มันมีทางออกอยู่ สำหรับปัญหานี้ผมพยายามหาทางออกในสองวันที่ผ่านมา แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่านั่นทำให้ผมเศร้าใจนับครั้งไม่ถ้วนที่ผมขยำกระดาษที่มีแต่การแก้ปัญหาที่ผิดในมือทิ้ง ผมต้องแก้มันให้ได้ ทันใดนั้นมีแผ่นกระดาษพุ่งตรงมาที่ใบหน้าผมมันตกลงกระทบกับที่วางปากกา และทำให้ปากกาหล่นกระจัดกระจายอยู่กับพื้นนี่มันคืออะไร?ผมมองออกไปที่ระเบียงที่เปิดโล่งที่ซึ่งกระดาษนั้นพุ่งเข้ามาจากไหนก็ไม่รู้ผมเดินออกไปไม่พบใครอื่นนอกจากเวโรนิกา ที่อยู่นอกระเบียง ภายใต้แสงไฟถนนเธอโบกมือมาที่ผม...อย่างตื่นเต้น สาวคนนี้นี่ช่าง...ผมกลับเข้าไปหยิบกระดาษที่เธอเพิ่งเหวี่ยงใส่เข้ามา และพบว่ามีก้อนกรวดอยู่ข้างใน กระดาษถูกเขียนด้วยลายมือที่เลอะเทอะว่า...ลงมาสิผมหันกลับไปมองนาฬิกาก็พบว่านี่สามทุ่มแล้ว มันเป็นวันเสาร์ ผมเดินกลับไปที่ระเบียงเพียงเพื่อจะพบว่าเธอกำลังรอผมอยู่ เดินเตะเท้าเล่นไปตามทางเท้า เธอมองมาที่ผมและในทันทีรอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอขณะที่เธอชี้มาที่ผมให้ผมลงไปหาแต่ผมส่งสัญญาณกลับไปว่าเธอควรกลับหอพักได้แล้วนี่มันดึกแล้วและฉันจะไม่ลงไป แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนดื้อรั้นที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิต เธอห
“เล่นรถไฟเหาะเป็นยังไงบ้าง” เธอถามขณะที่ผมนั่งบนม้านั่ง และเธอก็นั่งลงข้างๆตามผม “มันน่ากลัวมากสำหรับฉัน” ผมพูดและถอนหายใจโดยไม่อยากจะต้องผ่านประสบการณ์แบบนั้นอีก"จริงเหรอ?"“อืม” แต่ผมคิดว่าในขณะเดียวกันนั้นมันก็ทำให้ผมดีใจ” ผมต้องยอมรับว่าถึงแม้จะน่ากลัวแต่ก็ยังทำให้ดีใจได้ ความหวาดกลัวทำให้รู้สึกตื่นเต้นและมันน่าแปลกนะที่จะรู้สึกกลัวและตื่นเต้นไปพร้อมๆกันได้ คุณรู้ว่าคุณกำลังจะกลัวอย่างไร้เหตุผล แต่คุณอยากลองมันและต้องการสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นแปลกมาก!“เยี่ยมเลย ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ” เธอพูดขณะชี้ไปที่เครื่องเล่นอีกคัน ขณะที่ผมรู้สึกว่าเลือดกำลังไหลลงบนใบหน้า ฉันก็ลุกขึ้นจากที่พร้อมจะกลับแล้ว “ฉันว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะ และมันก็ดึกมากแล้ว กลับบ้านกันเถอะนะ” ผมบอกกับเธอ และระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับ ผมได้ยินเธอหัวเราะดังมาก“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” เธอหัวเราะ ผมมองไปที่เธอ หรี่ตามองปฏิกิริยาของเธอ “แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามนายเห็นด้วยไหมว่าการได้อยู่ที่นี่มันวิเศษมาก” เธอถาม และก็ไม่รู้ว่าทำไม ผมลูบมือตัวเองแล้วมองไปทางเธอ ผมไม่รู้ว่าผมชอบเจ้าเครื่องเล่นนี้เหล่านี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆค
ทุกคนยืนนิ่งไว้อาลัยให้กับมิสเตอร์จอห์น ดาร์วิน คณบดีของมหาวิทยาลัยของเรา มันเป็นวันที่มืดมนของคนทั้งมหาวิทยาลัยเพราะเรารู้ว่าเขาฆ่าตัวตายโดยจ่อปืนยิงไปที่หน้าผากของเขาเขาทิ้งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือซึ่งเขาบอกกับทุกคนว่าเขารู้สึกหดหู่ใจและเขาได้ทำลายชีวิตของผู้คนมากมายมาทั้งชีวิต ตอนนี้ เมื่อเขาแก่ตัวลง สิ่งนี้กำลังกัดกินเขาอยู่ข้างใน และในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองส่วนอาคารเรียนของเรานั้น เพลิงไหม้เกิดจากการที่ไฟ้ฟ้าลัดวงจรในห้องแล็บเคมีทำให้เกิดเพลิงไหม้ ตำรวจกำลังสอบสวนในเรื่องนี้ ชั้นเรียนถูกระงับจนกว่าพวกเขาจะเตรียมอาคารอื่นให้พร้อมสำหรับการเรียนการสอน ซึ่งปกติจะใช้เวลาสองถึงสามวัน ทุกคนดูตกใจเมื่อพบว่าคณบดีเสียชีวิต ในขณะที่บางคนพูดว่า มันช่างโชคร้ายเสียจริงๆ บางคนที่ใกล้ชิดกับคณบดีผู้ที่ยังไม่แต่งงาน กล่าวว่าคณบดีสมควรได้รับมันไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ผมก็เชื่อว่ามันไม่ถูกต้อง ทำไมเขาต้องฆ่าตัวตาย? เขาไปทำอะไรมา อะไรที่กัดกินชีวิตเขาและทำให้เขาเป็นโรคซึมเศร้า? ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ผมเชื่อว่าการจบชีวิตไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สร้างความเจ็บ
“แกคิดว่าแกยิ่งใหญ่มาจากไหนเหรอฮะ?” ผมถูกผลักกระแทกเข้ากับประตูห้องน้ำอย่างรุนแรง และต้องก็สะดุ้งขึ้นด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเจ็บที่ข้างลำตัว มันเหมือนคนที่กระหายน้ำวิ่งไปที่โอเอซิสกลางทะเลทราย ดื่มน้ำเพื่อต้องการดับกระหาย เป็นแบบเดียวกับที่เอลเลียตตั้งเป้าหมายในชีวิตของเขาว่า เขาจะวิ่งมาหาผมเพื่อดับความบ้าคลั่งในตัวของเขา“จะทำอะไรน่ะ” ผมพึมพำหรือพยายามจะพูด แต่เพราะเขาจับคอเสื้อฉันไว้ซึ่งทำให้ผมหายใจไม่ออก“หุบปาก! ไอ้เนิร์ด! ฉันสังเกตว่านายเริ่มโตแล้วตั้งแต่วันที่นังนั่นโผล่มา!” เอลเลียตคำรามในตอนท้าย และผมก็รู้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร“อย่ามายุ่งกับเวโรนิกาในเรื่องนี้” ฉันพูดอย่างยากลำบาก แล้วเขาก็หรี่ตามาที่ฉัน "โอ้! มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างแกสองคนสินะ" เขามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฎบนใบหน้าของเขา ฉันใช้เวลาในการดันมือของเขาออกจากคอเสื้อและฉันก็หอบหายใจแรงและไอออกมาเล็กน้อย 'นายคิดผิดแล้ว! เธอเป็นเพื่อนของฉัน” ฉันบอกเขาและนั่นทำให้เขากลอกตาไปมา“คิดว่าฉันโง่เหรอ?” เขาพูดฉันมองขึ้นไปที่เขา“แน่นอน ฉันรู้ ไม่มีอะไรระหว่างแกสองคน และไม่มีทางเป็นอะไรกัน แกเคยเห็นตัวเองในกระจกไหม ไอ้เนิร์ด!
วันนี้ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันสุดท้ายในปีการศึกษาของเราผมยืนอยู่หน้ากระจกกำลังผูกเนคไทประตูเปิดออกและจุงเดินเข้ามาอย่างเศร้าสร้อยขณะที่เขาผูกเนคไทที่คอของเขา“นายทำอะไรอยู่” ผมถามขณะทิ้งเนคไทไว้บนเก้าอี้แล้วหันกลับมามองเขา "โอ้?" เขามองมาที่ผม มองจากหัวจรดเท้าแล้วเป่าปาก “ให้ตายเถอะ! นายดูดีมาก” เขาบอกผม ผมยิ้มขณะที่หันหลังให้กระจกและขยับชุดของผมให้เข้าที่ผมเลือกใส่ทักซิโด้สีน้ำเงินกรมท่า ทรงสกินนี และหวีผมเรียบไปด้านหลัง ฉันดูแตกต่างออกไปจากทุกวัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองดูดีหรือแค่ดูแปลกตา“จริงเหรอ ฉันดูดีหรือแค่แตกต่างจากทุกวัน” ผมถามขณะมองจุงผ่านกระจก“นายดูดีในแบบที่ต่างออกไป” เขาบอกผมขณะถอดเนคไทออกแล้วเอามาพันรอบมือ"แล้ววันนี้ใครเป็นคู่เดทของนาย?" เขาถามพลางขมวดคิ้วและผมก็ถอนหายใจ “คิดว่าใครอีกล่ะ” ผมพูดขณะหยิบเนคไทขึ้นมาและผูกไว้รอบคอพอดี ชุดของผมเป็นของขวัญจากแม่ เธอรู้ว่างานพรอมใกล้จะถึงแล้ว และด้วยเหตุนี้ เธอจึงส่งช่างตัดเสื้อของครอบครัวไปที่มหาวิทยาลัย จากนั้นเขาก็วัดขนาดและถามสไตล์การแต่งตัวที่ผมชอบก่อนจะตัดสูทให้"เพื่อนของฉันทำถูกแล้ว! ได้ไปกับผู้หญิงที่เขาชอบ!" จุงหัวเ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกดีใจที่ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งลอนดอน พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหากพ่อแม่ของผมไม่ยอมส่งผมมาที่นี่ ผมก็คงไม่ได้พบกับเวโรนิกา นอกจากการเป็นนักบินอวกาศแล้ว ตอนนี้ผมมีความฝันอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือการได้อยู่กับเวโรนิกาเธอหันกลับมา วันนี้เธอสวมชุดเดรสผ้าซาตินสีน้ำตาลแดงผมดัดเป็นลอนอ่อนๆ และดวงตาคู่นี้ก็ดูสวยมากนั่นอาจจะ เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันเป็นประกาย ผมตกหลุมในความงดงามของเธอในทันที“เว-เวโรนิกา?” ผมพบว่าตัวเองพูดตะกุกตะกัก"อะไร?" เธอหัวเราะ ผมขยับตัวขณะที่ยืนตัวตรงและปรับเนคไทให้เข้าที่ เธอมองมาที่รองเท้าของผมแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตา เป็นการดึงสติผมกลับมาอีกครั้ง และคิดว่าผมดูโอเคหรือไม่“วันนี้มีคนดูเปลี่ยนไปหรือเปล่า” เธอพูดขณะที่เธอหรี่ตาด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “วันนี้เป็นโอกาสพิเศษอะไรเหรอ” เธอขมวดคิ้วและนั่นทำให้ผมหัวเราะและส่ายหัวไปมา และในทันใดผมก็รู้สึกสบายใจขึ้น สติสัมปชัญญะในตัวผมหายไปหมดนานแล้ว“เธอดูน่าทึ่งมาก” ผมจำได้ว่าผมไม่เคยชมเธอตรงๆ และนั่นทำให้เธอยิ้มได้ เธอยิ้มอย่างมีความสุข จนเห็นลักยิ้มบนแก้มที่ผมไม่รู้ว่าเธอมี ซึ่ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกผมให้ตื่นขึ้น ขณะที่กดผมปิดนาฬิกาปลุกและขยี้ตาลุกจากเตียงและเดินไปที่ระเบียงกระจกมองออกไปที่ท้องฟ้า เพิ่งจะตีสี่เท่านั้น แต่นกบินจากไปหมดแล้วอาคารมากมายราวกับมหาสมุทรยังคงตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม ผมยืนนิ่งยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยและกลับเข้าไปอาบน้ำนาฬิกาบอกเวลาตีห้า และด้วยความรีบเร่งผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีเทาและกางเกงสีดำมาสวม ขณะที่ฉันเดินไปที่ประตูหน้า หยิบกุญแจรถเตรียมออกจากบ้านวันนี้เป็นวันที่พ่อแม่ของผมต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อการรักษาของแม่ พ่อของผมดูกระวนกระวายใจตั้งแต่วันที่แม่เดินไม่ได้และสมองของเขาหมกมุ่นแต่เรื่องนี้จนไม่สามารถทำงานได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกระตือรือร้นที่จะทิ้งผมไว้กับบริษัทและพาแม่ไปรักษาที่ต่างประเทศ แพทย์ในนิวยอร์กไม่สามารถวินิจฉัยปัญหาในไขสันหลังของแม่ได้ ซึ่งทำให้แม่เดินไม่ได้ ในขณะที่บางคนบอกว่าเธอเป็นอัมพาต แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนอื่นๆให้ความหวังกับเราว่าเธอจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ หากเธอได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ที่เฉพาะทางพ่อของผมทำหน้าที่ของเขา เขาพยายามทุกอย่างที่จะหาหมอที่เก่งที่สุด และในที่สุดพ่อก็ค้นพบหมอคนนั้น เขาไม่
แฟ้มกองหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะต่อหน้าผมผมมองไปที่โนอาห์ที่ขยับแว่นสายตาของเขาขณะที่ปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากชุดสูทแล้วมองมาที่ผม ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าจากห้องทดลองผมจะต้องย้ายมาทำงานแบบนี้ แม้ว่าทุกคนรอบตัวจะให้กำลังใจว่าผมทำงานได้ดีมากในช่วงสองวันที่ผ่าน แต่มีเพียงผมเท่านั้นที่รู้ว่าสภาพของผมย่ำแย่แค่ไหน ผมต้องขับรถกลับไปที่ห้องแล็บในตอนกลางคืนและนอนค้างที่นั่น และก็ต้องกลับไปที่อพาร์ตเมนต์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับไปที่บริษัท“นี่คือรายงานของผู้ถือหุ้นของ ไนท์ คอร์ป ครับ” เขากล่าวและมองไปที่ไฟล์ก่อนที่จะหยิบขึ้นมาและส่งต่อให้ผม“เริ่มจากอันนี้ก็ได้ครับ” เขาบอกผมถอนหายใจพร้อมกับสวมแว่นและหยิบแฟ้มจากเขาเพื่อตรวจดู มันยากสำหรับผมที่จะรับมือกับการบริหารงานบริษัท แน่นอนว่าผมเคยมาทำงานที่นี่ แต่นั่นก็เป็นแค่งานเล็กๆน้อยๆ และพ่อของผมก็ตระหนักดีถึงสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ จึงไม่มีอะไรผิดพลาด แต่วันนี้ ตอนนี้ ผมคนเดียวที่จะต้องถูกตำหนิหากพบว่ามีข้อผิดพลาดและหากทำบริษัทประสบปัญหา ผมจะเป็นคนเดียวที่ถูกตำหนิและผมก็ไม่ต้องการให้ความอัปยศนี้เกิดขึ้นผมจดจ่อกับงานอย่างหนักและขอบคุณโนอาห์ที่ช่วยผมอย่างมากเข