจักต้องไปเป็นเขยต่างเมืองด้วยล่ะ” เพราะไม่อยากให้เสียหน้า เด็กหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา ซ่งมู่เฉินยิ้มเย็นก่อนที่เขาและจูจงฉี ลูกน้องที่ซื่อสัตย์จะพากันเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อกลับไปเตรียมตัวที่ห้องของตน สำหรับการเดินทางกลับเมืองตงหลางในวันรุ่งขึ้น วันต่อมาซ่งมู่เฉินและเพื่อนร่วมหน่วยที่สอบผ่านลำดับหนึ่งถึงยี่สิบได้เดินทางกลับไปยังเมืองของตนเพื่อเยี่ยมเยือนครอบครัว ก่อนที่จะต้องเดินทางกลับมาฝึกฝนต่อ จูจงฉีนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายซ่งมานานตั้งแต่เขาจำความได้ จูงจงฉีจึงถูกส่งมาคอยดูแลซ่งมู่เฉินและมีโอกาสได้เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ เขาผ่านการทดสอบเป็นลำดับที่สิบห้า “คุณชายขอรับ นายท่านกับฮูหยินให้ข้าน้อยมารอรับคุณชายขอรับ” บ่าวรับใช้ที่เดินออกมาจากรถม้าของจวนสกุลซ่งรับคำนับคุณชายใหญ่และเอ่ยขึ้นมาทันที “ท่านพ่อท่านแม่รู้ได้เช่นไรว่าข้าจะได้กลับไปวันนี้” ซ่งมู่เฉินรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย ว่าเพราะเหตุใดบิดาและมารดาของตนถึงได้ทราบว่าเขาจะได้กลับเมืองตงหลางในวันนี้ “คุณชายขอรับ… ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านอาจารย์หยุ่นซีเป็นสหายสนิทกับท่านพ่อของท่าน” จูจงฉีไขข้อข้องใจของคุณชายใหญ่ออกมา ซ่งมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นจึงเดินไปขึ้นรถม้าแต่โดยดี จูจงฉีเดินตามคุณชายไปก่อนที่รถม้าของจวนสกุลฉีจะมุ่งหน้ากลับเมืองตงหลาง เมืองซึ่งอยู่ห่างจากเมืองตงฉวนอยู่หลายร้อยลี้ จวนสกุลซ่ง วันนี้ฉีอันหนิงได้มาเยือนจวนสกุลซ่งเพราะคำเชิญของซ่งเจียวซิน คุณหนูรองของที่นี่ ใต้เท้าซ่งและฮูหยินซ่งต่างพากันต้อนรับบุตรีคนเดียวของท่านเจ้าเมืองด้วยความยินดี สองสามีภรรยารู้สึกเอ็นดูในความช่างเจรจาของเด็กหญิงอยู่ไม่น้อย เพราะนางดูมีทั้งไหวพริบและสติปัญญา อีกทั้งยามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่นางก็ดูสำรวมมิเหมือนกับเด็กหญิงสกุลอื่นที่แยกแยะมิได้ว่ายามไหนควรกระทำแบบไหน “คุณหนูฉี น้าได้ข่าวว่าเจ้าขี่ม้าเก่งจริงหรือไม่" ซ่งฮูหยินเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้แต่บุตรีของนางยิ่งขี่ม้ามิได้ “จริงเจ้าค่ะท่านน้า หลานเรียนไปพร้อมๆ กับเหล่าพี่ชายของหลานเองเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงวางขนมกุ้ยฮวาลงก่อนที่จะตอบมารดาของสหายคนสนิท “ท่านเจ้าเมืองเลี้ยงลูกได้ดียิ่งนัก นี่เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้ายิงธนูเป็นด้วย” ใต้เท้าซ่งชมท่านเจ้าเมืองออกมาอย่างมิปิดบัง ก่อนที่จะเอ่ยถามเด็กหญิงกลับไปด้วยความสนใจ “เจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงยิ้มก่อนที่จะตอบออกมา สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มจางๆ ออกมา ในเมืองตงหลางนี้คงมิมีผู้ใดเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ตระกูลซ่งเท่ากับนางอีกแล้ว “ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” ใต้เท้าซ่งเอ่ยออกมาก่อนที่จะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เขายอมรับว่าใต้เท้าฉีนั้นเลี้ยงดูลูกๆ ได้ดี และมีหลากหลายตระกูลไม่น้อยในเมืองตงหลางที่อยากจะเกี่ยวดองกับสกุลฉี “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ลูกขอพาอันหนิงไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในจวนนะเจ้าคะ” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่านั่งพูดคุยกับบิดาและมารดาของตนมาสักพักแล้ว อีกอย่างนางเองก็คิดว่าฉีอันหนิงก็คงจะมิอยากนั่งนิ่งอยู่เช่นนี้แล้วเป็นแน่ “อ้อ… ได้สิ ไปกันเถอะลูก หนิงเอ๋อร์ เดี๋ยวเจ้าอยู่รับประทานมื้อกลางวันที่บ้านของน้าก่อนหนา แล้วค่อยกลับจวน” ใต้เท้าซ่งตอบบุตรสาวก่อนที่จะหันไปบอกกับเด็กหญิง “เจ้าค่ะ...ท่านน้า” เด็กหญิงทั้งสองคำนับลาผู้ใหญ่ก่อนที่จะพากันเดินออกจากบริเวณเรือนรับรองไปยังสวนดอกไม้ในจวนโดยมีซุนซุนและซูฉี สาวรับใช้ของคุณหนูทั้งสองเดินตามนางทั้งสองไปไม่ห่าง สวนดอกไม้จวนสกุลซ่งมีดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง ร่างเล็กของเด็กหญิงทั้งสองจับมือกันเดินเคียงข้างกันเข้าไปในสวนที่มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวลมาจากทั้งสองข้างทาง ซ่งเจียวซินพาฉีอันหนิงหยุดนิ่งก่อนที่นางจะเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาส่งให้กับเพื่อนสนิทได้ดม “หอมจัง…” เสียงเล็กดังออกมาจากริมฝีปากสีชมพู “ใช่… นี่เป็นดอกไม้ที่ท่านพี่ของเราชอบมากเลยนะ” ซ่งเจียวซินบอกกับเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายของตน “ท่านพี่ของเจ้าจะกลับมาเยี่ยมท่านน้าอีกเมื่อใดกัน” ฉีอันหนิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสนใจ เพราะนางยังมิเคยได้มีโอกาสพบหน้าพี่ชายของเพื่อนสนิทเลยสักครั้ง “ข้าก็มิอาจรู้ได้ แต่เห็นท่านพ่อบอกว่าเมื่อวันก่อนท่านพี่ส่งสารมาบอกว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้เพราะท่านพี่ของข้าผ่านการทดสอบได้ลำดับที่หนึ่ง” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นยามเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นพี่ชายที่ไม่ได้พบเจอกันมานานเกือบสองปี “ท่านพี่ของเจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ฉีอันหนิงเอ่ยชมพี่ชายของเพื่อนออกมาจากใจ “ท่านพี่ของเจ้าก็เก่งอันหนิง” คุณหนูรองสกุลซ่งเอ่ยชมพี่ชายอีกฝ่ายกลับเช่นเดียวกัน “อีกสองปีท่านพี่ใหญ่ของข้าก็จะไปสอบเค่อจวี่แล้ว ข้าก็หวังให้เขาสอบผ่านได้เป็นขุนนางเช่นเดียวกับท่านพ่อของข้า” ซ่งเจียวซินพยักหน้า นางเชื่อว่าพี่ชายใหญ่ของฉีอันหนิงนั้นจะต้องสอบผ่านและได้เป็นขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างแน่นอน ก็อยู่ที่สำนักศึกษาเขามีผลการเรียนโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใด เรียกว่าได้ลำดับที่หนึ่งในหมู่ศิษย์ที่เป็นชายเลยก็ว่าได้ เด็กหญิงทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนที่จะพากันเดินต่อไปจนหยุดอยู่ที่ศาลาริมน้ำ สระบัวของจวนสกุลซ่งทำให้ฉีอันหนิงรู้สึกผ่อนคลาย ดอกบัวสีชมพูมีทั้งดอกตูมและดอกบาน ภู่ภมรก็บินตอมราวกับกำลังหาน้ำหวานจากบัวเหล่านั้น ซูฉีรินน้ำชาให้กับคุณหนูทั้งสอง ก่อนที่สาวรับใช้ในจวนจะนำของว่างมาให้กับคุณหนูรองและสหายของนางได้รับประทานระหว่างที่นั่งพูดคุยกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น