Share

บทที่ 13

องค์หญิงใหญ่ได้ยินแล้วตะลึงงันก่อน จากนั้นพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ พลันมองไปทางเสิ่นอวี้

เสิ่นอวี้เข้าใจความถากถางในดวงตาคู่นั้น

เมื่อชาติที่แล้วนางโหยหาองค์ชายสามทั้งใจ ไม่รู้ว่าคืนนี้องค์หญิงใหญ่ปฏิบัติต่อซ่งหว่านฉิ่งอย่างไร

แต่ตอนนี้ นางก็อยู่ที่นี่เช่นกัน องค์หญิงใหญ่กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชาที่ลึกลับเช่นนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังเยาะเย้ยความน่าอับอายของพวกนางสองพี่น้องหรอกหรือ?

เวลานี้เอง เสิ่นจิ้นเดินเข้ามาพลางรีบกล่าว “องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมสั่งสอนลูกไม่ดี…”

องค์หญิงใหญ่กลับชิงกล่าวตัดบทเขา พลันกวาดมองเสิ่นอวี้อย่างติดตลกแล้วกล่าว “ในเมื่อพี่น้องตระกูลเสิ่นเจตนาดีเช่นนี้ ไม่ให้เข้าเรือนก็ดูเหมือนข้าจะใจร้ายเกินไป…ท่านโหวเสิ่นกับหมอหลวงเสิ่นเข้ามานั่งเถอะ”

พูดพลางกวาดมองที่นั่งข้างใน

เก้าอี้สองตัวนั้นถูกกำแพงขวางพอดี

ทั้งสองหมดหนทาง ได้แต่เข้ามานั่งลง รอซ่งหว่านฉิ่งเข้ามาสร้างความอับอาย

สายตาของเสิ่นอวี้เลื่อนผ่านใบหน้าองค์หญิงใหญ่ ตระหนักกะทันหัน : องค์หญิงใหญ่ไม่เพียงมีความเย่อหยิ่ง แต่ยังมีความโหดเหี้ยมและอุบายที่ถูกขัดเกลาออกมาจากวังหลังของราชวงศ์

นางน่าจะมองความคิดที่ไม่ซื่อของซ่งหว่านฉิ่งออก ดังนั้นจึงปล่อยเข้ามา ให้พวกนางสองพี่น้องชิงเด่น เปิดเผยความน่าอับอาย

เสิ่นอวี้ขมวดคิ้ว

จ้านอวิ๋นเซียวเอียงศีรษะ มองนางพิจารณาอย่างละเอียด ครุ่นคิดกระทั่งการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนาง

มองแค่รูปลักษณ์ หญิงสาวตรงหน้าดวงตากลมโตแก้มชมพู ผิวพรรณเรียบเนียน แม้ยังไม่โตเต็มวัย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความงามที่ไม่เหมือนใคร

เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางมักจะขาดความเด็ดเดี่ยวไปบ้าง จึงลดทอนความสง่างามส่วนนี้ไป

แต่ตอนนี้นางกลับไม่เหมือนกันแล้ว

แม้ดูคิ้วขมวดแน่น ราวกับคนมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ดวงตากลมโตคู่นั้น กลับเผยให้เห็นปัญญาและความเฉียบแหลมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่ามองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว

ความเหยาะแหยะและร้ายบนกายมลายหายไป ราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้

และมีอีกอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจ

เดิมทีเขาอยากให้ซ่งหว่านฉิ่งไสหัวกลับไป

แต่เวลานี้มองดูนาง กลับเกิดความคิดพิเรนทร์เล็กน้อย ดังนั้นก็ไม่ได้ห้ามเช่นกัน

เสิ่นอวี้ไม่มีเวลามาครุ่นคิดอารมณ์ของเขา กลับกันอยากรู้ว่าที่ซ่งหว่านฉิ่งมา นางอยากทำอะไรกันแน่

เสียงของอวี้จู๋ดังมาจากนอกประตู “แม่นางซ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”

เสิ่นอวี้เงยหน้ามอง

ก็เห็นซ่งหว่านฉิ่งกำลังก้มหน้าเดินเข้ามาทางนี้ด้วยถ่วงท่าที่สง่างาม ทั้งร่างแลดูกระมิดกระเมี้ยน ให้ความรู้สึกเสแสร้งอย่างงุ่มง่าม

แตกต่างจากการแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเมื่อตอนกลางวัน คืนนี้นางสวมชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งที่คลุมผ้ากันฝน กลับจงใจทำให้เปียกฝนครึ่งตัว แลดูสะบักสะบอมและน่าสงสาร

วัสดุที่ใช้กลับเป็นผ้าไหมลายเมฆที่หลิ่วอวี๋เหนียงไม่ยอมนำออกมาใช้

ปิ่นหยกขาวดอกไห่ถัง[footnoteRef:1]ที่ปักอยู่บนศีรษะนั้น เป็นของที่หลิ่วอี๋หวงแหนที่สุด ก่อนหน้านี้นางบอกว่าชอบ แต่หลิ่วอี๋เหนียงไม่เต็มใจให้ คืนนี้กลับเอาออกมาให้ซ่งหว่านฉิ่งทำเอาหน้า [1: 'ไห่ถัง' หรือ 'Chinese Flowering Crabapple' เป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ล มีดอกสีขาว ชมพูหรือแดง ซึ่งจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็คือประมาณเดือนมีนาคม- พฤษภาคมนั่นเอง ไห่ถังจะมีผลสีเหลืองไปจนถึงสีแดง]

ช่างใจกว้างจริงๆ!

หัวใจเสิ่นอวี้ราวกับถูกเข็มทิ่มแทง สีหน้าน่าเกลียดเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ตระหนักว่า : หลิ่วอี๋เหนียงอาจจะหวังให้ซ่งหว่านฉิ่งจับจ้านอวิ๋นเซียว!

สิ่งนี้ทำให้นางไม่ค่อยเข้าใจ

นางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของหลิ่วอี๋เหนียง หลิ่วอี๋เหนียงมักจะรังเกียจจ้านอวิ๋นเซียว ว่าเขาไม่ดีต่อหน้านาง แต่กลับสนับสนุนซ่งหว่านฉิ่งไล่ตามจ้านอวิ๋นเซียว…เรื่องนี้มองอย่างไรก็แปลกมาก

เสิ่นอวี้เกิดความสับสนเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และตอนนี้เอง ซ่งหว่านฉิ่งได้เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว นางคุกเข่าให้องค์หญิงใหญ่อย่างจริงใจข้ามธรณีประตู พลันเปลี่ยนเสียงแหลมตอนอยู่จวนโหวก่อนหน้านี้ กล่าวอย่างอ่อนนุ่ม

“หม่อมฉันคำนับองค์หญิงใหญ่ ล้วนเป็นเพราะน้องหญิงไม่รู้ความ ทำให้ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส…หม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านอ๋องหมดสติไม่ฟื้นจึงเป็นห่วง บังเอิญว่ามองฉันได้สูตรยามาจากในหมู่ผู้คน มีผลต่อผู้ที่หมดสติมากที่สุด”

“หม่อมฉันรู้สึกผิดแทนน้องหญิง และเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านอ๋อง จึงอดหลับอดนอนปรุงยามาส่งให้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อท่านอ๋อง และหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่รังเกียจเจ้าค่ะ”

เสิ่นอวี้ได้ยินคำพูดของนาง มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

เดิมทีนางคิดว่าเมื่อชาติที่แล้วตนเองกับซ่งหว่านฉิ่งเป็นความสัมพันธ์พี่น้อง มีความเข้าใจเกี่ยวกับนางมากพอแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าประเมินความไร้ยางอายของนางต่ำเกินไป อดไม่ได้ที่จะโมโหจนตัวสั่นเล็กน้อย

คนในห้องไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศเริ่มอึมครึม

องค์หญิงใหญ่รู้สึกว่าถูกล่วงเกิน เสิ่นจิ้นกับเสิ่นลั่วยิ่งโมโหจนหน้าบูดบึ้ง มีเพียงจ้านอวิ๋นเซียวที่จ้องเสิ่นอวี้ไม่ขยับเขยื้อน กลับกันสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยเพราะปฏิกิริยาของนาง

เสิ่นอวี้ถูกเขามองจนเริ่มรู้สึกอึดอัด เบี่ยงสายตาไปทางองค์หญิงใหญ่แวบหนึ่ง

ความถากถางในดวงตาองค์หญิงใหญ่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนดูงิ้ว ราวกับกำลังรอนางพูด

เสิ่นอวี้หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

ซ่งหว่านฉิ่งกล่าวคำพูดที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมอย่างกระมิดกระเมี้ยนจนจบ หลังจากรออยู่พักใหญ่ไม่มีใครสนใจ อดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกประหม่าและทรมานใจ

ขณะที่นางใกล้ทนไม่ไหวอยากทำลายความเงียบอีกครั้ง องค์หญิงใหญ่จึงจะกวาดมองเสิ่นอวี้อย่างความประหลาดใจแวบหนึ่ง ราวกับคิดไม่ถึงว่าด้วยนิสัยที่หยาบคายไร้มารยาทของนางจะใจเย็นเช่นนี้

เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีที่จะเอ่ยปาก ตนเองจึงรับหน้าซ่งหว่านฉิ่ง บนใบหน้าเผยให้เห็นความอ่อนโยนสายหนึ่งราวกับเล่นมายากล นางกล่าว “น้องหญิงสามของเจ้าในฐานะคู่หมั้นลูกชายข้า ก็ไม่เห็นจะเป็นห่วงลูกชายข้ามากนัก แต่เจ้ามีใจแล้ว ถึงขั้นรออยู่หน้าประตูสองชั่วยามกว่าเพื่อนลูกชายของข้า ทำให้ข้าซาบซึ้งใจจริงๆ”

เสิ่นอวี้ “...”

นางหมดคำพูดที่จะพูด

ทว่าซ่งหว่านฉิ่งที่ได้รับ ‘คำชม’ ปลื้มปีติอย่างยิ่ง รีบกล่าว “ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำเจ้าค่ะ…”

องค์หญิงใหญ่เล่นไปตามบท น้ำเสียงอ่อนโยนลงหลายส่วน “เจ้ามีคำพูดอะไรอยากจะพูดกับข้าและลูกชายใช่หรือไม่? ลูกชายข้าฟื้นแล้ว เจ้าพูดตรงนี้เลย เขาได้ยินเช่นกัน”

คำพูดนี้พูดกับซ่งหว่านฉิ่ง แต่หางตากลับเหลือบมองเสิ่นอวี้ ราวกับกำลังพูดว่า : เจ้าไม่ชอบลูกชายข้าย่อมมีคนอื่นชอบ

เสิ่นอวี้ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองจ้านอวิ๋นเซียวแวบหนึ่ง

จ้านอวิ๋นเซียวกำลังจ้องนางไม่กะพริบตา เมื่อเห็นนางมองมาก็ไม่ได้หลบ กลับกันยิ่งจ้องเขม็ง

“...”

ใบหน้าเสิ่นอวี้ร้อนวูบอย่างน่าประหลาด

ได้ยินเพียงเสิ่นอวี้กล่าวอย่างประหม่าและกระตือรือร้น “หม่อม…หม่อมฉันมาครั้งนี้ หนึ่งเพื่อขอโทษองค์หญิงใหญ่กับท่านอ๋องแทนน้องหญิง สองก็เพราะมีคำพูดอยากพูดกับองค์หญิงใหญ่และท่านอ๋องจริงๆ”

ชาติที่แล้วเสิ่นอวี้ก็เคยเป็นคนที่หลงใหลองค์ชายสามเช่นกัน และเคยไปพบพระสนมจิ้งมารดาขององค์ชายสามอย่างสั่นเทาเช่นกัน ย่อมเข้าใจท่าทางเช่นนี้ของซ่งหว่านฉิ่ง ตกลงมันเกิดจากความคิดเช่นไร

องค์หญิงใหญ่กลัวโลกจะไม่วุ่นวาย และถึงขั้นแทบรอไม่ไหวเล็กน้อย “ฮืม? แล้วเรื่องที่สองของเจ้าคืออะไร?”

สายตากับน้ำเสียงนั้น คนที่ไม่รู้คงคิดว่านางน่าคบหาเพียงใด!

แต่หากซ่งหว่านฉิ่งมองสายตานาง ก็จะรู้ได้ในทันทีว่าเจตนายิ้มที่อยู่ในแววตาไม่จริงใจ ล้วนเป็นการเยาะเย้ยและเล่นตลกจากเบื้องสูง

นางรีบร้อนจนตัวสั่น ความกระตือรือร้นหลั่งไหลออกจากคำพูดอย่างไม่สามารถควบคุม “สิ่ง…สิ่งที่หม่อมฉันอยากพูดกับองค์หญิงใหญ่คือสัญญาหมั้นของตระกูลจ้านกับตระกูลเสิ่น”

“ตอนนั้นตระกูลจ้านกับตระกูลเสิ่นกำหนดสัญญาหมั้น บรร…บรรพชนตระกูลเสิ่นก็เคยพูดแล้ว ในอนาคตหลานสาวของตระกูลเสิ่นจะต้องแต่งงานกับหลานชายของตระกูลเสิ่นหนึ่งคน แต่ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นหลานสาวคนไหน หลานชายคนไหนเจ้าค่ะ”

“...”

เสิ่นอวี้ได้ยินคำพูดประโยคนี้ มีหรือที่จะไม่เข้าใจอะไรอีก?

มีความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในแววตาอย่างอดไม่ได้

ซ่งหว่านฉิ่งหยั่งเชิงหนึ่งประโยคก็หยุดลงแล้ว

รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนขัดจึงใจกล้ามากขึ้น กล่าวอย่างมั่นใจ “หากตอนนั้นท่านอ๋องไม่ได้สนใจน้องหญิง เช่นนั้นสัญญาหมั้นก็ใช่ว่าจะเป็นน้องหญิงเสมอไป หากน้องหญิงชอบท่านอ๋องก็ช่างเถอะ หม่อมฉันที่เป็นพี่สาวคนนี้ ก็ยินดีสงเคราะห์นางเช่นกัน”

“แต่ว่าน้องหญิงหลงใหลองค์ชายสาม เหยียบย่ำความรักของท่านอ๋องไว้ใต้เท้า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว…หม่อมฉันในฐานะพี่หญิงรอง สมควรรับโทษแทนน้องหญิง และหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะช่วยออกหน้า ให้ท่านอ๋องเลือกคู่หมั้นคนใหม่จากบรรดาสามพี่น้องตระกูลเสิ่นด้วยเจ้าค่ะ!”

“หม่อมฉันยินดีเป็นวัวเป็นม้าดูแลท่านอ๋องอย่างดี จะไม่ทำร้ายท่านอ๋องถึงขั้นนี้เหมือนน้องหญิงแน่นอนเจ้าค่ะ!”

พูดพลางนำไห่ในอ้อมแขนวางลงด้านข้าง หน้าผากแนบกับพื้น แลดูจริงใจอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามกับเสิ่นอวี้ที่หยาบคายไร้มารยาทก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

เสิ่นอวี้ก็รู้ว่าซ่งหว่านฉิ่งจงใจเหยียบนาง

แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน และนางก็ไม่ถูกกระตุ้นจนโกรธเพราะลูกไม้แค่นี้ และยิ่งไม่คิดว่าองค์หญิงใหญ่ที่หยิ่งยโสจะเต็มใจเลือกนางเป็นลูกสะใภ้ของตนเองจริงๆ

หันไปมององค์หญิงใหญ่อีกครั้ง ก็เห็นความดูถูกในแววตาของนางเข้มข้นอย่างยิ่ง เสียงหัวเราะเย็นชาแทบกลั้นไม่อยู่ “จริงหรือ เช่นนั้นเจ้าลุกขึ้นหารือกับน้องหญิงของเจ้าก่อนเถอะ”

จะเหลือก็แต่เขียนคำว่า ‘คนปัญญาอ่อนเพ้อฝัน’ สี่คำบนหน้าผากแล้ว

เสิ่นอวี้พบว่าเห็นไฟโทสะในแววตาของนางไม่เพียงไม่ถูกข่มลงไป กลับกันยังลุกโชนยิ่งขึ้น อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้ม

เวลานี้เอง ในที่สุดซ่งหว่านฉิ่งก็ตระหนักถึงความผิดปกติ พลันเงยหน้าอย่างฉับไว จึงจะพบว่าข้างในไม่เพียงมีองค์หญิงใหญ่ เก้าอี้นวมยาวที่ไม่สะดุดตาข้างๆ มีคนนั่งอยู่อีกหนึ่งคน!

“เสิ่นอวี้?!”

นางเบิกตากว้างและอุทาน “เหตุ…เหตุใดเจ้าก็อยู่ที่นี่?!”

นางเกลียดจ้านอวิ๋นเซียวที่สุด ชอบองค์ชายสามที่สุดไม่ใช่หรือ?

เหตุใดจึงฝ่าฝนตกหนักเช่นนี้มาดูจ้านอวิ๋นเซียว?

ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้นางทำร้ายจ้านอวิ๋นเซียวจนเป็นเช่นนี้ เหตุใดองค์หญิงใหญ่ยังให้นางเข้ามาอีก?

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status