บ้านวัฒนะพันธ์หลังจากไม่มีตัวซวย บรรยากาศภายในบ้านดูครึกครื้น ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม ไม่ต้องอารมณ์เสียหรือหงุดหงิดใจยามเห็นหน้ากุลธิรัตน์ ลูกหลานแสนเกลียดชัง โดยเฉพาะลัดดา ที่ดูมีความสุขมากที่สุด
“พักนี้คุณแม่ดูอารมณ์ดีนะคะ ยิ้มแย้มทุกวันเลย” อนงค์เอ่ยขึ้น ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
“แน่สิ ฉันไม่ต้องทนเห็นหน้าลูกสาวคนโตของเธอไง เห็นแล้วอารมณ์เสีย” ลัดดาไม่กลั้นความชิงชัง อนงค์ยิ้มบาง หยิบของว่างขึ้นมากิน “ฉันว่าจะหาคู่ให้ลูกแก้ว หล่อนคิดว่ายังไง”
“ลูกแก้วจะยอมหรือคะ รายนั้นน่ะ หัวแข็ง คงไม่ยอมถูกบังคับเหมือนลูกหมีแน่ค่ะ” อนงค์รู้นิสัยลูกทั้งสามคนดีว่า ใครคุมได้และคุมไม่ได้ “ทำไมคุณแม่คิดหาคู่ให้ลูกแก้วล่ะคะ”
“ถ้าได้ครอบครัวคนรวยๆ ฐานะมั่นคงมาเกี่ยวดองด้วย มันก็เป็นเรื่องดีกับเราไม่ใช่เหรอ เวลาล้มก็ยังมีฟูกรองรับ ไม่ได้ล้มบนพื้นแข็งๆ แล้วยังมีคอนช่วยพยุง มีแต่ได้กับได้นะ”
“ถ้าคุณแม่ให้ลูกแก้วไปอยู่กับอิฐ แทนที่จะส่งลูกหมีไป ไม่แน่ว่าเราอาจไม้หลักดีๆ ไว้พยุงตัวนะคะ”
อนงค์ค้านแม่สามีไม่ได้ ใจจริงนางอยากให้คีรยาไปเป็นลูกสะใภ้หิรัญภักดีมากกว่า เพราะทางนั้นอยากได้คีรยาเป็นทุนเดิม จะขออะไรย่อมขอได้
“ฉันเหม็นขี้หน้ามันไงล่ะ ไม่อยากให้มันอยู่ที่นี่ เลยทำอย่างนั้น” ลัดดาบอกตามตรง ซึ่งทุกคนในบ้านหลังนี้รู้ดี “บ้านนั้นโง่ที่ถูกฉันใช้เล่ห์เหลี่ยมก็จริง แต่ไม่โง่ที่จะหลอกเงินเข้ากระเป๋านะ ที่ยอมให้นังลูกหมีเข้าไปอยู่ในบ้าน เพราะเสียเงินไปแล้ว คงไม่อยากให้เสียเงินเปล่า เท่าที่ฉันรู้มา บ้านนั้นก็ไม่ยอมรับมันสักคน มันก็เหมือนคนใช้คนหนึ่ง สมน้ำหน้ามัน สะใจฉันเหลือเกิน”
ความเกลียดชังที่มีต่อกุลธิรัตน์ฝังแน่นมาก มากจนบางครั้ง ดูน่ากลัว อนงค์มองแม่สามีที่แสดงออกถึงความรู้สึกตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่า ลูกสาวคนโตของตนเป็นเพศใด และไม่เคยผ่อนความชิงชังแม้แต่น้อย ทว่านางก็ไม่เคยปกป้องหรือให้ความรัก ความอบอุ่นกุลธิรัตน์ เหมือนลูกอีกสองคน ทำราวกับว่า กุลธิรัตน์ไม่ใช่ลูกตัวเอง
“ค่ะ แล้วแต่คุณแม่ค่ะ”
“ฉันหมายตาผู้ชายลูกผู้ดีมีเงิน แต่หลอกง่ายไว้สองคน แต่ละคนจูงจมูกง่าย เหมาะที่จะเป็นหลานเขยฉัน พวกฉลาดๆ หลอกยากไม่อยากไปยุ่งด้วย” ลัดดาพูดเพิ่มเติม “ส่วนเรื่องที่หล่อนกลัวว่าลูกแก้วไม่ยอม ฉันจัดการเอง ฉันเชื่อว่า ลูกแก้วต้องยอม”
“คุณแม่จะไปงานการกุศลที่คุณหญิงศรีจัดไหมคะ”
“ดูก่อน เพราะฉันไม่ค่อยชอบหน้าคุณหญิงศรีเท่าไหร่”
“ได้ข่าวว่า คนที่จะมาเดินแบบในชุดฟินาเล่เป็นลูกสาวของคุณนิ่ม สวยมากเลยนะคะ” อนงค์ไม่พูดเปล่า นางหยิบมือถือมาเปิดแกลลอรี่ภาพ เลื่อนหาไม่นานนักก็ยื่นมือถือให้แม่สามีดู “สวยไหมคะ หนูคนนี้ชื่อเก็จมณีค่ะ ชื่อเล่นชื่อเมญ่าค่ะ”
ลัดดามองดูภาพสตรีวัยใกล้เคียงกับกุลธิรัตน์ ก่อนขยับตามองลูกสะใภ้
“อืม ก็สวยดีนะ แต่ดูจากแววตา ท่าจะร้ายไม่เบา”
“ก็คงเอาแต่ใจตามประสาลูกคุณหนูน่ะค่ะ ได้ข่าวว่า คุณนิ่มรักและตามใจมากค่ะ” อนงค์พูดไปยิ้มไป มองดูใบหน้าเก็จมณีด้วยความชื่นชม
“ดูท่าทางหล่อนจะปลื้มแม่คนนี้มากเลยนะ ถึงขนาดเซฟเก็บไว้”
“ที่เซฟเก็บไว้ เพราะคุณหญิงสายดูแลเรื่องเครื่องเพชรที่จะให้เหล่านางแบบใส่น่ะค่ะ คุณหญิงเลยส่งรูปนางแบบและชุดมาให้นงค์ ช่วยเลือกเครื่องเพชรที่จะให้พวกหล่อนใส่น่ะค่ะ ว่าเพชรชุดไหนเหมาะกับชุดที่นางแบบใส่ ในมือถือนงค์มีรูปนางแบบทุกคนค่ะ คุณแม่จะดูไหมคะ” อนงค์ตอบแม่สามีให้คลายสงสัย
“ไม่ดูหรอกย่ะ ฉันไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น”
“แล้วคุณแม่ไม่คิดหาผู้หญิงให้ฟิล์มบ้างหรือคะ”
“ก็ดูๆ อยู่ ฉันก็กลัวหลานรักของฉันไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นเมียเหมือนกัน” ขณะพูด สายตามองไปยังมือถืออนงค์ ที่หน้าจอยังเป็นภาพเก็จมณี ความคิดบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัว “ว่าแต่เธอรู้จักคุณนิ่มคนนี้ไหม ที่ฉันถามเพราะเห็นเธอบอกว่า ลูกสาวคุณนิ่มจะได้เดินแบบในชุดฟินาเล่ ถ้าพ่อแม่ไม่ดัง ไม่สำคัญจริง ไม่มีทางได้เดินในงานคุณหญิงศรีแน่ รายนั้นน่ะ เอาใจแต่คนรวย”
“คุณนิ่มพื้นเพเป็นคนเชียงใหม่ค่ะ เป็นแม่เลี้ยงไร่พันดาว หลังจากสามีเสียชีวิตก็ไปๆ มาๆ เชียงใหม่กับกรุงเทพค่ะ เธอไม่ค่อยออกงานค่ะ ค่อนข้างเก็บตัว อาจรู้จักคุณหญิงศรีเป็นการส่วนตัวค่ะ แต่ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน หรือไม่ก็บริจาคเงินเยอะ หนูเมญ่าถึงได้เดินแบบชุดนั้นค่ะ แล้วยังได้สวมเครื่องเพชรชุดสำคัญในงานประมูลด้วยนะคะ”
“เก็บตัวไม่ออกงานนี่เอง ฉันถึงไม่รู้จัก” ลัดดาออกงานสังคมบ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่ารู้จักคนรวย คนมีชื่อเสียงทุกคน ในเมืองไทยคนมีเงินกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ นางรู้จักแค่ในวงสังคมที่ไปร่วมงานนั้นๆ และติดต่อพูดคุยกันบ่อยๆ เท่านั้น “ตอนแรกสองจิตสองใจว่าจะไปงานนี้ดีไหม ตอนนี้ฉันคิดว่า คงต้องไป จะได้รู้จักคนรวยคนอื่นบ้าง เผื่อเจอผู้หญิงถูกใจจะได้ให้มาเป็นเมียฟิล์ม”
อนงค์ไม่ได้กล่าวคำใด หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ หลุบตามองไปยังมือถือ ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม ยามมองคนในรูปภาพ สายตาอนงค์เปี่ยมด้วยความชื่นชม เป็นแววตาที่ต่างกับมองกุลธิรัตน์ลิบลับ ทั้งที่กุลธิรัตน์คือลูกสาวในไส้ของตน
Chapter 6“คุณปู่เหมือนไม่มีทางเลือกให้ผมเลย” เขาเอ่ยเสียงอ่อน“ย่าไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่า คุณปู่ทำแบบนี้ทำไม แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของคุณปู่ หลานก็ทำไปก่อน แต่การเลิกลากันเพราะอยู่กันไม่ได้ คุณปู่คงไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย ใหญ่ไม่ต้องห่วงนะลูก ย่าจะช่วยหลานเอง รับรองมันอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะเมียของใหญ่ได้ไม่นานแน่” นางหาทางโน้มน้าวต่อ“คุณปู่กำหนดวันแต่งงานหรือยังครับคุณย่า”“วันอาทิตย์หน้าจ้ะ” จอมทัพตกใจอีกรอบ เมื่อได้ยินคำตอบ“ทำไมมันเร็วจังครับ ผมมีเวลาทำใจแค่อาทิตย์เดียวเอง”อย่างนี้สินะที่เรียกกันว่า แต่งงานสายฟ้าแลบ หากเป็นงานวิวาห์ที่เขาปรารถนา เร็วกว่านี้เขาก็ยอม ทว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ใช่“คุณปู่บอกว่า เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว รอแค่ใหญ่ยอมแต่งเท่านั้น” สกาวใจเองก็ไม่คิดว่าจะเร็วปานจรวดเช่นนี้ “แต่งเร็วก็ดีนะ มันจะได้กระเด็นออกไปจากบ้านหลังนี้เร็วๆ หลานจะได้ไปแต่งงานกับน้ำหวานไง นะใหญ่นะ ทำตามที่คุณปู่ว่านะลูก”จอมทัพถอนหายใจอีกรอบก่อนจะตอบ“ผมมีทางเลือกด้วยหรือครับคุณย่า คุณปู่ประกาศิตมาซะขนาดนี้” ใช่...ลิขิตไม่ให้ทางเลือกเขาเลย “ผมจะทำตามที่คุณปู่ต้องการ ผมจะทำให้ผู้หญิงค
Chapter 5 สกาวใจเดินมาหยุดหน้าห้องนอนของหลานชาย วันนี้นางตั้งใจจะพูดเกลี่ยกล่อมให้จอมทัพยอมแต่งงาน ถึงแม้ว่าจะหนักใจไม่น้อยกับภารกิจนี้ แต่พอนึกถึงผลประโยชน์ที่ตนจะได้ ทำให้กำลังใจพุ่งสูง แผนการพูดหว่านล้อมก็บังเกิด แล้วคิดว่ามันจะสำเร็จสวยงามตามตั้งใจ ก่อนจะรวบรวมพลังเคาะประตูห้อง อึดใจต่อมาประตูห้องบานนั้นก็เปิดออก “ย่ามีเรื่องจะคุยด้วย ใหญ่พอมีเวลาให้ย่าไหมลูก”จอมทัพชะงักไปเล็กน้อยกับประโยคที่ได้ยิน เพราะตลอดหลายปีมานี้ สกาวใจไม่เคยมาหาเขาที่ห้อง หากจะมีเรื่องคุยก็ไปคุยระหว่างทานอาหาร หรือไม่ก็ในห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นแล้วแต่โอกาส การที่สกาวใจมาหาเขาในวันนี้ ต้องมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วยแน่นอน ในใจคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องการถูกคลุมถุงชน “เชิญครับคุณย่า” สกาวใจก้าวเข้าไปในห้องหลานรัก ทรุดกายลงนั่งบนโซฟาปลายเตียง โดยมีจอมทัพนั่งอยู่ใกล้ๆ “คุณย่ามีอะไรจะพูดกับผมครับ” “ย่าพูดตรงๆ นะใหญ่ ย่าอยากให้ใหญ่แต่งงานตามที่คุณปู่บอก”จอมทัพอึ้งและตกใจ ที่อยู่ๆ สกาวใจก็มาพูดให้เขายอมทำตามความต้องการของลิขิต ทั้งที่เมื่อวานนี้สกาวใจมีทีท่าไม่เห็
Chapter 4 ร้านศรัญญาเบเกอรี่ ร้านกาแฟและเบเกอรี่ขนาดสองคูหาในตึกแถวริมถนนสายธุรกิจที่มีผู้คนพลุกพล่าน มากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นคนไทยและชาวต่างชาติที่สัญจรไปมาตลอดทั้งวัน ส่งเสริมให้ร้านค้าร้านขายต่างๆ ในย่านดีพลอยขายดีไปด้วย ร้านแห่งนี้ก็เช่นกัน มีลูกค้ามาใช้บริการต่อเนื่อง ยิ่งช่วงเที่ยงจะมีลูกค้ามากเป็นพิเศษ ทำให้พนักงานในร้านและเจ้าของร้าน ชงเครื่องดื่มตามออเดอร์แทบไม่ทัน ร้านดังกล่าวเปิดได้เพียงหนึ่งปี แต่มีลูกค้าขาประจำมาซื้อเบเกอรี่ที่มีอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมปังไส้ต่างๆ แยมโรล พายและขนมเค้ก โดยเฉพาะเค้กเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ เนื่องจากเจ้าของร้านทำสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร และนั่นทำให้มีออเดอร์สั่งยาวเหยียดนานหลายเดือน แล้วดูเหมือนว่า ออเดอร์จากลูกค้าจะมีต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีไพลินสาวมั่น ฝีปากกล้า ไม่กลัวคนเดินฉีกยิ้มเข้ามาในร้านอย่างคุ้นเคย หญิงสาวมองลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วยิ้มกับความสำเร็จของเพื่อน ที่นับวันจะมีลูกค้ามากขึ้น ก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ที่มีพนักงานรับออเดอร์ลูกค้า“นก แก้วอยู่ไหม” ไพลินถามหาเพื่อนรักกับดวงกมลพ
Chapter 3“คุณพ่อครับ ผมขอโทษแทนใหญ่ด้วยนะครับ” คนกลางอย่างวิมุต รีบขอโทษบิดาแทนบุตรชาย “ดวงกราบขอโทษคุณพ่อค่ะ ใหญ่อาจจะพูดแรงไปหน่อย เดี๋ยวดวงจะพูดกับใหญ่เองค่ะ” ดวงดาราขอโทษแทนจอมทัพอีกคน ทว่าทีท่าของลิขิตยังคงนิ่งเฉยจนสองสามีภรรยานึกหวั่น“ทุกคนออกไปก่อน พ่อมีเรื่องจะคุยกับแม่”เป็นคำสั่งที่ทุกคนพร้อมจะปฏิบัติตาม วิมุตเดินนำภรรยาและบุตรสาวอีกสองคนเดินออกไปจากห้อง รั้งท้ายด้วยนภาพร“เรื่องที่จะคุยกับฉันมีลับลมคมนัยมากหรือไง ถึงได้ต้องให้ทุกคนออกไปจากห้องนี้”“ผมอยากให้คุณช่วยเรื่องใหญ่” ลิขิตเปิดเรื่อง“ช่วยเรื่องใหญ่” นางทวนคำพูด “จะให้ฉันช่วยพูดกับใหญ่ให้แต่งงานกับผู้หญิงที่คุณหาให้ใช่ไหม”“ใช่”“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ช่วย ฉันเห็นด้วยกับใหญ่ที่ใหญ่น่าจะหาคู่ชีวิตเอง ไม่ใช่ถูกคลุมถุงชนที่ไม่มีใครเขาทำกันแล้ว”สกาวใจเลือกที่จะเข้าข้างหลานชาย สิ่งใดที่สามีคิดว่าดี นางจะค้าน เรื่องใดที่สามีเห็นว่าสมควร นางจะคิดต่างตรงกันข้าม ซึ่งลิขิตนึกอยู่แล้วว่าต้องออกมาในรูปแบบนี้“คุณยังอยากได้ไร่รังสรรค์อยู่หรือเปล่า ถ้าอยากได้ผมจะยกให้ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องช่วยผมพูดกับใหญ่ ให้ใหญ่ยอมแต่งงาน”ข้อเสน
Chapter 2“เอ...แล้วมันเรื่องอะไรกันนะ ใหญ่พอจะรู้ไหมลูก” ดวงดาราหันมาถามบุตรชายที่เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่อยากรู้เรื่องนี้“ผมไม่ทราบครับคุณแม่” จอมทัพตอบตามตรงการสนทนาของคนภายในห้องยุติลง เมื่อลิขิตก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับนภาพรภรรยาน้อย สกาวใจมองค้อนสามี ก่อนจะจิกสายตาใส่นภาพรที่ยกมือไหว้ แต่แทนที่นานๆ จะได้อยู่กันพร้อมหน้าสักครั้ง สีหน้าทุกคนจะชื่นมื่น ตรงกันข้ามกลับมีความอึดอัดลายล้อมไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะสกาวใจ ผู้สูงวัยอายุเจ็ดสิบปีที่ไม่อยากจะมานั่งอยู่ในห้องนี้ แต่ก็จำยอมมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “มีอะไรก็รีบพูดมาดีกว่า ฉันรู้สึกคลื่นไส้เมื่อเห็นหน้าใครบางคน เดี๋ยวความดันฉันขึ้น”สกาวใจเชิดหน้าพูดใส่สามี ปรายตามองนภาพรภรรยาน้อยอย่างเกลียดชัง อยากจะลุกขึ้นไปกระชากผมแล้วตบหน้าให้สาสมกับความคั่งแค้นในจิตใจ“นานๆ ทีจะอยู่กันพร้อมหน้า พูดดีๆ กันไม่ได้หรือไง”ลิขิตอ่อนใจเรื่องนี้ไม่น้อย แล้วรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่สมควรให้อภัย เขาจึงไม่คิดโกรธเคืองในคำพูดของสกาวใจที่มักจะพูดเหน็บแนมและแขวะเนืองๆ“คุณไม่เป็นฉัน คุณไม่รู้หรอกว่าฉันร
Chapter 1กระเป๋าเดินทางหลายใบถูกลำเลียงมาไว้หน้าบ้านไม้สองชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่หนึ่งร้อยตารางวา ก่อนที่เจ้าของกระเป๋าจะเดินออกมายืนรอรถตู้ที่จะรับไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นกับสามีใหม่ของธนวรรณ ที่หอบหิ้วบุตรสาวและน้องสาวไปอยู่ด้วยเด็กหญิงธนัสสรณ์หรือน้ำหวานวัยสิบสองปีหนึ่งในสมาชิกของบ้านหลังนี้ ชะเง้อคอมองไปยังประตูรั้วบ้านไม่วางตา ราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่“มองหาพี่ใหญ่เหรอจ้ะน้ำหวาน” ธนพรน้าสาวเอ่ยถามหลานสาวอย่างรู้ใจ“ใช่ค่ะ พี่ใหญ่สัญญาว่าจะมาส่งน้ำหวาน” ปากเด็กหญิงพูด ทว่าสายตายังคงมองไปยังมองไปยังจุดเดิม“เดี๋ยวพี่ใหญ่คงมา พี่ใหญ่เป็นคนรักษาสัญญา รับปากอะไรไว้ก็ต้องทำตามนั้น” ธนพรปลอบหลานรักพร้อมกับฉีกยิ้มเมื่อเห็นร่างของคนที่ธนัสสรณ์รอคอย เดินเข้ามาในบ้าน “นั่นไง พี่ใหญ่มาแล้ว”ธนัสสรณ์มองคนที่ตนเองรอคอยด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าในใจจะหมองเศร้าที่ต้องจากพี่ชายข้างบ้านที่แสนดีไปอยู่คนละซีกโลก แต่อย่างน้อยก่อนจากลาเธอก็ได้พบหน้าเขา“สวัสดีครับคุณอา” จอมทัพ รุจิเวโรจน์วัยสิบเจ็ดปีพนมมือไหว้เจ้าของบ้าน รวมทั้งธนพร“สวัสดีจ้ะ” ธนวรรณมารด